บทที่ 60 ฝีมือต่ำต้อย[รีไรท์]
รถขับไปทางทิศใต้ประมาณ 10 นาที ทันใดนั้นพญาอสรพิษก็ยืดตัวตรง
“หยุด!” ฉู่ชวิ๋นพูดขึ้น รถจอดลงทันทีและทั้งสองก็ลงมาจากรถ
“นายท่าน นี่…” ผู้อาวุโสมีสีหน้าสับสน เพราะข้างหน้าเขาคือป่าไผ่โล่ง ๆ
ฉู่ชวิ๋นขมวดคิ้วและมองไปยังป่าไผ่ที่อยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางสนอกสนใจเป็นอย่างมาก
ป่าไผ่ที่อยู่ตรงหน้าคาดไม่ถึงว่าจะมีค่ายกลเล็ก ๆ อยู่ด้วยและด้านในยังมีประตูที่แปลกประหลาด ฉู่ชวิ๋นเดินตรงเข้าไปในป่าไผ่และผู้อาวุโสก็ติดตามมาอย่างใกล้ชิด
เมื่อฉู่ชวิ๋นก้าวเท้าเข้าสู่ป่าไผ่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็เปลี่ยนไป ผู้อาวุโสสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ไม่ได้ตกใจอะไร สถานการณ์แบบนี้เขาเคยเจอแล้ว ตอนที่ปะทะกับฉู่ชวิ๋นครั้งแรก
“อยู่ใกล้ฉันเอาไว้” ฉู่ชวิ๋นพูด ผู้อาวุโสก็ไม่กล้าเฉยเมยและรีบก้าวเดินตามทันที แต่กลับไม่ระวังจึงทำให้ก้าวผิดจังหวะ
“พรึบ พรึบ….” เสียงเสียดหูดังขึ้น
ผู้อาวุโสได้ยินก็หันไปมอง ทันใดนั้นสีหน้าผู้อาวุโสก็เปลี่ยนไป ต้นไผ่ทุกต้นหันมาแทงผู้อาวุโส ปลายแหลมของต้นไผ่ราวกับคมดาบ!
“ฝีมือต่ำต้อย”
ฉู่ชวิ๋นพูดอย่างเหยียดหยาม เขาหันตัวไปบังตรงหน้าผู้อาวุโส และไม่หลบหลีกเลยแม้แต่น้อย แสงสว่างเปล่งประกายออกมาตามร่างกายราวกับหยกนี้คือ เคล็ดวิชาวิถีมังกรฟ้าเจ้าแห่งโลกา!
ฉู่ชวิ๋นใช้วิถีมังกรฟ้าเจ้าแห่งโลการับการโจมตีทั้งหมดเอาไว้ ต้นไผ่ทุกต้นที่แหลมคมทิ่มแทงฉู่ชวิ๋นเด้งออกมา ลูกเล่นพวกนี้ไม่อาจทำอะไรฉู่ชวิ๋นได้เลย
หลังจากต้นไผ่ทิ่มแทงอยู่นาน ด้านหลังของฉู่ชวิ๋นมีแต่ต้นไผ่ปักเต็มพื้นและมีพื้นที่เปิดโล่งรูปมนุษย์อยู่ตรงกลาง ผู้อาวุโสน้ำท่วมปาก ใจสั่นจนพูดไม่ออก เขาเห็นกับตาว่าฉู่ชวิ๋นรับการโจมตีทั้งหมดเอาไว้อย่างง่ายดาย ราวกับเทพเจ้า
ฉู่ชวิ๋นไม่ได้แสดงท่าทีสะทกสะท้านใดๆ เขาไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย แม้แต่เสื้อผ้าก็ยังไม่มีรอยยับด้วยซ้ำ
“ไป” ฉู่ชวิ๋นก้าวเท้าเข้าไปในประตูนั้น ครั้งนี้ผู้อาวุโสเก็บอาการและเดินตามฉู่ชวิ๋นอย่างระมัดระวัง
……
ห้องใต้ดินที่มืดสนิทแห่งหนึ่ง เปียกชื้นและมืดมิด พื้นห้องระเกะระกะ
ทุกหนทุกแห่งในที่นี้ล้วนเต็มไปด้วยยันต์กระดาษที่เป็นเศษชิ้นเล็ก ๆ ภายใต้สภาพอากาศที่เต็มไปด้วยเชื้อรา
มีแท่นบูชาแปดเหลี่ยมที่กึ่งกลางของห้อง บนโต๊ะบูชามีเพียงแค่ไหสีดำที่ส่งกลิ่นชั่วร้ายออกมา และบางทีก็ได้ยินเสียงเรียกอย่างน่าเวทนาจากในไหดังขึ้น
