บทที่ 189 สัตว์เทพทั้งสี่[รีไรท์]
ฉึกก!
ฉู่ชวิ๋นใช้นิ้วมือแทนมีดแล้วตัดผ่านอากาศ! ลมปราณที่แหลมคมพุ่งออกจากปลายนิ้วของเขา จากนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงกรีดร้องจากลำคอของหวูฉางเฟิง
“อ้ากกกก”
ทันใดนั้น หวูฉางเฟิงที่เหมือนซากสุนัขที่ตายแล้วก็เริ่มวิ่งพล่านไปเหมือนหมา ลมปราณของฉู่ชวิ๋นตัดผ่านรอยแยกบนพื้นดินทำให้ดินกระจายไปทั่ว ดวงตาที่เย็นชาของฉู่ชวิ๋นแสดงความตกใจออกมา พลังของปรมาจารย์ระดับแปด มันเกินกว่าเขาที่จินตนาการเอาไว้อีกแล้ว หวูฉางเฟิงกระโดดหนีอย่างไม่มีการหยุดพัก
ขณะเดียวกัน เฉินหวูฮุยก็เริ่มเคลื่อนไหวเขาพุ่งลงมาจากชั้นสาม ของสำนัก ตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวหวูฉางเฟิง ฉู่ชวิ๋นไม่ได้ไล่ตาม แต่ฉู่ชวิ๋นกลับมองดูพวกเขาอย่างเฉยเมย
“ไอ้เด็กบ้านี้ชั่วร้ายเกินไป….” หวูฉางเฟิงสะบัดผ้าคลุมไหล่ที่เปรอะเปื้อนของเขา ใบหน้าของเขาซีดเผือดและกระอักเลือดออกมาก่อนที่จะพูดจบ
ปากของฉู่ชวิ๋นสั่นอย่างรังเกียจ หวูฉางเฟิงมันคิดว่าปรมาจารย์ขั้นแปดนั้น ไม่สามารถถูกทุบตีจนตายได้งั้นหรอ? เขาชำเลืองมองหวูฉางเฟิง แล้วมองไปที่เฉินหวูฮุย
“เฉินหวูฮุยลงมา แล้วมาสู้กับฉัน” ฉู่ชวิ๋นชี้นิ้วแล้วและตะโกนออกมา ทุกคนที่เฝ้าดูการต่อสู้นั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเลือดภายในจิตใจของพวกเขาก็ได้ถูกจุดประกาย ท่าท่างของฉู่ชวิ๋นที่มีต่อศัตรูนั้นดูเท่มาก หวูฉางเฟิงถูกทุบตีจนปางตาย ปรมาจารย์ขั้นแปดที่น่าเกรงขามเหมือนเทพเจ้า ตอนนี้เหมือนหมาโง่ที่กำลังวิ่งพล่าน เฉินหวูฮุยยังกล้าที่จะสู้ไหม?
ใบหน้าแก่ ๆ ของหวูฉางเฟิงบิดเบี้ยวจนผิดรูป เขาถูกทุกคนเมิน
ดวงตาของเฉินหวูฮุยดุดันและพูดอย่างดุร้าย “ฉู่ชวิ๋น ภูเขาเซวียนฉีแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ ที่แกจะมาหยิ่งผยองได้!!”
“แล้วยังไง?” ฉู่ชวิ๋นพูดเยาะเย้ยว่า “เฉินหวูฮุย ถ้าแกกล้าลงมาสู้กับฉัน ฉันอาจจะออมมือให้บ้างก็ได้นะ!” ทุกคนที่รอดูการต่อสู้ตกใจมาก เฉินหวูฮุยเข้าใจความหมายของฉู่ชวิ๋นดี ฉู่ชวิ๋นมันไม่ใช่แต่อยากทำลายสำนักสวรรค์ฟ้า แต่มันยังอยากทำลายชื่อเสียงที่สั่งสมมานับหลายร้อยปีของสำนักด้วย!!!
