บทที่ 47 ค่ายกลเพ้อฝัน[รีไรท์]
ฉู่ชวิ๋นยิ้มอย่างอบอุ่น แต่สีหน้าของเขากลับเรียบเฉย
ฉินหวนยวี่มีลางสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องที่น่าหวาดกลัวขึ้นมันเป็นสัญญาณเงียบสงบก่อนจะเกิดพายุ เมื่อลองคิดไตร่ตรองดูถ้าหากว่าผู้หญิงของเขาได้รับความอัปยศตัวเองจะทำยังไง? อย่างแรกคือต้องโมโหมากๆ ไม่ใจเย็นขนาดนี้แน่ ๆ
“โร้วโร้ว เธอไปห้องพักผ่อนรอฉันก่อนเถอะ” ฉู่ชวิ๋นยิ้มและพูดขึ้นมา
ถางโร้วอดไม่ได้ที่จะทำสีหน้าไม่พอใจ เพราะเธอไม่อยากไปไหน ฉู่ชวิ๋นได้แต่พูดปลอบโยนเบา ๆ เขาพยายามอดทนไม่ฆ่าคนในห้องตอนนี้ต่อหน้าถางโร้ว
ถางโร้วรู้ว่า ฉู่ชวิ๋นจะต้องจัดการแก้ไขปัญหาเรื่องของเธอ แต่ว่าเธอรู้สึกน้อยใจที่ต้องไปรอคนเดียวในห้องแล้วให้ฉู่ชวิ๋นจัดการทุกอย่าง
“ถางโร้ว พวกเราออกไปกันก่อนเถอะ! เชื่อสิว่านายคนนี้จะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้เอง พวกเราก็อย่าอยู่ที่นี่ก่อปัญหาเพิ่มเลย” หลิวซินกระซิบพูดกับถางโร้ว ประสบการณ์ในสังคมของเธอมีมากกว่าถางโร้ว เธอรู้ว่าเรื่องต่อจากนี้ฉู่ชวิ๋นไม่อยากให้ถางโร้วเห็น
ถางโร้วลังเลใจสักพัก ก่อนจะยิ้มขึ้นมาและมองไปที่ฉู่ชวิ๋น “งั้นพี่ก็ต้องรับปากว่าจะมาหาฉัน”
“ได้ ฉันรับปากว่าจะไปหาเธอ” ฉู่ชวิ๋นยิ้มและพยักหน้า
ถางโร้วถึงยอมออกไปกับหลิวซิน เธอไม่รู้เลยว่าจนกระทั่งตอนนี้ คนที่กล้าอ้อนหรือแสดงนิสัยอารมณ์ต่อหน้าฉู่ชวิ๋นมีแค่เธอคนเดียว
“คนที่ไม่ได้มีตำแหน่งสำคัญอะไรก็ออกไปได้แล้ว!” หลังจากที่ถางโร้วไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของฉู่ชวิ๋นก็หายไป เหลือไว้แค่ความเย็นชา
ผู้บริหารทั้งหลายคนมองไปทางฉินหวนยวี่
ฉินหวนยวี่แอบขมวดคิ้ว เพียงแค่ฉู่ชวิ๋นเข้ามาก็กลายเป็นแขกที่ยึดครองตำแหน่งเจ้าภาพไป ทำให้เขาไม่สบายใจมาก
“น้องชาย นายคิดว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเองหรือไง?” ฉินหวนยวี่คิดว่าตัวเองจำเป็นต้องพูดออกมาให้ชัดเจน ว่าที่นี่เป็นของใครกันแน่?
ฉู่ชวิ๋นสีหน้าเย็นชาเหมือนเดิมและมองรอบ ๆ หลังจากนั้นก็ใช้สายตามองไปยังฉินหวนยวี่ก่อนจะยิ้มขึ้นมา
“ฉันไม่สนว่าที่นี่คือที่ไหน แต่ถ้าฉันลงมือที่นี่จะกลายเป็นโรงฆ่าสัตว์ทันที”
“โรงฆ่าสัตว์?”
ครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ฉินหวนยวี่ แต่คนที่นั่งอยู่สีหน้าก็เริ่มโมโหขึ้นมา นี่เปรียบเทียบพวกเขากับสัตว์งั้นเหรอ?
“ปัง!”