ทันใดนั้น บริเวณกำแพงก็มีบางสิ่งเข้ามาทางประตู
ชายคนหนึ่งที่ร่างกายสวมชุดจีวรของนักบวชเต๋า มีหนวดเคราแพะ ใบหน้าเหมือนผี ผิวหนังแห้งผากเหมือนรากไม้ แต่กลับจูงมือสาวน้อยเดินเข้ามา ใบหน้าที่อ่อนโยนของสาวน้อยขาวซีด และดวงตาทั้งสองข้างปิดอยู่ ราวกับไม่ได้สติ
ผู้ชายคนนี้จูงมือสาวน้อยและโยนเธอไปที่พื้นอย่างไร้ความปรานี สายตาเขาจ้องมองไปยังไหสีดำที่อยู่บนโต๊ะบูชา พอผู้ชายคนนี้เข้ามาไหสีดำก็มีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง โต๊ะบูชาโยกไปโยกมาอย่างผิดปกติ
“ที่รัก ไม่ต้องกระวนกระวายใจ ฉันจะหาเลือดสดใหม่มาให้เธอแล้ว” ผู้ชายคนนั้นพูดพร้อมรอยยิ้มอันแปลกประหลาด
พูดจบ เขาก็ก้มไปจุ๊บหว่างคิ้วสาวน้อย
ผ่านไปไม่นาน สาวน้อยก็ตื่นจากการหลับใหล ดวงตาที่งดงามของเธอมองไปรอบตัวก็เห็นสภาพแวดล้อมที่มืดมิด แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“จุ๊จุ๊…เธอตื่นแล้วเหรอ?” ชายคนนั้นหัวเราะและยิ้มแปลก ๆ
สาวน้อยเห็นผู้ชายที่หน้าตาอัปลักษณ์เหมือนผีก็ตกใจจนร้องเสียงแหลม สายตาของผู้ชายเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม “ฉันทำให้เธอตกใจเหรอ?”
สาวน้อยร่างกายสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว เธอพูดอะไรไม่ออก
“ดูเหมือนว่าแววตาของเธอจะซื่อตรงต่อร่างกายนะ” ผู้ชายคนนี้ยิ้มยิงฟันอย่างน่าสยดสยองและบีบคางของสาวน้อยเอาไว้
“ชีวิตที่สดใหม่ขนาดนี้ รสชาติของเลือดคงน่าดื่มด่ำมาก” พูดจบเขาก็ใช้มือข้างหนึ่งเปิดไหสีดำที่อยู่บนโต๊ะบูชา
หมอกควันสีดำตลบอบอวลไปทั่วห้องและก็มีลมพัดแรงขึ้น เรื่อย ๆ แม้จะอยู่ในห้องใต้ดิน ทันใดนั้น รูม่านตาของสาวน้อยก็ขยายใหญ่ขึ้นและต่อสู้ดิ้นรนขึ้นมาอย่างสุดชีวิต
ส่วนแรกที่ยื่นออกมาจากปากไหเป็นขาเล็บแหลมที่แห้งเหี่ยว และส่วนสองก็คือศีรษะที่เน่าเปื่อยค่อย ๆ ปรากฏออกมา และส่วนสุดท้าย ก็เป็นร่างกายก็ปีนออกมาจากไห ขนาดตัวอีกฝ่ายเหมือนเด็กทารก ผิวหนังแห้งเหี่ยว ของเหลวที่เหนียวข้นติดอยู่บนผิวที่แห้งเหี่ยวและเธอก็พุ่งไปยังสาวน้อยที่กรีดร้องอย่างสะอึกสะอื้น สาวน้อยต่อสู้ดิ้นรนอย่างรุนแรง แต่ไม่ว่ายังไงก็ดิ้นไม่หลุดซะที
“ไม่ต้องดิ้นรนต่อสู้แล้ว เธอควรจะรู้สึกเป็นเกียรติและโชคดีที่ได้เป็นอาหารให้ฉัน!”
ผู้ชายคนนั้นพูดจบก็จิ้มนิ้วไปบนตัวของสาวน้อยและสาวน้อยที่ต่อสู้ดิ้นรนจู่ ๆ ร่างกายนิ่งไม่ไหวติ่ง เหลือเพียงสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ที่รัก เพลิดเพลินให้พึงพอใจเถอะ!”
