บทที่ 209 ตัดหัว[รีไรท์]
ราชันย์โลหิตร้องคำราม ระเบิดพลังจนภูเขาสั่นสะเทือน แต่อย่างไรก็ตามมนุษย์มีพลังอย่างจำกัด แม้ว่าราชันย์โลหิตจะเป็นถึงปรมาจารย์ระดับเก้า ก็ไม่สามารถปล่อยพลังลมปราณได้อย่างยาวนานขนาดนี้
พลังของชายชราเริ่มลดน้อยลงและเชื่องช้ามากขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากนั้นอีกครู่ใหญ่ ราชันย์โลหิตก็มีสภาพเหมือนกับสัตว์ที่ติดกับดัก ไม่หลงเหลือเรี่ยวแรงอีกต่อไปแล้วได้แต่หอบหายใจ มีเหงื่อออกท่วมตัว และพลังลมปราณก็ลดน้อยลงอย่างน่าใจหาย
“ฉู่ชวิ๋น แกกล้าเรียกตัวเองว่าจอมมารได้ยังไง อย่ามัวแต่หดหัว รีบไสหัวออกมารับความตายเดี๋ยวนี้ …”
ราชันย์โลหิตแผดเสียงดังกึกก้อง แต่เสียงของเขาไม่มีพลังเหมือนอย่างเคย เลือดเป็นสายไหลลงมาจากศีรษะหยดลงไป ไม่นานก็รวมตัวเป็นเลือดกองใหญ่
ก่อนหน้านี้ ชายชราสูญเสียเลือดไปเป็นจำนวนไม่น้อยตอนนี้เลือดแทบหมดตัวแล้ว! ดังนั้นร่างกายของเขาจึงอ่อนแอมาก
ฉู่ชวิ๋นยังไม่กล้าลงมือ เพราะเกรงว่าอาจเป็นแผนการของราชันย์โลหิตก็ได้
อีกฝ่ายหนึ่งเป็นจอมยุทธ์ มีพลังลมปราณห่อหุ้มร่างกายในขณะที่ตัวเขาเองไม่เหลือพลังอะไรเลยใช้ได้ เพียงแค่พลังจิตสื่อสารกับจิ่วโยวเท่านั้น
“จิ่วโยว อย่าเพิ่งทำอะไรวู่วาม ระวังจะเป็นแผนลวง” ฉู่ชวิ๋นพูดคุยผ่านทางพลังจิตกับจิ่วโยวที่เลื้อยไปมาอยู่บนพื้น
ราชันย์โลหิตเป็นปรมาจารย์ระดับเก้า ถึงจะอ่อนแอแค่ไหนก็ยังคงน่าหวาดกลัวอยู่ดี ชายหนุ่มจะประเมินอีกฝ่ายหนึ่งต่ำไปไม่ได้ คนหนึ่งคน งูหนึ่งตัว รอคอยอย่างอดทน
เวลาเดินไป ท้องฟ้ามืดมิด แสงสว่างในป่าทึบจางหาย ลมหนาวเริ่มโชยพัด ใบไม้ที่ร่วงหล่นอยู่ตามพื้นดินถูกลมพัดปลิวลอยไป
“ฉู่ชวิ๋น ฉันขอเข้าไปดูหน่อยนะ” เสียงของจิ่วโยวดังขึ้น
ในขณะนี้ ราชันย์โลหิตมีสภาพเหมือนกับคนตายแล้ว เลือดจำนวนมากไหลทะลักออกมาจากบาดแผล บนร่างกายและชายชราก็นอนแน่นิ่งอยู่เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว
“ระวังตัวด้วย” ฉู่ชวิ๋นร้องเตือน
จิ่วโยวส่งเสียงฟ่อ ๆ รับคำและเลื้อยเข้าไปอย่างระมัดระวัง เจ้างูเหลือมเกือบจะเข้าไปถึงตัวราชันย์โลหิตแล้ว อีกเพียงแค่ประมาณห้าเมตรเท่านั้น ราชันย์โลหิตยังคงนอนแน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
วูบ!
