บทที่ 245 การแย่งชิง
ถึงยามพลบค่ำ อากาศก็เย็นลงเหมือนทุกที
แสงสว่างของเมืองมังกรเฉิดฉายขึ้นอีกครั้ง แต่ด้านนอกของเมืองเต็มไปด้วยเสียงสัตว์ป่ามากมายกำลังคำราม
ตอนนี้หยานอี้กลับไปก่อนแล้ว
“ท่านเจ้าวังครับ คนๆ นี้ไว้ใจได้ใช่ไหมครับ?” เหยียนชงถามอย่างลังเล
ฉู่ชวิ๋นก็พยักหน้าให้เป็นคำตอบ เขาเป็นคนที่โชคเข้าข้างมาตลอด สิ่งที่เขาคิดอยู่ต้องเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน
“ฉันเองก็คิดว่าเขาคือคนจริงนะ” เหลยเป้าพูด
หญิงหม้ายก็พยักหน้าเห็นด้วย “ฉันว่าเขาดูเป็นคนที่ยึดมั่นในหลักความถูกต้อง แต่ว่าฉันเองก็มองคนไม่เก่งนักหรอกนะ”
“เอาเถอะ ไม่ว่าเขาจะเป็นคนที่เชื่อถือได้หรือไม่ ถ้าเขากล้าที่จะต่อกรกับเรา เราก็ต้องจัดการเขาอยู่ดี” จิ่วโยวพูดออกมาโดยแฝงจิตสังหารเอาไว้
ฉู่ชวิ๋นใช้นิ้วชี้ดีกระโหลกเด็กไม่เอาไหนคนนี้ไปหนึ่งที พร้อมกับพูดออกมาว่า “ผู้ใหญ่กำลังพูดกันอยู่ เด็กอย่างเธออย่างพึ่งแทรก”
จิ่วโยวประคบหน้าพากของตัวเองด้วยสีหน้าเศร้าสลด
เหยียนชงเหงื่อออก เพราะไม่คิดว่าฉู่ชวิ๋นจะกล้าลงไม้ลงมือกับเด็กคนนี้ได้
หลังจากนั้นฉู่ชวิ๋นก็ยิ้มและพูดต่อ “โอเค โอเค แม้ว่าเราจะไม่ค่อยมีเวลาฝึกวิชานัก แต่ถ้าพวกเราไปที่เก็บสมบัติของกลุ่มเทียนหลงเป่ากับสำนักดาบพิฆาตได้ ฉันรับประกันเลยว่าสมบัติของพวกมันจะช่วยเพิ่มพลังของพวกเราจะเลื่อนไปอีกขั้นได้อย่างแน่นอน”
เหยียนชงหัวเราะออกมาหลังจากเดินทางด้วยกันมาไม่กี่วัน เขาก็เชื่อมั่นในตัวฉู่ชวิ๋นอย่างหมดใจ
“ท่านเจ้าวัง ดูนั้นเร็ว!” เหลยเป้าพูดขึ้นมาทันที
ฉู่ชวิ๋นลุกขึ้นไปมองนอกหน้าต่างทันที
ด้านนอกของเมืองมังกร หลังยอดหุบเขามากมาย มีลำแสงหลากสีสามเส้นพุ่งขึ้นมาถึงท้องฟ้าราวกับว่ามันกำลังเชื่อมต่อกับสรวงสวรรค์อย่างไงอย่างงั้น
“เหมือนว่าข่าวลือจะเป็นเรื่องจริงนะ ลานกลางภูเขาปรากฏให้เห็นจนได้” เหลยเป้าบ่นกับตัวเอง
ในจังหวะเดียวกันนั้นผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ก็ออกมารวมตัวกัน พวกเขาล้วนตั้งใจมาที่นี่เพราะลานกว้างบนนั้น
จอมยุทธ์จำนวนมากแห่กันไปนอกเมืองและเดินตรงไปยังตำแหน่งของแสง
“เอาหละ พวกเราก็ต้องไปกัน ผู้คนเริ่มมารวมตัวกันแล้ว กลัวพวกเราว่าจะไม่มีเวลากินอะไร การที่แสงนั่นโผล่ขึ้นมาแบบนี้เป็นอะไรที่ไม่ปกติ
ฉันเองก็ยังไม่คิดเลยว่าจะมีอะไรเปร่งแสงออกมาจริงๆ” เหลยเป้าพูดอย่างร้อนรน