ผู้ชายคนนั้นพูดจบ ปีศาจทารกก็ร้องโอดครวญเสียงแหลมและปีนไปอยู่บนหัวของสาวน้อยอย่างช้า ๆ น้ำลายที่เหนียวเข้มข้นหยดลงไปบนใบหน้าของเธอ แค่อ้าปากกลิ่นเน่าเปื่อยเหม็นคาวจนทำให้คลื่นไส้อาเจียนก็ลอยออกมา หลังจากนั้นมันก็ค่อย ๆ กัดลงตรงคอของสาวน้อยทันที!
“ตู้ม!”
ทันใดนั้นประตูหินก็ระเบิดออกเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น ก้อนหินปลิวว่อนกระจัดกระจาย
ผู้ชายที่ใส่ชุดจีวรของนักบวชเต๋าก็ตกใจและหันไปมองตามเสียง เขาเห็นเพียงคนมาใหม่สองคนที่ปรากฏตัวตรงหน้า ปีศาจทารกเองก็ตกใจจนหยุดการลิ้มลองอาหารรสเลิศที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะหันไปร้องเสียงแปลก ๆ ออกมา
มันกรี๊ดร้องอย่างโมโหใส่ฉู่ชวิ๋นและผู้อาวุโสและทำท่าจะพุ่งเข้าใส่ แต่ผู้ชายที่ใส่ชุดจีวรของนักบวชเต๋า ก็ยกมือขึ้นห้ามปีศาจทารก “พวกแกเข้ามาได้ยังไงกัน!”
ผู้ชายที่ใส่ชุดจีวรตกใจมาก มันไม่คิดว่าจะมีคนทำลายค่ายกลของมันได้
“ก็แค่เดินเข้ามา” ฉู่ชวิ๋นพูดอย่างเฉยเมยและกวาดสายตามองไปยังสาวน้อยและปีศาจทารกที่อยู่บนโต๊ะบูชาก่อนจะขมวดคิ้วแล้วแววตาก็เยือกเย็นขึ้นมา
“เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางที่จะผ่านค่ายกลของฉันมาได้โดยไม่บาดเจ็บ แบบนี้!”
“ค่ายกล?” ฉู่ชวิ๋นสีหน้าท่าทางเหยียดหยามสุดๆ “แค่เอายันต์แปดทิศไปติดที่ตรงประตูและใช้คาถาพรางตา ก็กล้าเรียกมันว่าค่ายกลแล้วเหรอ?”
“นั้นมันตัวอะไรกัน น่ารังเกียจจริง ๆ” ผู้อาวุโสมองปีศาจทารกอย่างด้านชา ปีศาจทารกเหมือนจะเข้าใจคำพูดของผู้อาวุโสก็คำรามขึ้นมาอย่างโมโห
ฉู่ชวิ๋นมองไปยังปีศาจทารกที่น่ารังเกียจและพูดอย่างถากถาง “เป็นเพียงสิ่งชั่วร้ายที่ถูกสร้างขึ้นโดยวิธีที่ผิด ๆ อยู่รอดได้ด้วยเลือดสดใหม่เด็กสาวช่างน่ารังเกียจจริง ๆ เลย”
สีหน้าของชายสวมชุดจีวรเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของฉู่ชวิ๋น “คิดไม่ถึงว่าจะเป็นผู้เดินทางสายเดียวกัน เป็นเกียรติที่ได้พบจริง ๆ ข้ามีฉายาว่า เต๋าผู้ชั่วร้าย ไม่ทราบว่านามของท่านคือ?”
“ไอ้คนน่ารังเกียจ แกคิดว่าจะนายท่านจะเรียนวิชาสายเดียวกับคนแบบแกงั้นเหรอ?” ผู้อาวุโสพูดอย่างเหยียดหยาม
“หุบปาก!” สีหน้าของชายที่ใส่ชุดจีวรเคร่งขรึมและแบมือเอายันต์ออกมาหนึ่งใบก่อนปาใส่ผู้อาวุโส
“ปัง!”
ทันใดนั้น ยันต์กระดาษที่ลอยอยู่ในอากาศก็กลายเป็นลูกไฟขนาดเท่ากับลูกบาสและโจมตีใส่ผู้อาวุโสอย่างรวดเร็ว
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย เพราะมันคือยันต์ระดับต่ำที่สุด ในสายตาของฉู่ชวิ๋นมันเหมือนไฟแช็กหลอกเด็ก แต่ทำไมผู้อาวุโสถึงทำสีหน้าราวกับเห็นผี นี่มันเป็นกลอุบายอะไร?
