บทที่ 48 ความลับถูกเปิดโปง[รีไรท์]
ตอนบ่ายฉู่ชวิ๋นก็อยู่เป็นเพื่อนถางโร้วทั้งวัน
ถึงแม้ฉู่ชวิ๋นจะบอกเธอแล้วว่าเรื่องของเธอแก้ไขปัญหาเรียบร้อยแล้วแต่ถางโร้วก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี เธอรู้ว่าการจัดการเรื่องนี้มันยากมาก แม้จะพึ่งเข้าวงการบันเทิงมาได้ปีเดียว แต่เธอก็เคยเห็นพวกรุ่นพี่เจอสถานการณ์แบบนี้มามากมาย เห็นตั้งแต่รุ่งโรจน์มาจนถึงตกอับ บางครั้งคำพูดของสื่อมวลชนแค่ไม่กี่คำก็สามารถทำลายชีวิตของดาราได้เลย
“วางใจเถอะ!” ฉู่ชวิ๋นก็ปลอบโยนถางโร้วที่ไม่สบายใจ
จริง ๆ แล้ว เรื่องแบบนี้เขาเองก็ไม่มีความรู้และไม่รู้จะจัดการยังไงดีเลยใช้ความกลัวสั่งให้คนอื่นไปจัดการแทน
ฉู่ชวิ๋นคิดว่าหลังให้ฉินหวนยวี่ออกหน้าแก้ไขปัญหานี้ก็คงจะไม่มีอะไรแล้ว
……
อีกด้านหนึ่งช่างแต่งหน้ากำลังช่วยกันแต่งหน้าให้หลินไค่และเฉินเชี่ยนเชี่ยน
พูดได้เลยว่าช่างแต่งหน้าฝีมือร้ายกาจ ครึ่งชั่วโมงผ่านไป เฉินเชี่ยนเชี่ยนที่หน้าเหมือนศพก็กลายเป็นใบหน้าที่งดงามสะดุดตา และหลินไค่หลังจากที่แต่งหน้าเสร็จก็เพิ่มความหล่อเหลาขึ้นมามาก
แต่แววตาพวกเขาทั้งสองคนนั้นเฉยชาและมองตัวเองในกระจกอย่างไร้ความรู้สึก ในใจรู้สึกเสียใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุดผ่านวันนี้ไป พวกเขาก็จะไม่มีมวลชนที่ค่อยจับจ้องไม่มีแฟนคลับที่คอยไล่ตามพวกเขาอีกแล้ว
ฉินหวนยวี่ผลักประตูแล้วเดินเข้ามา ด้านหลังมีเฉินฮั่นหลงและเจิ้งก่วงอี้เดินเข้ามาด้วยเช่นกัน ฉินหวนยวี่ใช้สายตาบอกใบ้ให้ช่างแต่งหน้าและพนักงานออกไปก่อน
“พี่เจิ้ง หลักจากที่แต่งหน้าเสร็จแล้วพวกนี้ก็ดูเหมือนคนขึ้นมาหน่อยนะ” เฉินฮั่นหลงยิ้มแปลก ๆ
พูดจบไม่รอให้เจิ้งก่วงอี้ตอบ เขากลับก็เดินไปตรงหน้าเฉินเชี่ยนเชี่ยนและยื่นมือไปคลึงหน้าอกของเธอ ร่างกายเฉินเชี่ยนเชี่ยนสั่นเทาแต่ไม่กล้าต่อต้าน
เฉินฮั่นหลงมองเธอแล้วแสยะยิ้ม “หรือว่าซิลิโคนพวกนี้ก็มีความรู้สึกเหมือนกัน?”
แม้ตอนนี้เธอจะถูกเฉินฮั่นหลงข่มขู่ แต่เธอก็เป็นผู้หญิง แววตาเธอเต็มไปด้วยความโมโหเดือดดาล
“ถ้านายชอบ หลังจากที่ผ่านเรื่องนี้ไปก็พาเธอกลับบ้านไปเสวยสุขได้เลย” เจิ้งก่วงอี้พูดหยอกล้อเฉินฮั่นหลง
“พูดบ้า ๆ” เฉินฮั่นหลงยิ้มเยาะต่อมาก็เดินไปหาหลินไค่ เขาสังเกตพิจารณาอย่างละเอียดสักพักก็พูดว่า “เจ้าหนุ่มคนนี้ก็หน้าตาไม่เลวเลย ผิวนุ่มละเอียดอ่อน ไม่เลว ไม่เลว…..”