เหยียนชงเข้ามาพูดแทรก “ไม่ต้องห่วง ท่านเจ้าวังมีวิธีรับมืออยู่แล้ว”
เหลยเป้านวดท้ายทอยตัวเอง และหันไปหาฉู่ชวิ๋น ฉู่ชวิ๋นไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนใจอะไร นั้นทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจขึ้นมาก
“ไม่ต้องรีบไป นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แสงปรากฏ และถ้ามีคนรู้ถึงต้นตอของแสง ป่านนี้มันคงหายไปแล้ว ข้างนอกมีสัตว์ป่ากระหายเลือดอยู่อีกมากมาย
ถ้าพวกเราไม่ระวังตัวจะต้องตายก่อนไปถึงแสงอย่างแน่นอน” ฉู่ชวิ๋นพูด อย่างมีหลักการ
“อดกลั้นความอยากเอาไว้ ถ้าถูกความโลภครอบงำความตายก็จะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม” จิ่วโยวเปิดปากพูดออกมาก่อนที่จะหลบไปข้างๆ ทันที
ฉู่ชวิ๋นวางแขนลงแล้วหันไปหาเธอ จิ่วโยวเป็นสัตว์ปีศาจมาก่อน จิตใจของเธอนั้นกระหายเลือดอยู่มาก
เหยียนชงและคนอื่นๆ ต้องกลั้นหัวเราะ ตอนที่จิ่วโยวสู้กับไฉเยวียน เธอก็จัดการซะไม่เหลือซาก แต่พอมาตอนนี้เธอกลับกลัวว่าฉู่ชวิ๋นจะเขกหน้าผากซะงั้น
“เอาละ ค่อยๆ ออกเดินทางกันเถอะ” ฉู่ชวิ๋นเอ่ยขึ้น
ทันทีที่พวกเขาออกมาจากโรงแรม ก็พบกับหยานอี้และคนอื่นๆ
“สวัสดีครับนายท่าน” พวกเขาทุกคนรู้ว่าตั้งแต่วันนี้ฉู่ชวิ๋นเป็นเป้าหมายแห่งความจงรักภักดีของพวกเขา
ทั้งสองกลุ่มรวมกันเป็นหนึ่งพวกเขาก็รีบไปยังตำแหน่งที่ลำแสงส่องสว่าง
ลำแสงนั้นสูงขึ้นบนท้องฟ้าอันกว้างไกลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนกับเสาที่กำลังคอยค้ำไม่ให้สวรรค์ตกลงมายังโลก มันยังแพ่รัศมีออกมาไกลกว่า
1000 ลี้
กลุ่มของเขาออกมานอกเมืองและยังไม่ทันจะเข้าไปในป่า กลิ่นฉุนของคาวเลือดก็ลอยเข้ามายังจมูกของพวกเขา เสียงร้องโหยหวนดังออกมาจากป่าเป็นระยะๆ ตามมาด้วยเสียงร้องของสัตว์ป่าทั้งนกและสัตว์ใหญ่ทำให้ใครต่อใครตกตะลึง
ฉู่ชวิ๋นลดความเร็วลงแล้วค่อยๆ เดินเข้าไปในป่าลึก ตามพุ่มหญ้าและเส้นทางในป่าทึบมีศพให้เห็นเป็นช่วงๆ ทั้งร่องรอยกระดูกหักและเลือด ทำให้เขารู้ได้เลยว่าเป็นฝีมือของสัตว์ร้ายที่แฝงตัวอยู่ในป่าแห่งนี้อย่างแน่นอน
“ทุกคน ระวังตัว!” ฉู่ชวิ๋นย้ำเตือน
มีสัตว์ป่ามากมายหลายชนิดในป่าดงดิบแห่งนี้ พวกมันแข็งแกร่งขึ้นทุกวันๆ แต่เหล่าจอมยุทธ์ที่ตามฉู่ชวิ๋นมาไม่ได้กังวลอะไร เพราะกุญแจสำคัญคือนายท่านที่อยู่เบื้องหลังเขา แข็งแกร่งไร้เทียมทาน!