ชายที่ใส่ชุดจีวรแววตาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมก่อนจะหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ตายซะเถอะ! แกต้องตาย..” เขาพูดยังไม่ทันจบก็ตกใจจนตัวสั่น
เป็นฉู่ชวิ๋นกำลูกไฟไว้ในมือ แล้วขยี้ทิ้งอย่างง่ายดาย ลูกไฟกลายเป็นเพียงยันต์กระดาษธรรมดา ๆ ชายที่ใส่ชุดจีวรตกใจมากก่อนจะรีบพูดออกมา
“ไฟเอ๋ยจงลุกโชนขึ้น จงลุกโชนขึ้น….”
แต่ไม่ว่าเขาจะตะโกนยังไง ยันต์กระดาษก็ดับสนิท ราวกับยันต์กระดาษที่อยู่บนฝ่ามือของฉู่ชวิ๋นมันใช้งานไม่ได้แล้ว
ฉู่ชวิ๋นมองลงไปที่ยันต์ในมืออย่างสนใจ คิดไม่ถึงบนโลกนี้จะมียันต์อยู่ด้วย แม้ว่านี่จะเป็นเพียงแค่ยันต์ระดับต่ำที่สุด แต่เขารู้ว่าถ้ามีระดับต่ำก็ต้องมีระดับสูงอยู่แน่ ๆ ชายที่ใส่ชุดจีวรตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ยันต์วิชาไฟเป็นวิชาที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเขา อีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไปมันจับยันต์ไฟราวกับจับกระดาษธรรมดา ๆ
ฉู่ชวิ๋นยิ้มมุมปาก คิดไม่ถึงว่า โลกนี้จะมีคนที่ฝึกวิชาอาคมด้วย แถมเป็นคนที่เหี้ยมโหดจนเขาคิดว่าฆ่าไปก็ไม่เสียหายอะไร
“ฉันคืนให้!”
ฉู่ชวิ๋นดีดนิ้วแล้วยันต์ไฟก็ลอยกลับไปหาชายที่ใส่ชุดจีวรก่อนที่ยันต์ไฟจะระเบิดอย่างน่ากลัว
“ตู้ม!”
เมื่ออยู่ในอากาศ ยันต์ไฟก็กลายเป็นลูกไฟยักษ์ มันเป็นเพลิงที่ลุกโชติช่วงบรรยากาศที่เปียกชื้นถูกเผาไหม้จนส่งกลิ่นเหม็น ยันต์ไฟที่ฉู่ชวิ๋นใช้ออกมาแข็งแกร่งกว่าที่ชายใส่ชุดจีวรใช้เมื่อกี้หลายสิบเท่า!
ชายที่ใส่ชุดจีวรตกใจมากและความเร็วของยันต์ไฟก็มากเกินกว่าที่เขาจะหลบพ้น ชายที่ใส่ชุดจีวรดึงสาวน้อยที่อยู่บนโต๊ะบูชามาเป็นโล่กำบังตัวเอง ลูกไฟที่อยู่ห่างจากเขาสามเมตรจู่ ๆ ก็ดับลงไปในทันทีและยันต์กระดาษที่อยู่กลางอากาศไหม้จนกลายเป็นขี้เถ้า
ชายที่ใส่ชุดจีวรก็โล่งอก ตอนนี้เขาได้ตัดสินใจแล้ว พลังของฉู่ชวิ๋นเก่งกาจกว่าของเขาก็จริง แต่ว่าเขาไม่กลัวเพราะว่าเขายังมีสำนักของเขาอยู่ อย่างน้อยอีกฝ่ายน่าจะเกรงกลัวสำนักของเขาบ้าง “แกกับฉันก็เป็นคนที่ฝึกวิชาอาคมเหมือนกัน แถมไม่มีความแค้นต่อกันด้วย ทำไมแกมายุ่งกับฉัน?”
“แกคิดว่าแกเหมาะสมจะฝึกวิชาอาคมงั้นเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นพูดอย่างเหยียดหยาม
“แกคิดว่าแข็งแกร่งแล้วจะทำอะไรก็ได้งั้นเหรอ ฉันไม่กลัวแกหรอกนะ!” ผู้ชายที่สวมชุดจีวรพูดอย่างเคร่งขรึมก่อนพูดต่อ “พวกแกมาหาฉันที่นี่ คิดจะทำอะไรกันแน่?”
