บทที่ 143 หาทางออก[รีไรท์]
“ฉู่ชวิ๋น ถ้าแกยังทำตัวแบบนี้ต่อไป แกจะไม่มีวันได้เจอพ่อแม่ของตัวเองอีก”
ในวินาทีนั้นเอง เสียงของชายชราคนหนึ่งก็ดังขึ้น
กลุ่มคนที่ยืนขวางทางอยู่แยกออกทันที ชายชราผู้สวมใส่ชุดจีนโบราณและมีเส้นผมสีขาวทั้งศีรษะเดินเข้ามาพร้อมด้วยสีหน้าที่เยือกเย็นและภาคภูมิ
ชายชราคนนี้มีชายชราอีกคนหนึ่งเดินตามหลังมาด้วย โดยทิ้งระยะห่างต่อกันครึ่งก้าว บอกถึงตำแหน่งผู้ติดตาม ฉู่ชวิ๋นชำเลืองมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าชายชราคนนี้มีฝีมือสูงล้ำ จัดการได้ไม่ง่ายเลย และมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น บุคคลระดับสูงภายในตระกูลต้องไม่ใช่ผู้ที่มีฝีมือต่ำต้อยอยู่แล้ว
“ฉันชื่อหลิวจื้อไจ้ ความจริงแกต้องเรียกฉันว่าคุณตาทางสายเลือด แต่ฉันรู้ว่ามันคงเป็นไปไม่ได้หรอก” ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เหมือนกับตาแก่ใจดีทั่วไป
แต่คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของหลิวจื้อไจ้ ทำให้กลุ่มคนที่ยืนอยู่โดยรอบแตกตื่นไปทันที
“ท่านผู้เฒ่าหมายความว่ายังไง? อย่าบอกนะว่าฉู่ชวิ๋นเป็นหลานแท้ๆ ของเขา?”
“ไม่มีทาง พวกเขาจะเป็นญาติกันได้ยังไง”
บอดี้การ์ดของตระกูลหลิวกระซิบกระซาบกันอย่างอยากรู้อยากเห็น
คนอื่น ๆ ที่ถูกเส้นไหมสีขาวรัดลำคออยู่หวาดกลัวเกินกว่าที่จะพูดออกมาได้ แต่ดวงตาของเขาปรากฏความตกตะลึงขึ้นมาอย่างชัดเจน มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังคุมสีหน้าให้สงบเยือกเย็นอยู่ได้
สีหน้าของฉู่ชวิ๋นยังคงสงบเยือกเย็น มุมปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มเหยียดหยันเล็กน้อย
เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่เขารู้อยู่แล้วจากการตรวจค้นความทรงจำของ
หลิวเจี่ยเฟย
หลิวจื้อไจ้กวาดตามองโดยรอบและพูดด้วยน้ำเสียงยานคางว่า “ทุกคนไม่ต้องเดาอีกต่อไปแล้ว แม่ของฉู่ชวิ๋นมีแซ่หลิว และเธอก็คือลูกสาวของฉันเอง”
ทุกคนตกตะลึงถึงกับพูดไม่ออก เหตุการณ์พลิกผันขนาดนี้ ไม่มีใครตั้งตัวรับได้ทัน
“แม่ฉันมีแซ่หลิวก็จริง แต่แม่ฉันไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลหลิว” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ
“ฉู่ชวิ๋น ฉันไม่รู้นะว่าแกรู้เรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน แต่ฉันอยากจะบอกว่า แกต้องยอมรับความจริงว่าแม่ของแกเป็นลูกสาวของฉัน เลือดในตัวแกเป็นเลือดของตระกูลหลิว นั่นคือสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้” หลิวจื้อไจ้พูดด้วยเสียงเข้มขึ้น
“เลือดตระกูลหลิวที่อยู่ในตัวฉัน ทำให้ฉันรู้สึกสกปรก แม่ฉันก็คงคิดแบบนั้นเหมือนกัน” ฉู่ชวิ๋นพูดเสียงเรียบและมองหน้าหลิวจื้อไจ้ด้วยความเฉยชา “ถ้าฉันได้เจอแม่เมื่อไหร่ เดี๋ยวฉันจะคืนเลือดตระกูลหลิวที่อยู่ในตัวให้พวกนายเอง”
“แก…” หลิวจื้อไจ้พูดไม่ออก ฉู่ชวิ๋นมีสติที่เยือกเย็นมากเกินไป เยือกเย็นจนน่ากลัว
ชายชราถอนหายใจและพูดว่า “ฉู่ชวิ๋น ฉันรู้ว่าฉันทำผิดกับแม่แกเอาไว้เยอะ ฉันต้องขอโทษด้วยก็แล้วกัน ที่จริงเราทุกคนรู้กันหมดว่าเซียงหรูทำอะไรลงไป แต่ไม่ต้องห่วงนะ ในอนาคตเดี๋ยวพวกเราจะชดใช้ให้เอง”