เจิ้งก่วงอี้และคนอื่น ๆ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขยะแขยง เฉินฮั่นหลงหรือว่าเขามีความชอบแปลกพิสดาร?
เฉินฮั่นหลงหันไปมองคนอื่น ๆ ที่จ้องมองตัวเขาอย่างแปลกประหลาดจนเขามึนงง ผ่านไปไม่นานก็เข้าใจและระเบิดออกมายกใหญ่ “พวกนายหยุดคิดไปไกลได้แล้ว ฉันไม่ใช่โรคจิต”
เวลานี้ มีพนักงานคนหนึ่งเคาะประตูก่อนเปิดประตูเดินเข้ามา
“ประธานเจิ้ง งานจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว สื่อมวลชนก็มากันหมดแล้วตอนนี้สามารถเริ่มงานได้เลยค่ะ”
ฉินหวนยวี่พยักหน้าและหันไปพูดกับหลินไค่และเฉินเชี่ยนเชี่ยน “ควรจะทำตัวยังไงไม่ต้องให้ฉันสอนแล้วใช่ไหม?”
ทั้งสองคนพยักหน้าแต่สีหน้ากลับรู้สึกเศร้าโศกเสียใจเสมือนสูญสิ้นทุกอย่างในชีวิต
“พวกแกทำหน้าดีใจกันหน่อย อย่าทำสีหน้าราวกับพ่อตายแบบนั้นสิ” เฉินฮั่นหลงด่าออกมาอย่างไม่พอใจ
หลินไค่และเฉินเชี่ยนเชี่ยนพยายามยิ้มออกมา แต่การฝืนยิ้มของพวกเขาน่าเกลียดยิ่งกว่าการร้องไห้เสียอีก
“ไอ้บัดซบเป็นดาราได้ยังไง หมายังแสดงเก่งกว่าพวกแกเลย” เฉินฮั่นหลงสีหน้าเต็มไปด้วยความเหยียดหยามและพูดต่อว่า “พอแล้ว ทำหน้าให้มันดี ๆ จบเรื่องนี้ฉันรับปากว่าจะช่วยพวกแกหางานที่ไม่เลวให้ รายได้น่าจะพออยู่ได้สบาย ๆ”
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองไปยังเฉินฮั่นหลงอย่างสงสัยโดยเฉพาะหลินไค่และเฉินเชี่ยนเชี่ยน พวกเขารู้ตัวว่าตนเองรับรายได้เยอะ รายจ่ายก็เยอะเช่นกัน แทบจะไม่มีเงินฝากอะไร ถ้าหากว่าสูญเสียอาชีพดาราไป พวกเขาไม่รอดแน่ ๆ ต้องไปหิวตายอยู่ข้างถนน
“ไม่ต้องมองฉันด้วยสีหน้าอมทุกข์แบบนั้น ฉันพูดคำไหนคำนั้น” คนหลายคนอดไม่ได้ที่จะแอบด่าในใจ เฉินฮั่นหลงทำตัวหยาบคาย เจ้าคนนี้อยู่ต่อหน้าคนอื่นไม่เคยเกรงใจใคร ทำตัวก่อกวนคนอื่นไปทั่วหากว่าฉู่ชวิ๋นไม่ได้รออยู่เจ้าคนนี้คงหนีหัวหายไปแล้ว
……
ผู้จัดการหลิวซินเข้ามาในห้องพักของถางโร้ว ก่อนหน้านี้หลังจากที่ฉู่ชวิ๋นเข้ามาแล้วเธอก็หาเหตุผลให้ตัวเองได้ออกจากห้องนี้ไป
เธอเปิดทีวีที่แขวนอยู่บนกำแพงแล้วรีบบอกถางโร้ว “รีบดูเถอะ”
ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้นไปมอง พวกเขาเห็นเพียงคนจำนวนมากขยับตัวไปมาในหน้าจอ
“ยินดีต้อนรับสื่อมวลชนทุกท่านที่มาร่วมงานแถลงข่าวของคุณหลินไค่และคุณเฉินเชี่ยนเชี่ยน” คนที่พูดคือหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์จี้หมิ่นนั้นเอง
“ขอถามคุณจี้หน่อย คุณหลินไค่และคุณเฉินเชี่ยนเชี่ยนทำไมจู่ ๆ ถึงเรียกสื่อมวลชนให้มาแถลงข่าวด้วย?”