ลำตัวของจิ่วโยวเปล่งแสงเป็นประกายแวววาว ในขณะที่เลื้อยตรงเข้าไปยังลำคอของราชันย์โลหิต
แต่ในทันใดนั้นเอง ราชันย์โลหิตที่นอนแน่นิ่งอยู่พลันระเบิดมวลพลังสีแดงเลือด เสื้อผ้าของเขาปลิวไสว ชายชรายกมือขึ้นมาจับหัวของจิ่วโยวด้วยมือข้างหนึ่งและใช้มืออีกข้างจับหางของงูเหลือมเอาไว้ แขนของราชันย์โลหิตระเบิดพลังลมปราณออกมาพร้อมกับส่งเสียงคำราม ในขณะที่พยายามฉีกร่างของจิ่วโยวให้ขาดออกเป็นสองท่อน
ฉู่ชวิ๋นเบิกตาโต กระโดดเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยความร้อนรน ราชันย์โลหิตวางแผนตบตาพวกเขาอยู่จริง ๆ ด้วย
ฟ่อ!
ในเวลาเดียวกันนี้ จิ่วโยวส่งเสียงขู่ด้วยความโกรธแค้น พื้นดินสั่นสะเทือน วินาทีต่อมา จิ่วโยวก็โคจรพลังลมปราณ
เมื่อเจ้างูเหลือมโคจรพลัง หัวของมันก็แข็งแกร่งเหมือนภูผา เกล็ดบนลำตัวก็เหมือนเหล็กกล้าที่เย็นเยียบ แสงสว่างเปล่งประกายจากลำตัวเหมือนกับมังกรศักดิ์สิทธิ์
จิ่วโยวขนาดตัวใหญ่มาก อาจจะใหญ่กว่าจักรพรรดิอ๋าวฮวงเสียด้วยซ้ำ
เมื่อฟื้นฟูพลังขึ้นมาได้แล้วจิ่วโยวก็ระเบิดพลังออกมา ก้อนหินใหญ่แตกกระจาย ต้นไม้โค่นล้ม พื้นดินเต็มไปด้วยรอยแตกแยก
ราชันย์โลหิตอ้าปากค้าง ก่อนหน้านี้จิ่วโยวเป็นแค่เพียงงูเหลือมตัวเล็กที่มีขนาดเท่ากับหัวนิ้วโป้งของเขา ลำตัวก็ยาวเพียงแค่ยี่สิบเซนติเมตรเท่านั้น แต่ในพริบตาเดียว จิ่วโยวก็เปลี่ยนร่างกลายเป็นงูยักษ์ น้ำหนักเยอะมากจนแบกเอาไว้ไม่ไหว น้ำหนักของเจ้างูยักษ์กดทับลงมาบนตัวของชายชรา จนร่างกายของเขาครึ่งหนึ่งจมหายลงไปใต้พื้นดินแล้ว
จิ่วโยวขยับตัว เกล็ดบนตัวของมันคมเหมือนใบมีดโกน เพียงแค่มันพันตัวรอบร่างกายของราชันย์โลหิต เลือดเป็นสายก็พุ่งกระฉูดออกมา ดูน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
ราชันย์โลหิตส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด จิ่วโยวยกหางขึ้น แล้วฟาดลงไปเต็มแรง
พลั่ก!
ราชันย์โลหิตไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมาสักคำ ร่างกายก็แตกสลายกลายเป็นม่านหมอกเลือด ศีรษะเป็นส่วนเดียวที่กลิ้งกระเด็นออกมาจากลำตัวตกลงบนพื้นดินก่อนที่จะเกิดรอยแตกร้าวกินพื้นที่บริเวณกว้าง ภูเขาแทบถล่มลงมาจากการเคลื่อนไหวของจิ่วโยว
“ตายดี ๆ ไม่ชอบ ชอบตายแบบนี้ก็ไม่บอก” เสียงของจิ่วโยวดังขึ้นด้วยความเหยียดยาม ตอนที่ฉู่ชวิ๋นได้ยินประโยคนี้เขาก็รู้สึกโล่งอกเป็นอย่างยิ่ง
…
เช้าวันต่อมา ฉู่ชวิ๋นตื่นขึ้นมาแล้ว
อาการบาดเจ็บส่วนใหญ่ได้รับการเยียวยาเป็นอย่างดีอย่างน้อยพลังลมปราณ ก็กลับมาเท่าเดิมก่อนบาดเจ็บ ร่างกายของเขาไม่เกิดผลกระทบอะไรเพิ่มเติมมากกว่านั้น
จิ่วโยวย่อขนาดตัวกลับลงมาเท่าเดิมเช่นกันและขณะนี้เจ้างูสามารถควบคุมขนาดร่างกายของตนเองได้ โดยไม่ต้องใช้พลังจากฉู่ชวิ๋นอีกแล้ว ด้วยเหตุนี้ คนหนึ่งคน งูหนึ่งตัว จึงเดินทางกลับไปที่ภูเขาเฉียนหลงอีกครั้ง
ณ บริเวณตีนเขาเฉียนหลง ฉู่ชวิ๋นนำหัวของราชันย์โลหิตมาผูกไว้กับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง หลังจากนั้นก็ใช้ดาบแกะสลักเป็นตัวอักษรอยู่บนต้นไม้ว่า เข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตจะต้องถูกลงโทษ!