หวงเฉินกวงที่อึดอัดคับแค้นใจมาตั้งแต่ต้น ในเวลานี้อดทนไม่ไหวเลยลุกขึ้นมาทุบโต๊ะและชี้หน้าด่าฉู่ชวิ๋น
“แกคิดว่าแกเป็นใคร? เป็นเด็กเกเรมาจากไหน? แหกตาของแกแล้วมองรอบ ๆ ให้ดี ๆ ที่นี่คือสถานที่จะมาทำตัวอันธพาลได้หรือไง?”
เฉินฮั่นหลงและเจิ้งก่วงอี้ในใจรู้สึกหนาวเย็นขึ้นมา พวกเขาแอบพูดในใจว่าเจ้าคนโง่คนนี้ซวยแล้ว
คนอื่น ๆ กลับรู้สึกเหมือนได้ระบายความโกรธออกมามาก คำพูดที่หวงเฉินกวงพูดออกมาทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจฉู่ชวิ๋นมองไปที่หวงเฉินกวงอย่างเงียบ ๆ และพูดขึ้นมาอย่างเย็นชาว่า
“เมื่อกี้คนที่ทำให้ถางโร้วรู้สึกลำบากใจ นายก็คือหนึ่งในนั้นสินะ?”
“ใช่แล้วจะทำไม?” หวงเฉินกวงตอบกลับอย่างจองหอง
“ดีมาก!”
ฉู่ชวิ๋นยิ้มมุมปากและแสดงสีหน้าที่เย็นชาออกมา เขาหายตัวไปปรากฏอยู่ตรงหน้าหวงเฉินกวงในพริบตา ทุกคนอดไม่ได้ที่จะตกใจกับภาพตรงหน้า
“ตาย!” ตอนที่ทุกคนกำลังจ้องมองอยู่นั้นฉู่ชวิ๋นก็ยกฝ่ามือขึ้นเบา ๆ
“ปัง!” เปลวไฟจำนวนมากลอยอยู่กลางอากาศตรงหน้าหวงเฉินกวง
ค่ายกลไฟโลกันตร์ แค่แบบเล็ก ๆ ก็เพียงพอแล้ว
“สําแดงเดช!”
ฉู่ชวิ๋นพูดจบ เปลวไฟทั้งหลายก็พุ่งเข้าใส่หวงเฉินกวง ไม่นานเปลวไฟก็สลายหายไป หวงเฉินกวงยังคงอยู่ในสภาพเดิมเหมือนก่อนหน้านี้ ราวกับว่าเมื่อกี้ปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดเป็นเพียงคลื่นกระทบฝั่งไม่นานก็หายไป
“หวง นายไม่เป็นไรใช่ไหม?” ฉินหวนยวี่ถามขึ้นมาแต่อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร ฉินหวนยวี่คิดว่าที่ หวงเฉินกวงเป็นแบบนี้เพราะโมโหที่เขาหักหน้าในวันนี้ถึงไม่สนใจเขา “หวง นายใจแคบเกินไปแล้ว” เขาพูดขึ้นแล้วเดินไปจะตบไหล่หวงเฉินกวง
แต่สุดท้าย เมื่อมือของเขาโดนตัวหวงเฉินกวง เขาก็ได้เห็น หวงเฉินกวงหล่นร่วงลงไปที่พื้น มันคือการหล่นร่วงลง จริง ๆ ร่างกายก็กลายเป็นเพียงกองขี้เถ้า
“กรี๊ดดดดดด…..”