“ขอถามคุณจี้ ถางโร้วคือนักร้องของบริษัทคุณ รูปภาพที่อยู่ในเน็ตพวกนั้นเป็นความจริงหรือไม่?”
“ข่าวลือมากมายทำให้หลายบริษัทโฆษณายกเลิกสัญญาที่ร่วมมือกับคุณถางโร้วและจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ขอถามหน่อยว่าข่าวพวกนี้เป็นความจริงหรือไม่?”
นักข่าวที่ถือไมโครโฟนอยู่ ทยอยถามคำถามออกมาอย่างไม่ขาดสาย จี้หมิ่นไม่ได้ประหลาดใจกับคำถาม สีหน้าเธอไม่มีการเปลี่ยนแปลง สมควรแล้วที่ได้เป็นหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัท
เธอมีตำแหน่งที่สูงและมีบุคลิกน่านับถือมาก จี้หมิ่นยิ้มและพูดว่า
“ถางโร้วคือคนสำคัญของบริษัทพวกเราเป็นนักร้องที่พวกเราอบรมเลี้ยงดูมาอย่างดี ฉันอยากจะถามสื่อมวลชนทุกท่าน ถ้าหากว่าคนที่ความประพฤติไม่ดีบริษัทของพวกเรายังจะคงสนับสนุนอยู่ไหม?”
“ความหมายของคุณจี้ก็คือข่าวพวกนั้นที่แพร่อยู่บนอินเทอร์เน็ตไม่ใช่ความจริงสินะครับ?” นักข่าวบางคนตะโกนเสียงดัง
“แต่พวกเราตรวจสอบความจริงแล้ว รูปความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันบนอินเทอร์เน็ตพวกนั้นเป็นของจริง? คำถามนี้คุณจี้สามารถอธิบายอย่างชัดเจนให้พวกเราฟังได้ไหม?”
นักข่าวพวกนี้เป็นนักข่าวบันเทิง พวกเขาในเวลานี้เหมือนสุนัขล่าเนื้อที่กำลังแย่งกันถามคำถามไปมา มือของจี้หมิ่นวางลงบนโต๊ะบอกใบ้ให้ทุกคนเงียบลง
“รูปที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตเป็นของจริง แต่ว่าพวกเราตรวจสอบความจริงแล้ว พื้นหลังของรูปพวกนี้คือรีสอร์ตบนภูเขาสวนดอกเหมยริมแม่น้ำ ทุกคนน่าจะจำได้ว่าไม่กี่วันที่ผ่านมา ถางโร้วไปถ่ายโฆษณาสาธารณประโยชน์ สถานที่ถ่ายทำก็คือ รีสอร์ตบนภูเขาสวนดอกเหมยริมแม่น้ำ คุณถางไม่เอาค่าตัวนักแสดงในการถ่ายทำและไปทำงานร่วมกับคุณหลินไค่ ดังนั้นรูปที่สนิทสนมกับคุณหลินไค่ที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตมันเป็นเพียงแค่รูปหลุดโฆษณาเท่านั้นมีคนตั้งใจใส่ร้ายคุณถาง ผู้กำกับลู่เป็นพยานได้”
“งั้นผู้ชายอีกคนที่สนิทสนมกับคุณถางโร้วในรูปเป็นใคร? อธิบายมาอีกครั้งได้ไหม?” จี้หมิ่นพึ่งจะพูดจบก็มีนักข่าวถามคำถามเข้ามาอีก
จี้หมิ่นกลับไม่ตกใจ รอยยิ้มบนใบหน้าที่เป็นมืออาชีพไม่สั่นไหวเลยต้นแต่ต้นจนถึงตอนนี้
“เรื่องนี้พวกเราก็ตรวจสอบแล้วเหมือนกัน ผู้ชายที่อยู่ในรูปคือพี่ชายของคุณถาง นี่เป็นการกระทำของพวกบ่อนทำลายชื่อเสียง คนที่มีจิตใจเห็นแก่ตัวคนนั้นใช้ภาพพวกนี้มาใส่ร้ายคุณถาง?”