“ส่งคางคกตัวผู้มาแล้วก็ปล่อยสาวน้อยคนนั้นไป ทำลายปีศาจทารกและบอกคนที่บงการแกมา ถ้าทำตามฉันจะไว้ชีวิตแกให้” ฉู่ชวิ๋นพูดอย่างเย็นชา
“คางคกตัวผู้? พวกแกเป็นคนของตระกูลฮวา” ชายที่สวมชุดจีวรตกใจตระกูลฮวาไปหาคนที่มีพลังวิชาอาคมแกร่งกล้าแบบนี้มาได้ยังไง?
“ส่งคางคกตัวผู้มา ไม่งั้นฉันจะฆ่าแก” ผู้อาวุโสตะโกนลั่น
ผู้ชายที่สวมชุดจีวรมองผู้อาวุโสอย่างเหยียดหยาม ไม่เหมือนที่มองฉู่ชวิ๋น
“ฉันไม่ได้จะปิดบังพวกแกหรอกนะ แต่คางคกตัวผู้ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว” ผู้ชายที่สวมชุดจีวรพูดออกมา
“งั้นเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นมีแววตาหยอกล้อและพูดขึ้นมาว่า “งั้นมันอยู่ที่ไหน?”
ผู้ชายที่ใส่ชุดจีวรก็หันไปมองและพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงใจว่า “คางคกตัวผู้ถูกอาจารย์ของฉันนำกลับสำนักไปแล้ว”
“สำนัก?” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ใช่ สำนักผีของฉันอยู่ตรงชายแดน” ผู้ชายที่สวมชุดจีวรพูดและแอบมองท่าทีของฉู่ชวิ๋นด้วยความกังวลใจ เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่เกรงกลัวสำนักผีของเขา
ผู้อาวุโสเมื่อได้ยินสีหน้าก็เต็มไปด้วยความวิตกกังวล คางคกตัวผู้ถูกนำกลับไปแล้ว แล้วพวกเขาต้องทำยังไงดี? เขาได้แต่หันไปมองฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นไม่สนใจ แต่มองไปยังชายที่สวมชุดจีวรแล้วถามอีกอย่างออกมา
“ใครเป็นคนสั่งให้แกทำร้ายคนตระกูลฮวา?”
“หยุนหนานเฟิง” ชายที่สวมชุดจีวรพูดขึ้นมาอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
“นายท่าน หยุนหนานเฟิงเป็นสมาชิกที่โดดเด่นที่สุดในรุ่นของตระกูลหยุน และถูกผู้นำตระกูลเลี้ยงดูอย่างตายใจมาโดยตลอด และเป็นคนบังคับให้คุณหนูแต่งงานด้วย” ผู้อาวุโสอธิบายให้ฉู่ชวิ๋นฟังเบา ๆ
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าและมองชายที่สวมชุดจีวรก่อนถามว่า “ทำไมหยุนหนานเฟิงถึงทำแบบนี้?”
“ฉันไม่รู้เลย พวกเรามีความสัมพันธ์แค่ใช้ประโยชน์กันและกัน เขาช่วยฉันหาอาหารรสเลิศให้ปีศาจทารกของฉัน ฉันช่วยเขาทำเรื่อง….”
เขาพูดยังไม่ทันจบประโยคก็ถูกฉู่ชวิ๋นพูดขัดทันที “ถามอะไรก็ไม่รู้ไปหมด พูดจาไม่มีสาระ ในเมื่อเป็นแบบนี้ฉันจะเก็บแกไว้ใช้ทำไม!”
ไอสังหารลอยออกมาจากร่างกายของฉู่ชวิ๋น ชายที่สวมชุดจีวรสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ไอสังหารพวกนี้ทำให้เขารู้สึกตกใจกลัวถึงขีดสุด
“ปีศาจทารก ฆ่าพวกมัน!”
เขาตัดสินใจชิงลงมือก่อน ฉู่ชวิ๋นแข็งแกร่งกว่าเขามาก แต่ดูแล้วอายุน้อยมากจะเก่งได้สักแค่ไหนกัน? ปีศาจทารกแม้จะยังไม่เติบโต แต่ความแข็งแกร่งเทียบได้กับขั้นนักสู้พลังชีพจรระดับ 8 แถมเขาเลี้ยงปีศาจทารกมาอย่างดี ทำให้แข็งแกร่งกว่าปกติไม่น้อย ไม่มีทางที่จะแพ้ไอ้เด็กบ้านี่แน่!
ปีศาจทารกอดทนไม่ไหวมาตั้งแต่แรก เมื่อได้ยินเสียงคำสั่งก็ร้องเสียงแหลมและร่างกายปล่อยหมอกควันสีดำลอยออกมา ส่งกลิ่นบั่นทอนจิตใจจนยากจะต่อกร!