ฟิ้ว!
ทันใดนั้นก็มีเงาสีดำกระโจนออกมาจากต้นไม้ข้างหลัง มันพุ่งตัวสูงขึ้นไปบนฟ้า รวดเร็วปานสายฟ้าแลป เสียงแหวกหญ้าแหวกอากาศดังเข้ามาถึงหูของพวกเขา
หยานอี้ที่ตั้งการ์ดไว้ก็เปิดฉากโจมตีก่อนด้วยฝ่ามือของเขา
ทุกคนต่างก็มองตาม พวกเขาก็เห็นงูตัวสีดำรูปร่างหน้าตาแปลกประหลาดปรากฏต่อสายตาของทุกคน หัวของงูนั้นแหลมคมเหมือนกับธนู เกร็ดของมันใหญ่และดูแข็งแก่รงเหมือนชุดเกราะยุคกลาง
ตั้งแต่โลกใบนี้กลายพันธุ์ไป สัตว์หน้าตาแปลกประหลาดแบบนี้ก็มีให้พบเห็นมากขึ้น
“นั้นมันตัวบ้าอะไรกัน” จอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์คนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ
ฉู่ชวิ๋นเองก็ขมวดคิ้ว เขาเห็นจอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์คนหนึ่งกำลังจะไปจับตัวงู ฉู่ชวิ๋นจึงรีบพูดออกมา “อย่าไปจับมัน”
สิ้นเสียงของฉู่ชวิ๋น พวกเขาก็เห็นแล้วว่างูนั้นแกล้งตายแล้วหาจังหวะลอบโจมตีใส่พวกเขา มันดีดตัวขึ้นแล้วพุ่งเข้าใส่จอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์คนนั้นอย่างรวดเร็ว!
ฟิ้วว!
ควันสีม่วงจากไหนไม่รู้กลืนกินร่างของงูตัวนั้นเข้าไปทั้งตัว
จอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์ตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น คอของเขายังอยู่ดีไม่ได้ถูกแทงแต่อย่างได เขาอ้าปากค้างด้วยอาการสั่นกลัว
“ขอบคุณครับ นายท่าน” เมื่อเขาได้สติ เขาก็กล่าวขอบคุณทันที
“ระวังตัวให้มากกว่านี้ ตอนนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น”
หลังจากที่โดนดุไป เขาก็เดินต่อไปอย่างคอตก
ทุกคนต่างก็แปลกใจ พวกเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับสัตว์พวกนี้นัก พวกมันฉลาดถึงขั้นที่วางกับดับหลอกล่อมนุษย์ได้แล้ว ถ้าไม่เป็นจอมยุทธ์ขั้นสูงเห็นทีจะใช้ชีวิตในโลกนี้ลำบากแล้ว ยิ่งพวกที่เป็นจอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์แล้วยิ่งน่ากลัวกว่าเดิมอีกเพราะพวกเขาต้องออกมาสู้กับพวกนี้บ่อยๆ
ถ้าฉู่ชวิ๋นไม่ช่วยเอาไว้เห็นทีชายคนนั้นคงตายไปแล้วอย่างแน่นอน
เมื่อได้รับบทเรียนแล้ว ทุกคนก็ตั้งใจกับการสำรวจครั้งนี้มากกว่าเดิมหลายเท่าตัว
โฮกกก!