เฉินเชียนเชียนที่อยู่ใกล้ ๆ หวงเฉินกวง ทันใดนั้นก็ส่งเสียงแสบแก้วหูออกมา เธอหวาดกลัวจนต้องกระโดดถอยออกไปด้านหลัง คนอื่น ๆ ดวงตาเบิกกว้าง สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างหวาดกลัว
โดยเฉพาะฉินหวนยวี่ ที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิมร่างกายสั่นเทา เขาอยากจะหนีออกไปจากที่นี่แต่ขากลับไม่ขยับ
คนที่มีชีวิตอยู่คนหนึ่ง ชั่วพริบตาก็กลายเป็นเพียงกองขี้เถ้า ก่อนหน้านี้เปลวไฟจำนวนมากทำให้หวงเฉินกวงกลายเป็นแบบนี้
เฉินฮั่นหลงและเจิ้งก่วงอี้ รู้สึกแข้งขาอ่อนแรง ในเวลาเดียวกันสีหน้ากลับเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม กล้าพูดแบบนี้กับนายท่านจุดจบก็จะเป็นแบบนี้
ในอากาศก็เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่าตลบไปทั่วทุกทิศ ผู้คนตกใจจนฉี่แตก
ฉู่ชวิ๋นขมวดคิ้ว โบกมือจนเกิดพายุเฮอริเคนขึ้นมาหนึ่งลูก แล้วพัดขี้เถ้าของหวงเฉินกวงออกไปนอกหน้าตา หลังจากนั้นก็กระจัดกระจายหายไปบนท้องฟ้า กลิ่นเหม็นเน่าที่ตลบอยู่กลางอากาศก็หายไป
“กระดูกกลายเป็นขี้เถ้า” ในใจของทุกคนอดไม่ได้ที่จะคิดถึงคำนี้ขึ้นมา คำนี้ที่ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าน่ากลัวสุดขีด
“ตุ้บ!”
มีคนล้มลงไปบนพื้น หัวใจของทุกคนก็เต้นแรงด้วยความกลัวและหันไปมอง ก็เห็นผู้บริหารท่านหนึ่งกลัวจนสลบล้มลงไป ไม่มีใครหัวเราะผู้บริหารท่านนี้แถมยังรู้สึกอิจฉา ถึงยังไงเป็นลมหมดสติไปแล้วจะได้ไม่ต้องรู้สึกหวาดกลัวอย่างนี้
ฉู่ชวิ๋นมีสีหน้าเย็นชา เดินไปอยู่ตรงหน้า หลินหง หลังจากนั้นก็โบกมือข้างหนึ่ง หลินหงราวกับถูกพลังอันแกร่งกล้าพัดปลิวไปชนกับหน้าต่างจากนั้นก็ปลิวออกไปนอกหน้าต่างทันที
“ตุ้บ!”
ฉินหวนยวี่ประคับประคองตัวเองไม่อยู่ ขาทั้งสองข้างก็อ่อนลงและร่วงลงไปบนพื้น เพราะว่าที่นี่คือชั้นที่ 22 หลินหงปลิวออกไปนอกหน้าต่างแบบนี้จะรอดตายได้ยังไง?
สีหน้าฉู่ชวิ๋นสงบนิ่ง ราวกับว่าเมื่อกี้ไม่ได้ฆ่าคนแค่ฆ่ามดเท่านั้น 3 ปีก่อนเขาไม่มีกำลังพอที่จะสามารถใครได้เลย ปกป้องตัวเองยังไม่ได้ยิ่งปกป้องพ่อแม่ก็ไม่ได้ ตอนนี้เขามีกำลังพอที่จะสามารถปกป้องคนรอบข้างแล้ว เพราะงั้นจะเขาไม่ลังเลเด็ดขาด
ตอนนี้ในห้องเงียบสงัดไม่มีใครกล้าสงสัยคำพูดของฉู่ชวิ๋นอีก เขาสามารถเปลี่ยนห้องนี้ให้กลายเป็นโรงฆ่าสัตว์ได้จริง ๆ และพวกเขาก็คือลูกแกะที่รอถูกฆ่า
ฉู่ชวิ๋นมองรอบ ๆ ที่เงียบเป็นเป่าสากมองคนที่ตัวสั่นเทา ในใจจู่ ๆ ก็รู้สึกแปลก ๆ มันคือความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ ทำไมกันเขาในตอนนั้นก็ถูกคนวางแผนทำร้ายแบบนี้ไม่ใช่เหรอ? ทำไมเขาต้องเห็นใจคนพวกนี้?
ฉู่ชวิ๋นส่ายหน้าและยกมือขึ้นมาโบกเบา ๆ บรรยากาศทั่วทุกทิศก็บิดเบี้ยว ผ่านไปไม่นานก็กลับคืนสภาพเงียบสงบเหมือนเดิม
“แฮ่ก….แฮ่ก….”