“ฉู่ชวิ๋น อย่างที่ฉันบอกไปแล้ว ภูเขาเซวียนฉีนี้ไม่ใช่สถานที่ ที่แกจะมาแสดงความหยิ่งผยองได้” เฉินหวูฮุยยิ้มกว้างแล้วตะโกนเสียงดังก้อง มีคนจำนวนมากปรากฏตัวขึ้น ทุกคนคือบรรดาผู้อาวุโสแห่งสำนักสวรรค์ฟ้า
“ฉู่ชวิ๋น แกรู้จักความหมายของคำว่าภูเขาเซวียนฉีไหม?”สีหน้าของเฉินหวูฮุยเปลี่ยนไป
ฉู่ชวิ๋นยกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและเย้ยหยัน “เฉินหวูฮุย สิ่งที่แกพูดหมายถึงค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์ของที่นี่งั้นหรอหึ?” ภูเขาเซวียนฉีทั้งหมดถูกครอบคลุมอยู่ภายใต้จิตวิญญาณของฉู่ชวิ๋น ไม่มีมดหรือหญ้าแม้แต่ต้นเดียวสามารถหลบหนีจากจิตวิญญาณของฉู่ชวิ๋นได้ เขาสังเกตเห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าสำนักสวรรค์ฟ้าชั้นสอง แปลกไปและมีค่ายกลที่ยังหลงเหลืออยู่
ใบหน้าของเฉินหวูฮุยเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ฉู่ชวิ๋นรับรู้ถึงตัวตนของค่ายกลที่เหลืออยู่ได้ยังไง? เรื่องนี้เป็นที่รู้กันแค่เพียงภายในสำนักสวรรค์ฟ้า และผู้อาวุโสของเขาเท่านั้น
ใบหน้าของหวูฉางเฟิงสิ้นหวัง เขาอยากจะดูดเลือดกินเนื้อของฉู่ชวิ๋นด้วยการฉีกกระชากเนื้อของมัน แต่เมื่อได้ยินที่ฉู่ชวิ๋นพูด เขาเองก็สงสัยไม่น่ามีคนทรยศหักหลังสำนักสวรรค์ฟ้า มันเป็นไปไม่ได้ที่มีคนทำแบบนั้นแล้ว…มันรู้ได้ยังไง?
เฉินหวูฮุยและหวูฉางเฟิงสบตากัน พวกเขาทั้งคู่เข้าใจความหมายในสายตาของกันและกัน นั่นคือฆ่าฉู่ชวิ๋นก่อน!!!
“เอาเลย!”
เฉินหวูฮุยออกคำสั่ง ผู้อาวุโสหลายสิบคนเคลื่อนไหวพร้อมกันและพุ่งตรงไปที่เฉินหวูฮุยและหวูฉางเฟิง
“ฉู่ชวิ๋น ตายซะ เลือดของแกจะชำระความอัปยศของภูเขาเซวียนฉี” เฉินหวูฮุยทุบกำแพงหินอย่างรุนแรง
กำแพงหินระเบิดออกเผยให้เห็นพื้นที่ไม่เกินหนึ่งลูกบาศก์ มีรูปสลักหินซ่อนอยู่ในนั้น ซึ่งถูกแกะสลักด้วยมือซึ่งมีขนาดเท่ากับฝ่ามือของผู้ใหญ่
ร่างกายของเฉินหวูฮุยอัดแน่นไปด้วยลมปราณหินแกะสลักบนฝ่ามือของเขาแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ในขณะเดียวกัน ผู้อาวุโสหลายสิบคนก็วิ่งไปรอบ ๆ และคนด้านหลังสุดก็เอาฝ่ามือของพวกเขาไปทาบไว้บนหลังของคนที่อยู่ข้างหน้า ส่งผ่านกำลังภายในทีละคน จนกระทั่งเป็นแถวยาวเหมือนมังกรเข้าสู่ร่างกายเฉินหวูฮุย
บรรยากาศรอบตัวเฉินหวูฮุยเปลี่ยนไป รูปปั้นหินเปล่งประกายขึ้นมาทันที ทุกคนตกตะลึงนี่คือการรวบรวมพลังของทุกคนในร่างเฉินหวูฮุยแต่เพียงผู้เดียว
นี่มันเป็นไปได้ยังไงกำลังภายในจำนวนมากที่มาบรรจบกันในร่างกายของตัวเอง แม้เฉินหวูฮุยจะแข็งแกร่งขนาดไหน ร่างกายเขาก็ไม่อาจทนไหวและมีทางเดียวคือร่างระเบิดแหลกเหลว
ฉู่ชวิ๋นมองด้วยความสนใจ หมื่นลำธารกลับสู่ทะเล นี่เป็นวิชาลับฝ่ามือของหินแกะสลักเปล่งประกาย
ตู้มม!