คำพูดที่จี้หมิ่นพูดนั้นฉลาดหลักแหลมมาก ถ้าหากว่าตอนนี้พวกนักข่าวยังใช้รูปพวกนี้ถามซ้ำ พวกเขาก็คือคนที่เห็นแก่ตัวตามที่จี้หมิ่นบอกนั้นเอง
เห็นแก่ตัว จี้หมิ่นพูดดักทางปากของนักข่าวเอาไว้ก่อนแล้ว
“ฉันเป็นตัวแทนบริษัทที่จะมาพูดที่นี่ให้ชัดเจน บริษัทของเราเชื่อในการวางตัวของคุณถาง นอกจากนี้เรื่องข่าวลือใส่ร้ายป้ายสี บริษัทของเราได้แจ้งไปที่ทนายแล้ว ทางเราขอสาบานว่าจะสืบสวนให้ถึงที่สุดและให้กฎหมายลงโทษคนทำผิดให้ได้ ฉันมาพูดแทนคุณถางแค่นี้”
จี้หมิ่นพูดจบ ก็ไม่ให้โอกาสนักข่าวได้ถามอีกจี้หมิ่นรีบพูดต่อ
“สื่อมวลชนทุกท่านวันนี้คืองานแถลงของหลินไค่และเฉินเชี่ยนเชี่ยน ฉันไม่อยากพูดขัดงานแถลงข่าวของพวกเขาสองคนแล้ว”
นักข่าวเข้าใจความหมายของจี้หมิ่น พวกเขารู้ว่าข้อมูลที่จะออกมาจากปากของเธอไม่มีประโยชน์อีกแล้วก็วิ่งไปอีกด้านหนึ่ง เฟรมกล้องหันไปอีกด้าน เลนส์กล้องโฟกัสไปยังหลินไค่และเฉินเชี่ยนเชี่ยน
“คุณหลิน คุณเฉิน ขอถามหน่อยว่าวันนี้ที่เปิดแถลงให้สื่อมวลชนเข้ามาได้มีเรื่องอะไรดี ๆ ที่จะประกาศหรือเปล่า?”
มีนักข่าวอดทนรอไม่ไหวเลยปริปากถามขึ้นมาก่อน
“จริงสิหรือว่าทั้งสองคนจะยอมรับว่ากำลังคบกันใช่ไหม?”
หลินไค่และเฉินเชี่ยนเชี่ยนก่อนหน้านี้ก็เคยมีข่าวด้วยกัน แม้ว่าบริษัทจะบอกว่าพวกเขาแค่ทำงานร่วมกัน แต่คนอื่นรู้ว่าความจริงมันเป็นยังไง ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองก็มีข่าวเรื่องนี้ด้วยกันบ่อย ๆ นักข่าวถึงได้คิดว่าพวกเขาทั้งสองจะประกาศว่าคบกันอยู่
หลินไค่แอบด่าในใจ พวกเขาทั้งสองคนหน้าตาเหมือนปีติยินดีจะมาประกาศเรื่องคบกันงั้นเหรอ? เมื่อก่อนเขาชอบสร้างความสัมพันธ์กับพวกนักข่าวมาก เพราะยิ่งสนิทกับนักข่าวก็ยิ่งได้ออกข่าวบ่อย ๆ แต่ตอนนี้อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่านักข่าวพวกนี้ช่างน่าสะอิดสะเอียนเหลือเกิน
เขามองกลุ่มของนักข่าวรอบ ๆ ที่เตรียมทำข่าวพิเศษ จู่ ๆ เขาก็มีความคิดที่ชั่วร้ายปรากฏภายในหัว ถ้าเขาไม่ทำตามที่เฉินฮั่นหลงสั่ง จะเป็นยังไง?