เสียงหอบอย่างรุนแรงดังขึ้นราวกับลอยขึ้นมาจากในน้ำ เสื้อผ้าเปียกชื้น ปากพ่นล้มหายใจเหนื่อยหอบออกมาราวกับผู้รอดชีวิต
“หวง หลินหง…….” ฉินหวนยวี่ตกใจจนตะโกนเสียงดัง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าหวาดกลัวหรือว่าตกใจ จนน้ำเสียงแหบแห้ง ทุกคนรู้สึกร่างกายสั่นเทาและหันกลับไปมองพวกเขาเห็นหวงเฉินกวงและหลินหงที่นั่งตัวตรงอยู่กับที่
“นาย…พวกนายยังไม่ตาย?” ฉินหวนยวี่พูดติดอ่าง
หวงเฉินกวงและหลินหงสีหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ ร่างกายสั่นเทาไม่หยุด สมองคิดอะไรไม่ออก แม้แต่พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองตายไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่กันแน่?
ความรู้สึกเมื่อกี้มันสมจริงเกินไป จนกระทั่งตอนนี้พวกเขาก็ยังนึกว่าตัวเองตายไปแล้ว ฉู่ชวิ๋นยิ้มมุมปาก ชั่วพริบตาที่เขาเหยียบเข้ามาในห้องประชุม เขาได้จัดการห้องประชุมนี้ให้กลายเป็นค่ายกลเพ้อฝัน คนพวกนี้แค่ได้รับประสบการณ์กับความรู้สึกที่เพ้อฝันแค่นั้น
ฉู่ชวิ๋นอยากจะฆ่าสองคนนี้จริง ๆ แต่สุดท้ายก็อดทนไว้ได้ ตอนนี้ถึงยังไงก็ต้องทำตามกฎหมายสังคม พลังของเขายังไม่สูงนัก ถ้าฆ่าคนไม่รู้จักคิดอาจมีปัญหาตามมา ยิ่งไปกว่านั้นการที่เขาจะฆ่าคนนอกจากจะเพิ่มบาปกรรมแล้วยังไร้ประโยชน์อีกด้วย เขาไม่ใช่ปีศาจที่จะฆ่าคนทุกคน
เขาจะฆ่าคนที่ควรจะฆ่าเท่านั้น
ฉินหวนยวี่และคนอื่น ๆ มองไปยังฉู่ชวิ๋น สายตาก็หวาดกลัวอย่างถึงขีดสุด แม้กระทั่งเฉินเชียนเชียนที่ตกใจก็นั่งลงไปบนพื้นขณะตัวสั่นเทา
ฉู่ชวิ๋นเดินไปนั่งตำแหน่งเดิมที่ฉินหวนยวี่เคยนั่งและมองไปรอบด้วยสายตาครุ่นคิด “คุณคือประธานฉินสินะ?” ทันใดนั้นฉู่ชวิ๋นก็มองฉินหวนยวี่และถามขึ้นมา
ร่างกายฉินหวนยวี่สั่นเทา ปากสั่น เหงื่อไหลเข้ามาในตา ดวงตารู้สึกแสบจนเจ็บปวด แม้แต่จะใช้มือเช็ดก็ยังไม่กล้า ทำได้แค่เพียงพยักหน้ารัว ๆ
“เรื่องของโร้วโร้วให้คุณจัดการ เป็นยังไง?” ฉินหวนยวี่ตกใจแล้วเงยหน้าอย่างทำตัวไม่ถูก
“ผม…ผมจัดการได้ ผมรับปาก…..” ฉินหวนยวี่พูดเสียงสั่นและพูดอย่างตะกุกตะกัก แม้แต่จะพูดอะไรยังพูดออกมาไม่หมด โชคดีที่ความหมายนับว่าพูดออกมาได้ชัดเจน
ฉู่ชวิ๋นยิ้มและพยักหน้าเบา ๆ
“งั้นฉันจะรอฟังข่าวดีของประธานฉินนะ” หลังจากนั้น ฉู่ชวิ๋นก็หันไปทางเฉินฮั่นหลงและเจิ้งก่วงอี้
“พวกนายทั้งสองคนก็อยู่ช่วยประธานฉินจัดการซะ”
“ได้ครับ” ทั้งสองคนรีบตอบกลับทันที ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าและหันหลังเดินออกไป
……
หลังจากที่ฉู่ชวิ๋นเดินออกมาก็ใช้จิตวิญญาณหาตำแหน่งที่อยู่ของถางโร้ว
ถางโร้วที่อยู่ในห้องพักผ่อน หลิวซินเองก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เลือดในมือที่ถูกเฉินเชียนเชียนข่วนก่อนหน้านี้ก็พันแผลแล้ว เธอมองถางโร้วที่ยืนอยู่ประตูห้อง และในใจรู้สึกขำขัน
“ถางโร้ว พี่ฉู่ชวิ๋นของเธอคนนั้นเป็นใครกันแน่เหรอ?” หลิวซินถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ถางโร้วจ้องมองไปที่ประตูและพูดขึ้นมาว่า “พี่ฉู่ชวิ๋นก็คือพี่ฉู่ชวิ๋นสิ จะเป็นใครไปได้?” หลิวซินมองบนอย่างจนปัญญา คำตอบนี้ยังไม่เป็นที่น่าพึงพอใจเท่าไร
“ไม่ต้องมองแล้ว เธอมองประตูจนเธอจะทะลุออกไปได้อยู่แล้ว” หลิวซินย้ายเก้าอี้มานั่งตรงข้ามกับถางโร้วและพูดขึ้นมา “เธอชอบพี่ฉู่ชวิ๋นของเธอใช่หรือเปล่า?”