จากนั้น ชายหนุ่มก็ออกมาจากภูเขาเฉียนหลงและเดินทางไปที่สนามบิน
หลังจากที่ฉู่ชวิ๋นออกเดินทางไปได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง คนกลุ่มใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้นบริเวณชายป่า และเดินเข้ามาใกล้ภูเขาเฉียนหลงมากยิ่งขึ้น
คนกลุ่มนี้มาจากสำนักแตก ๆ และพวกเขาทุกคนต่างก็กำลังจ้องมองไปที่หัวคนบนต้นไม้เป็นตาเดียวพร้อมตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
“นั่นมันราชันย์โลหิตนี่นา!” ใครคนหนึ่งอุทานขึ้นมาแล้ว
ทุกคนตื่นกลัวจนใบหน้าซีดขาว ดวงตาเต็มไปด้วยแววหวาดหวั่น หลายคนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา
กดถ่ายรูปด้วยมือที่สั่นเทา หลังจากนั้นจึงได้รีบหนีกลับเข้าป่าไปอีกครั้ง
…
ฉู่ชวิ๋นเดินทางด้วยเครื่องบินมาถึงเมืองหลวง ไม่รู้ตัวเลยว่าตลอดเวลานั้น เว็บบอร์ดชุมนุมชาวยุทธ์ในอินเทอร์เน็ตกำลังร้อนระอุขนาดไหน
แน่นอนว่า ฉู่ชวิ๋นไม่รู้ถึงการมีอยู่ของเว็บบอร์ดแห่งนี้ มันเป็นเว็บบอร์ดที่จอมยุทธ์จะมารวมตัวกัน เพื่อพูดคุยเรื่องราวต่าง ๆ ในยุทธภพ
ในขณะนี้ ทุกคนกำลังพูดถึงรูปถ่ายหัวของราชันย์โลหิต ที่ถูกแขวนไว้กับต้นไม้อย่างน่าอนาถใจ
“ถึงราชันย์โลหิตจะเป็นปรมาจารย์ระดับเก้า แต่ก็ถูกนายท่านฉู่ชวิ๋นตัดหัวได้อย่างง่ายดายเหลือเกิน”
หลายกระทู้ขึ้นเป็นกระทู้แนะนำที่หน้าหลักของเว็บบอร์ดเลยทีเดียว
“จอมมารฉู่ชวิ๋นแข็งแกร่งเกินไปแล้วจริง ๆ แม้แต่ปรมาจารย์ระดับเก้า ก็ยังถูกฆ่าได้เหมือนผักปลา
ฉันล่ะต้องยอมคำนับเขาเลยจริง ๆ” คนที่เป็นแฟนคลับของฉู่ชวิ๋นกล่าวออกมาอย่างชื่นชม
“โกหกน่า ฝีมือน่ากลัวอะไรขนาดนี้ แล้วนายท่านฉู่ชวิ๋นจะสู้กับใครได้อีกเนี่ย สงสัยคงต้องไปวัดพลังกับพวกขั้นจักรพรรดิแล้วละมั้ง ?”
“ไม่ว่าแข็งแกร่งแค่ไหน สุดท้ายก็โดดเดี่ยวอยู่ดี…”พลัน มีข้อความก่อกวนแทรกขึ้นมา
“เหอะ ฉู่ชวิ๋นมันเก่งกาจมาจากไหน ? อีกไม่นานเดี๋ยวมันก็ตายแล้ว”
เมื่อข้อความจากผู้ใช้งานคนนี้ปรากฏขึ้น หลายคนก็มุ่งความสนใจมาทันที
“แกเป็นใคร ? ปากดีเชียวนะ”
“ไม่สำคัญหรอกว่าฉันเป็นใคร ที่สำคัญก็คืออาจารย์ของราชันย์โลหิตรู้แล้ว ว่าลูกศิษย์ของตัวเองถูกฆ่าตายไป สองคน”
“รู้แล้วจะทำไมล่ะ ? จะมีปัญญามาหานายท่านฉู่ชวิ๋นหรือเปล่า เก่งจริงก็ออกมาเลย”
“เฮ้อ ฉันละเบื่อพวกติ่งจริง ๆ อาจารย์ของราชันย์โลหิตคือจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิ ฝึกวิชาเพื่อใช้ในการต่อสู้กับเทพบนสวรรค์ เขาได้ประกาศออกมาแล้วว่าจะฆ่าฉู่ชวิ๋นด้วยตัวเอง พวกแกรอดูได้เลย เดี๋ยวหัวของฉู่ชวิ๋นจะต้องถูกตัดไปแขวนไว้บนต้นไม้แน่นอน” ผู้ใช้งานคนนั้นพิมพ์ข้อความด้วยความเกลียดชังเต็มเปี่ยม
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครโต้ตอบอะไรอีก เนื่องจากทุกคนทราบดีว่าจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิ มีความแข็งแกร่งที่สุดยอดขนาดไหน เพียงพวกเขาสะบัดมือก็ทำลายได้ทั้งภูเขา พวกเขาได้ก้าวข้ามขอบเขตของมนุษย์ไปแล้ว!!!