หมาป่ายักษ์กระโดดออกมาจากพุ่มไม้ขวางทางพวกเขา ตัวมันยาวกว่า 3 เมตร พร้อมแยกเขี้ยวที่แหลมคมมายังพวกเขา ขนของมันเป็นสีแดงราวกับเปื้อนเลือด นี้เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นหมาป่าโลหิต
หมาป่าโลหิตมองไปยังฉู่ชวิ๋นและผู้คนที่เดินตามหลังมาเป็นตาเดียว ดวงตาสีม่วงเข้มของมันจ้องมาราวกับเข็มที่ทิ่มแทง ปากของมันอ้าด้วยความกระหายอยากได้รับรสเนื้อ น้ำลายหยดแล้วหยดเล่าไหลลงสู่พื้นดิน พร้อมกับกลิ่นอายกระหายเลือดที่พุ่งออกมาจากร่างของหมาป่าโลหิต
ลมหายใจของมันเหมือนกับไฟที่พุ่งออกมาจากปากของมังกรทำให้ใบไม้ด้านล่างล้มตายกลายเป็นสีดำ
โฮ่ก!!!
เสียงร้องของมันดังไปทั่วทั้งป่า ก่อนที่ร่างสีแดงของมันจะพุ่งเข้าใส่ฉู่ชวิ๋น ราวกับจรวด เสียงอากาศบิดเบี้ยวจนฉีกขาดดังขึ้น!
ลมหายใจของมันเป็นไฟจริงๆ งั้นเหรอ!? ผู้คนต่างตกตะลึง
ฮึ่ม!
ตรงหน้าของฉู่ชวิ๋นเป็นระลอกคลื่นที่ก่อตัวขึ้นจากลมปราณสีม่วง ป้องกันลมหายใจที่เหมือนเปลวเพลิงของมัน
หมาป่าโลหิตเห็นการโจมตีของมันไม่ได้ผลจึงกระโดดถอยออกไป
ลมหายใจเปลวเพลิงกระเด็นไปโดนต้นไม้ ทำให้ต้นไม้แหลกเป็นผุยผงในพริบตา
หญิงหม้ายรู้สึกอัศจรรย์ใจกับพลังของหมาป่าตัวนี้อย่างมาก แม้ว่าไฟนั้นจะสู้กับเคล็ดวิชาเปลวเพลิงที่เธอถนัดไม่ได้ก็ตาม แต่ก็นับว่าน่ากลัวมาก
เหลยเป้าเรียกลูกบอลสายฟ้าขึ้นมาก่อนที่จะซัดใส่หมาป่าดุร้ายตัวนั้น
แต่มันก็รู้ตัวพร้อมกับอ้าปากกว้างๆ ของมันยิงลูกไฟออกมา พลังทั้งสองหักล้างกันกลางอากาศก่อนที่จะเกิดระเบิดขึ้น ทำให้เศษดินเศษหินกระจายไปทั่ว
หมาป่ายักษ์นั่งลงด้วยขาหลังและตะกุยดินออกมาเป็นหลุม
เหลยเป้าถีบตัวออกไป….อีกเพียงไม่กี่เมตรเขาก็จะถึงตัวของมัน แต่สายตาของเขาก็สังเกตุเห็นอะไรแปลกๆ เข้า……หัวของหมาป่านั้นเป็นเหล็กสีแดงที่แข็งแกร่งมาก!
โฮ่ก!!!
มันคำรามด้วยความโกรธและปล่อยคลื่นเพลิงเข้าใส่เหลยเป้าที่เข้ามา
เห็นท่าไม่ดีเหลยเป้าก็งัดอาวุธใหม่ออกมา นั้นก็คือกระบองเหล็กอันใหญ่ เขากำมันเอาไว้แน่นก่อนที่จะฟาดลงไปกลางหัวของหมาป่ายักษ์เต็มแรง
ก็อง!!