คิ้วของฉู่ชวิ๋นเลิกขึ้นสูงเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดอย่างเยาะเย้ยว่า “คิดว่าฉันอยากให้พวกนายชดใช้อะไรให้งั้นเหรอ ฉันไม่ใช่ไอ้ขี้ขลาดที่พวกนายจะจับยัดเข้าคุกได้เหมือนเมื่อ 3 ปีที่แล้วอีกแล้วนะ”
หลังจากนั้น สีหน้าของฉู่ชวิ๋นก็แปรเปลี่ยนไปทันที เหมือนกับทะเลสาบที่เงียบสงบได้กลายเป็นทะเลคลั่งยามมีพายุขึ้นมาแล้ว
“ตอนนี้ฉันไม่ได้อยากได้รับการชดใช้อะไร เพราะขอแค่ฉันต้องการตอนนี้ ฉันก็สามารถฆ่าล้างตระกูลหลิวได้ทุกเมื่อ” เขาจ้องมองหลิวจื้อไจ้ พูดด้วยน้ำเสียงข่มขวัญ
หลิวจื้อไจ้ไม่ได้มีท่าทีสบายใจต่อไปแล้ว เขามองไม่เห็นแววตาอ่อนโยนในดวงตาของฉู่ชวิ๋นเลย มันมีเพียงแต่ความเย็นชาไร้หัวใจไม่มีที่สิ้นสุดเท่านั้น
“ฉู่ชวิ๋น ทำไมกัน แกรู้เรื่องนี้มากแค่ไหน เราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ เราเกิดมาจากต้นตระกูลเดียวกัน ทำไมถึงต้องมาเข่นฆ่ากันเองด้วย? พวกเราไม่ได้ป่าเถื่อนขนาดนั้นสักหน่อย” หลิวจื้อไจ้พูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้าและใบหน้าเศร้าหมอง
“เราไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน เราไม่ได้มาจากต้นตระกูลเดียวกัน ไม่มีวัน!” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยสีหน้าอำมหิต “หลิวเซียงหรูจะต้องตาย!”
“ต้องทำถึงขนาดนั้นเลยเหรอ?” หลิวจื้อไจ้พูดเหมือนคนใจสลาย
ฉู่ชวิ๋นเมินเฉยและไม่สนใจ
“แม่แกต้องไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ฉันเป็นพ่อของเธอ ไป๋เฟิงเป็นพี่ชายของเธอ ทุกคนที่อยู่ที่นี่เป็นพี่น้องของเธอทั้งหมด แม้แต่เซียงหรูก็มีฐานะเป็นหลานของเธอ ยังไงเลือดก็ต้องข้นกว่าน้ำ ถ้านายฆ่าคนตระกูลหลิว คิดว่าแม่แกจะพอใจหรือไง?”
ฉู่ชวิ๋นตกตะลึงไปเล็กน้อยและมองหน้าหลิวจื้อไจ้ด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่จะส่งเสียงหัวเราะเยาะด้วยความขบขัน “ฉันมีชีวิตอยู่มา 20 กว่าปี โดยไม่รู้เลยว่าตัวฉันเองมีพี่น้องอยู่ด้วย อีกอย่าง แม่ฉันเป็นลูกนอกสมรสของตระกูลหลิว แม่ไม่เคยได้รับอนุญาตให้เดินเข้ามาที่นี่ด้วยซ้ำ ในเมื่อพวกนายไม่อยากจะนับญาติกับแม่ฉัน แม่ก็คงไม่ว่าฉันหรอก ถ้าฉันจะฆ่าพวกแกทิ้งทั้งหมด!!!”
หลิวจื้อไจ้มีสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าฉู่ชวิ๋นจะรู้ข้อมูลลึกถึงขนาดนี้
“ฉู่ชวิ๋น ใครเป็นคนบอกแกเรื่องนี้? อย่าไปเชื่อเรื่องไร้สาระที่คนอื่นพูดเลย มันไม่ใช่สิ่งที่แกควรจะรับฟัง คนคนนั้นตั้งใจใส่สีตีไข่ให้นายเกลียดชังตระกูลหลิวต่างหาก”
รอยยิ้มเย้ยหยันหายไปจากใบหน้าของฉู่ชวิ๋น ก่อนที่เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ฉันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลหลิว ทำไมถึงต้องมีคนอยากให้เกลียดตระกูลหลิวด้วย อีกอย่าง คนที่บอกเรื่องทั้งหมดนี้กับฉันก็คือหลิวเจี่ยเฟย นายคงรู้จักเขาดีอยู่แล้ว”
ทุกคนที่อยู่ในคฤหาสน์ตระกูลหลิวตกตะลึง แน่นอนว่าพวกเขารู้จักหลิวเจี่ยเฟย ชายหนุ่มผู้โด่งดังที่สุดคนหนึ่งของยุคสมัยในตระกูลอยู่แล้ว
หลิวจื้อไจ้ทำหน้าเหมือนกับคนท้องผูก ไม่คิดเลยว่าฉู่ชวิ๋นจะรู้ข้อมูลมาจากปากของหลิวเจี่ยเฟย หลิวเจี่ยเฟยเป็นคนที่สามารถฝากความหวังไว้ได้มากที่สุดของตระกูลในเวลานี้ แล้วทำไมถึงได้ทรยศตระกูลหลิวแบบนี้นะ?