“แกไปรู้ข้อมูลมาจากไหนวะ ?” ยังคงมีบางคนที่ไม่เชื่อ
“ฉันรู้มาจากไหนก็ไม่สำคัญ พวกแกรู้เอาไว้ก็พอว่าถึงเวลาตายของฉู่ชวิ๋นแล้ว!!” ผู้ใช้งานคนนั้นพิมพ์ข้อความด้วยความมั่นใจ ส่งผลให้เกิดความไม่พอใจต่อคนในกระทู้นั้นเป็นอย่างยิ่ง
“อย่าทำเป็นเก่งแค่ตอนอยู่หน้าคีย์บอร์ดได้ไหมวะ ? กล้าเดินไปพูดแบบนี้ต่อหน้านายท่านฉู่ชวิ๋นหรือเปล่าล่ะ ?”
“เก่งจริงก็เปิดเผยชื่อจริงนามสกุลจริงมาเลยสิ อย่ามัวแต่หดหัวหดหาง ปากดีอยู่แบบนี้”
“ขั้นจักรพรรดิน่ากลัวก็จริง แต่นายท่านฉู่ชวิ๋นก็ไม่ใช่ไก่กาสักหน่อย แกกล้าพูดว่าถึงเวลาตายของนายท่าน
ฉู่ชวิ๋นแล้ว แต่ตอนนี้เขาก็ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนคนที่ตายน่ะคือราชันย์โลหิตที่ถูกเอาหัวไปแขวนไว้บนต้นไม้ต่างหาก”หลายคนเริ่มโจมตีกลับและเห็นเป็นเรื่องตลกขบขัน
“พวกแกจะไปรู้อะไร ? ขั้นจักรพรรดิแข็งแกร่งกว่าพวกแกทุกคนร่วมมือกันซะอีกแค่ยกมือวูบเดียว ฉู่ชวิ๋นก็ตายห่าแล้ว!!” ประโยคนี้ทำให้ใครหลายคนเดือดจัดอีกครั้ง
“ไอ้เกรียนคีย์บอร์ด เก่งจริงก็มาสู้กับฉันสิวะ ฉันจะตัดหัวแกให้ดูเดี๋ยวนี้แหละ”
“ปากดีแต่ไม่กล้าโผล่หัวออกมา น่าเสียดายจริง ๆ อยากจะเป็นศัตรูกับนายท่านฉู่ชวิ๋นใช่ไหม บอกชื่อของแกมาสิ รับรองว่าคืนนี้จะมีคนไปหาแกถึงที่แน่นอน”
“นายท่านฉู่ชวิ๋นมีความแข็งแกร่งยิ่งกว่าเทพเซียน เป็นขั้นจักรพรรดิแล้วยังไง มีหวังได้ถูกนายท่านฉู่ชวิ๋นตบคว่ำในไม่กี่วินาทีด้วยซ้ำ!!”ผู้ที่เข้ามาก่อกวนเข้าไปปั่นป่วนอีกหลายกระทู้ แต่ก็น่าเศร้าที่ถูกรุมถล่มจนสุดท้ายก็ต้องออกจากเว็บบอร์ดไปด้วยความหัวร้อนเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนคนที่อยู่ในเว็บบอร์ดก็ยังพูดคุยถึงความแข็งแกร่งของฉู่ชวิ๋นกันต่อไป
ฉู่ชวิ๋นไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้เลย เขาเดินทางมาถึงภูเขาหลงฉี และเดินเข้าสู่ที่พักอาศัยของจักรพรรดิอ๋าวฮวง