“เอ๋?” ถางโร้วตกใจก่อนหน้าจะเริ่มแดงขึ้นมา
“ว้าว….หน้าแดงแบบนี้ฉันพูดถูกสินะ?” หลิวซินยิ้มร้ายและพูดอย่างหยอกล้อ
“ไม่ใช่ เธอห้ามพูดไปเรื่อยสิ” ถางโร้วรีบพูดตอบก่อนแอบพูดในใจว่าตัวเองแสดงออกชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ?
“อ้อ พูดแบบนี้แปลว่าเธอไม่ได้ชอบเขาสินะ” หลิวซินลากเสียงยาวและยิ้มแบบร้ายๆ “งั้นก็ดีแล้ว ในเมื่อเธอไม่ชอบ งั้นฉันก็สบายใจจีบเขาได้แล้ว พี่ฉู่ชวิ๋นเธอคนนี้หล่อจริง ๆ ……”
“เธอชอบพี่ฉู่ชวิ๋นไม่ได้นะ……” ถางโร้วรีบพูดออกมาและพึ่งคิดได้ว่าตัวเองหลุดปากพูดออกมาแล้ว
สายตาหลิวซินเริ่มเต็มไปด้วยความปลิ้นปล้อนเหลี่ยมจัด
“ทำไมฉันถึงชอบเขาไม่ได้? เธอก็ไม่ได้ชอบเขา งั้นก็ให้ฉันจีบเขาซะเลย!”
“ไม่ได้ ไม่ว่ายังไงเธอก็ชอบพี่ฉู่ชวิ๋นไม่ได้”
“ฮ่าฮ่า…..” หลิวซินอดไม่ได้ที่จะชี้ถางโร้วและหัวเราะออกมา
“เผยความลับออกมาแล้ว? ยังกล้าพูดว่าตัวเองไม่ได้ชอบเขาอีก?”
ถางโร้วตกใจ รู้ว่าถูกหลิวซินแหย่เล่นซะแล้ว ใบหน้าแดงก่ำเธอเข้าไปปิดปากหลิวซิน ทันใดนั้นทั้งสองคนก็โวยวายกันไปมา
……
ฉู่ชวิ๋นยืนอยู่หน้าประตูด้านนอก บทสนทนาของทั้งสองคนเขาได้ยินทั้งหมด ความรู้สึกของถางโร้วเขาจะไม่เข้าใจได้ยังไง? แต่เพราะการที่เขาฝึกตนเป็นเซียนแบบบ้าคลั่งทำให้เขาไม่ค่อยได้รู้จักผู้หญิงเท่าไร
ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องพ่อแม่ก็ยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ถ้าสืบเรื่องนี้ต่อไปไม่รู้ว่าอีกฝ่ายน่ากลัวขนาดไหน เขาไม่อยากให้ถางโร้วเป็นอันตราย? คิดถึงตรงนี้เขาก็ถอนหายใจออกมา เขาทำได้แค่เพียงหยุดความรักของถางโร้วและทำให้เธอผิดหวังซะแล้ว