“ฉู่ชวิ๋น แกพูดจริงหรือเปล่า? เจี่ยเฟยจะบอกเรื่องพวกนั้นทำไม”
ฉู่ชวิ๋นยังคงมองชายชราด้วยความเฉยชา และพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“คนเราเมื่อเผชิญหน้ากับความตาย ไม่ว่าอะไรก็ยอมพูดทั้งนั้น”
“ไอ้สารเลว แกต้องการอะไรกันแน่” ทันใดนั้นเอง ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งอยู่ในกลุ่มคนตระกูลหลิวส่งเสียงตะโกนใส่ฉู่ชวิ๋น “ถ้าแกทำอะไรลูกชายฉันแม้แต่นิดเดียว ฉันจะหั่นเนื้อพ่อแม่แกเอาไปให้หมากิน”
ขวับ!
เลือดสาดกระจายในอากาศ หัวคนลอยคว้าง ดวงตาเบิกโตเหมือนไม่เชื่อว่าความตายได้มาถึงตัวแล้ว
“เหวอ…”
หลายคนที่อยู่แถวนั้นถึงกับร้องอุทานด้วยความสยดสยอง เมื่อมีเลือดสาดกระเด็นมาเปรอะเปื้อนทั่วตัว หลังจากนั้น คนกลุ่มนี้ก็กรีดร้องด้วยความเสียสติทันที บางคนถึงกับตกใจจนเป็นลมไปแล้ว
หัวคนกลิ้งไปหยุดอยู่ที่ปลายเท้าของอีกคนหนึ่ง คนผู้นั้นอ้าปากกว้างด้วยความตกใจกลัว แต่ก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา มีเพียงแต่กลิ่นฉุนลอยออกมาเท่านั้น เพราะว่าเขาหวาดกลัวจนปัสสาวะพรั่งพรูออกมาแล้ว
ทุกคนหวาดกลัวจนปัสสาวะราดอุจจาระแตกอย่างแท้จริง
หลิวจื้อไจ้ถึงกับตัวสั่น แต่ไม่มีใครแน่ใจว่าชายชรากำลังโกรธหรือกำลังกลัวกันแน่
“แก…” เขาชี้หน้าฉู่ชวิ๋น ใบหน้ากระตุกอย่างรุนแรง นิ้วมือสั่นเทา พูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
เส้นผมของฉู่ชวิ๋นโบกสะบัดตามแรงลมหลังจากที่เขาลดฝ่ามือลง ดวงตาของเขาสุกใสเหมือนกับดวงอาทิตย์สีทองคำ สว่างสดใสเหมือนกับ เเสงเเดดแรกปลายฤดูใบไม้ผลิ
“ไป๋เทียน…” หลิวจื้อไจ้คุกเข่าลงข้างศพและร้องไห้ครวญคราง นี่คือลูกชายของเขา แต่กลับถูกฉู่ชวิ๋นตัดหัวทิ้งไปต่อหน้าต่อตาเขา
“ทำไมกัน? เขาแค่เป็นห่วงลูกชายของตัวเอง มันผิดตรงไหน เขาเป็นลุงหกของแกนะ ทำไมแกถึงได้ใจดำอำมหิตแบบนี้ ฉันจะทำยังไงกับแกดี”
สีหน้าของหลิวจื้อไจ้เต็มไปด้วยคำถาม สีหน้าของฉู่ชวิ๋นไม่มีความเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย แม้แต่คิ้วของเขาก็ยังไม่ขยับด้วยซ้ำตอนที่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เขาทำผิดมากเกินไป และหนึ่งในเรื่องที่เขาเคยทำก็ทำให้เขาต้องตาย เขาเคยขัดขวางไม่ให้แม่ฉันมาที่บ้านตระกูลหลิว แต่นั่นยังไม่เป็นไร ที่ร้ายแรงคือเขาส่งนักฆ่ามาตามล่าเราตอนที่ฉันเกิด แต่เขาเข้าใจมาตลอดว่านักฆ่าคนนั้นทำงานสำเร็จแล้ว ไม่งั้นฉันก็คงอยู่รอดมาจนถึงวันนี้ไม่ได้ หลิวจื้อไจ้ กล้าพูดไหมล่ะว่าไม่รู้เรื่องพวกนี้?”
หลิวจื้อไจ้ตกตะลึงยืนตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าพูดคำใด เพราะเขารู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี และที่ผ่านมาเขาก็ดุด่าหลิวไป๋เทียนเรื่องนี้อยู่เสมอ
“ในอดีต แค่ไม่มีใครมายุ่งเกี่ยวกับเราฉันก็พอใจแล้ว แต่นายไม่ควรส่งคนมายุ่งกับพ่อแม่ฉันเลย” ฉู่ชวิ๋นพูดเบา ๆ