แต่ไม่นานความคิดนี้ของเขาก็ได้หายไป เฉินฮั่นหลงเป็นผู้มีอำนาจมืดในเมืองกู่เจียง มันชัดเจนเลยว่าถ้าเขาพูดผิดอะไรไป หลินไค่ก็จะหายไปจากโลกใบนี้ หลินไค่ไม่กล้าพนันเฉินฮั่นหลงเป็นเจ้าพ่อคนหนึ่ง เขาไม่อาจไปเดิมพันกับอีกฝ่ายได้
เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหวงเฉินกวงและหลินหงที่เป็นลุงแท้ ๆ ของเขา ถ้าหากว่าเป็นเรื่องจริงขึ้นมาแค่คิดเขาก็หวาดกลัวจนตัวสั่นแล้ว เขารีบหยุดความคิดอื่น ๆ ที่อยู่ในใจเขา
หลินไค่ลุกขึ้นและทันใดก็ตะโกนเสียงดัง “ขอบคุณสื่อมวลชนทุกท่านที่มาในวันนี้ งานแถลงข่าวในครั้งนี้ของฉันและคุณเฉินไม่ใช่มีเรื่องอะไรที่น่ายินดีอะไร แต่เป็นเรื่องที่ต้องขอโทษคุณถางต่อหน้าทุกคน”
นักข่าวมึนงง หลังจากนั้นก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาพอได้ยินความหมายของคำพูดนี้ วันนี้ต้องมีข่าวใหญ่แน่ ๆ
“จริง ๆ แล้ว รูปภาพที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตทั้งหมด ฉันเป็นคนถ่ายและคุณเฉินเป็นคนปล่อยข่าวบนอินเทอร์เน็ต ส่วนเนื้อหาเป็นพวกเราสองคนที่เขียนปั้นเรื่องขึ้นมา”
“หา!” เสียงดังฮือฮาไปทั่ว
“ขอถามพวกคุณหน่อยว่าทำไมถึงต้องทำแบบนั้น?” มีนักข่าวถาม
“อิจฉา เคียดแค้น” หลินไค่ตอบกลับอย่างง่ายดาย
นักข่าวแทบบ้า ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวหลายครั้งว่าเฉินเชี่ยนเชี่ยนอิจฉาความอัจฉริยะของถางโร้ว เพราะเพลงของถางโร้วล้วนเป็นเพลงที่แต่งขึ้นมาเอง
พวกเขาคือนักข่าวบันเทิง เรื่องในวงการบันเทิงพวกเขารู้ตื้นลึกหนาบาง ข่าวแค่เล็กน้อยพวกเขาก็เขียนให้ใหญ่โตได้ ข่าวพวกนี้ก็เพียงพอที่จะให้พวกเขาเขียนออกมาได้หลายวันแล้ว
แต่พวกเขายังไม่พอใจ ต้องเจาะลึกข้อมูลมากกว่านี้ งานแถลงข่าวก็ดำเนินต่อไปจนผ่านไปแล้วชั่วโมงกว่า ๆ ถึงจะจบงาน เหล่านักข่าวต่างก็มีท่าทีที่พอใจมาก
นักข่าวถามคำถามอะไรหลินไค่ก็ตอบอย่างไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย แม้แต่เรื่องดาราสาวที่เคยมีข่าวฉาวกับเขา เขาก็บอกทั้งหมดรวมถึงเรื่องกับเฉินเชี่ยนเชี่ยนด้วย
เฉินเชี่ยนเชี่ยนได้แต่มึนงงเป็นไก่ตาแตก ไม่สนว่านักข่าวจะถามอะไรเธอ เธอทำได้เพียงแค่พยักหน้า หลินไค่เห็นแบบนี้ก็เลยต้องพูดแทนเธอเกือบทั้งหมด
……
……
ฉู่ชวิ๋นปิดโทรทัศน์
“พี่ฉู่ชวิ๋น พวกเขาสองคนจะเป็นยังไงต่อ?” ถางโร้วเป็นคนขี้สงสารมาตั้งแต่เกิด เช่นตอนนี้คิดไม่ถึงว่าถางโร้วจะเห็นใจหลินไค่และเฉินเชี่ยนเชี่ยน
หลิวซิงคิดจะพูดกับถางโร้วก็ถูกฉู่ชวิ๋นโบกมือห้าม
“โร้วโร้ว จำไว้ บนโลกนี้ความผิดที่ทำผิดลงไป เป็นหนี้สินที่ล้วนต้องเอาคืน เข้าใจไหม?”
ก็เหมือนผู้ชักใยที่อยู่เบื้องหลังการจับเขาเข้าคุก อีกไม่นานมันต้องได้รับการชดใช้
ถางโร้วพยักหน้าเหมือนเข้าใจแต่ก็ไม่ได้เข้าใจอะไรมาก! ไม่ว่ายังไงเธอก็เชื่อว่าพี่ฉู่ชวิ๋นจะไม่มีทางทำร้ายเธอย่างแน่นอน