ภูเขาเซวียนฉีทั้งหมดสั่นสะเทือน ทุกคนรู้สึกประหม่า ในฐานะจอมยุทธ์พวกเขากับรู้สึกตื่นเต้นและพวกเขาทุกคนรู้สึกถึงอันตรายที่น่าหวาดกลัว
ตู้มม!
พื้นดินทั้งสี่ทิศทาง เหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตกของสำนักก็ระเบิดอย่างกะทันหัน รูปปั้นหินขนาดใหญ่สี่ชิ้นก็ค่อย ๆ ปรากฏตัว
หินแกะสลักทั้งสี่นั้น ถูกแกะสลักเป็นสัตว์ในตำนานทั้งสี่ ได้แก่ มังกรฟ้า พยัคฆ์ขาว หงส์แดง เต่าคะนองที่น่ากลัว ยิ่งกว่านั้นคือรูปปั้นหินที่เพิ่งปรากฏแพร่ความชั่วร้ายกระจายไปทั่ว นอกจากนี้ พวกมันยังเป็นสัตว์ในตำนาน สัตว์เทพทั้งสี่นั้นมีใบหน้าที่ดุร้าย ดวงตาเปื้อนเลือดและมีกลิ่นอายกระหายเลือดอยู่ทั่วตัวของพวกมัน
วูบ!
ทันใดนั้น ลมพายุลอยออกมาพร้อมกับลมหายใจที่น่าสะพรึงกลัวของทั้งสี่ รวมเข้าด้วยกัน กักขังฉู่ชวิ๋นเอาไว้ตรงกลาง
ชั่วครู่หนึ่ง มังกรและพยัคฆ์ก็ส่งเสียงคำราม หงส์ส่งเสียงกรีดร้องพร้อมกับเต่า ความเจ็บปวดที่น่าสะพรึงกลัวก็พัดผ่านทำให้ผู้คนสั่นสะเทือน
“อะไรกัน?” บางคนในฝูงชนอุทาน พวกเขารู้สึกถึงวิกฤตที่อยู่ใกล้มากไม่ต้องพูดถึงฉู่ชวิ๋นที่อยู่กลางพายุนั้นเลย
“ภูเขาเซวียนฉี มีความลึกลับโบราณที่ถูกซ่อนอยู่จริง ๆ มันร้ายกาจมาก” หยานอี้อดไม่ได้ที่จะแสดงอาการแปลกใจออกมา เจ้าสำนักเทียนหวู่หายจากอาการช็อกและยิ้มอย่างขมขื่น
“ภูเขาเซวียนฉีแห่งนี้น่ากลัวจริงๆ ฉันไม่รู้ว่าจอมมารฉู่ จะสามารถต้านทานได้หรือไม่? แต่ถ้าเป็นฉัน ฉันคิดว่าฉันทำไม่ได้แน่ๆ” ทุกคนรู้สึกตื่นตกใจกับสัตว์เทพทั้งสี่หลังของพวกเขาก็รู้สึกเย็นวาบ
“ไอ้หนุ่มเอ็งเป็นยังไงบ้าง?” ใบหน้าของหลงอ๋าวเปลี่ยนไป เขาตะโกนถามฉู่ชวิ๋นอย่างเป็นห่วง เพราะว่าเขารู้สึกได้ถึงวิกฤติอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ฮวาชิงหวู่เองก็ยังตื่นตกใจแต่เธอไม่กล้ากะพริบตา เธอจับกระบี่ไม้ในมือแน่น มือที่เหมือนหยกผอมเพรียวของเธอขาวซีด
“เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวชวิ๋น?” หลิวหรานถามอย่างใจจดใจจ่อ ฉู่เทียนเหอกำมือแน่น ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
“ไม่ต้องห่วง ไอ้สำนักบ้านี้ใกล้จบสิ้นแล้ว” ฉู่ชวิ๋นพูดขึ้นด้วยความรังเกียจ
“ใกล้จบสิ้นหรอ? ฉู่ชวิ๋น แกนี้มันช่างโอ้อวดเสียจริง” เฉินหวูฮุยที่ได้รวบรวมกำลังภายในไว้ในรูปแกะสลักหิน ใบหน้าของเขาค่อนข้างบิดเบี้ยว ดูเหมือนว่าการเปิดใช้งานค่ายกลนี้จะไม่ใช่เรื่องง่าย
ฉู่ชวิ๋นจ้องมองเขาอย่างเฉยเมย จากนั้นก็ถอนสายตาของเขาอย่างไม่สนใจ ใบหน้าของฉู่ชวิ๋นดูมีภูมิฐานขึ้นเล็กน้อย สัตว์ทั้งสี่คำรามออกมา กรงเล็บและฟันของพวกมันร่ายรำราวกับว่า จะวิ่งออกมาจากหินแกะสลัก
วิชานี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ แม้ว่ามันจะเป็นค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์ แต่มันก็เป็นค่ายกลสังหารที่น่ากลัวมาก เหตุผลที่เขาพูดออกไปแบบนั้นเพียงเพื่อทำให้พ่อแม่ของเขาสบายใจเท่านั้น
แต่เขาไม่ได้กังวลมากนัก วิชานี้จะต้องใช้กำลังจากภายนอกในขับเคลื่อน ยกตัวอย่างเช่น ตอนนี้มันต้องใช้พลังอันยิ่งใหญ่เพื่อเปิดใช้งานและสนับสนุนไม่ให้พลังขาดช่วง แต่ค่ายกลของฉู่ชวิ๋นนั้น ไม่ต้องมีแรงจากภายนอกก็สามารถทำงานได้ด้วยตัวมันเอง เพียงแค่สิ่งนี้อย่างเดียวก็ถือว่าเป็นค่ายกลระดับสูงกว่าค่ายกลของสำนักสวรรค์ฟ้าแล้ว
ฟุบ!
ทันใดนั้น หวูฉางเฟิงก็ใช้เลือดของเขาหยดลงบนก้อนหินแกะสลัก เลือดของเขาซึมเข้าไปในนั้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นหินแกะสลักก็เต็มไปด้วยแสงสว่าง สัตว์ร้ายยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีกและร่างกายครึ่งหนึ่งของมันก็ถูกปล่อยให้เป็นอิสระ
“ผู้อาวุโสใหญ่…” ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ อุทาน
“ผู้อาวุโสหวู จำเป็นต้องทำขนาดนี้เลยหรอ?” เฉินหวูฮุยเองก็ตกใจมาก หน้าของหวูฉางเฟิงหน้าซีดเผือดอย่างรวดเร็ว และใบหน้าแก่ ๆ ของเขาดูย่ำแย่จนน่าสยดสยอง
“ตราบใดที่มันฆ่าฉู่ชวิ๋นได้ เลือดพวกนี้ก็ถือว่าคุ้ม ต่อให้ฉันต้องตายเพื่อเปิดค่ายกล ฉันก็จะไม่ลังเลเลย” คำพูดของหวูฉางเฟิงช่างน่ากลัว มันแสดงให้เห็นว่าเขาเกลียดชังฉู่ชวิ๋นมากแค่ไหน
ในทางตรงกันข้าม ฉู่ชวิ๋นเองก็เกลียดหวูฉางเฟิงมาก ฉู่ชวิ๋นตัดสินใจแล้วว่าหวูฉางเฟิงต้องตายวันนี้!
“หวูฉางเฟิง เฉินหวูฮุยเบิกตาของพวกแกดูให้ดี ๆ รอดูฉันทำลายมันแล้วไปตัดหัวของพวกแกต่อ!!!” ฉู่ชวิ๋นพูดอย่างเย็นชา ดวงตาของเขาแหลมคมราวกับดาบที่คมกริบ สันหลังของหวูฉางเฟิงแล้วเฉินหวูฮุยเย็นวูบ เมื่อสบตากับฉู่ชวิ๋น