เสียงเหล็กปะทะกันดังขึ้นอย่างก้องกังวาล
หมาป่ายักษ์ล้มลงไปกองกับพื้นอย่างแรงและลุกขึ้นมา มันได้รับบาดเจ็บไม่น้อย มันมองไปยังเหลยเป้าอย่างเคียดแค้น
ไม่มีใครคิดเลยว่าพลังป้องกันของหมาป่าจะมากขนาดนี้ แม้จะถูกตีเข้าที่หัวอย่างแรงมันก็ยังไม่หมดสติไป
กระบองยักษ์นั้นเป็นหนึ่งในสมบัติลับ แม้ว่าเขาจะยังใช้มันไม่คล่อง แต่มันก็มีพลังทำลายล้างสูงมาก แต่หมาป่าตัวนี้ก็ยังไม่สะทกสะท้าน มันแปลกมาก
ฟิ้ว!
ฉู่ชวิ๋นลงมือเองแล้ว! เขาอยู่ห่างจากหมาป่า 100 เมตรแต่ขยับเพียงก้าวเดียวเขาก็อยู่ห่างจากหมาป่าเพียงฝ่ามือเดียวเท่านั้น
เสียงร้องคำรามท่ามกลางความว่างเปล่า พัดสายลมโบราณพัดพามาสู่โลก ทำให้ใครหลายๆ คนรู้สึกถึงความต่างชั้น
วิชาดัชนีสังหาร – กระบวนท่า ดัชนีสามอุสรา!
ตู้ม!
หุบเขาสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ราวกับเกิดการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกพลังของฉู่ชวิ๋นทำให้เกิดลมกระโชกไปทั่วทั้งผืนป่า
หลังจากผ่านไปสักพัก ควันก็หายไปและฝุ่นเกาะตัว ผู้คนเห็นหลุมขนาดใหญ่ยักษ์บนพื้นพร้อมกับร่างของหมาป่าโลหิตนอนนิ่งอยู่ในนั้น มันขยับไปไหนไม่ได้ เลือดไหลออกมาจากหูและจมูกของมัน
เหยียนชงและคนอื่นๆ ยืนตัวชาไปหมด พวกเขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าหัวกระโหลกหมาป่าโลหิตที่เป็นเหมือนเหล็กจะถูกขยี้จนแตกละเอียดภายในกระบวนท่าเดียว!
แต่นั้นเป็นเพราะจอมมารฉู่ รวดเร็วและรุนแรง ทุกคนได้แต่ขอบคุณที่
ฉู่ชวิ๋นเป็นคนนำทางให้ในวันนี้
หมัดอีกข้างของเขาปล่อยคลื่นลมปราณจำแลงออกมาใส่หมาป่าเพื่อเผด็จศึก
แสงสีม่วงแผ่ออกไป กระโหลกของหมาป่าแยกเป็นสองส่วน ผลึกสีแดงเพลิงขนาดพอๆ กับเล็บคนก็ปรากฏออกมาจากหัวของมัน ทำให้อุณหภูมิรอบๆ เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
เหยียนชงและคนอื่นๆ รีบถอยไปยังเขตปลอดภัยทันที ถ้าอยู่นานกว่านี้เลือดของพวกเขาอาจจะเดือดขึ้นมาก็ได้
ฉู่ชวิ๋นจับผลึกสีแดงเพลิงของหมาป่ามาดู ถ้าเขาเดาไม่ผิด นี้คือพลังของวิญญาณธาตุไฟ
ปกติแล้วจะพบเจอพวกมันได้ในแม็กม่าที่เกิดใหม่ แต่การที่พวกมันจะก่อตัวขึ้นในแม็กม่าได้ในมีความเป็นไปได้น้อยมากๆ และยิ่งการที่มันมีพลังมากพอที่จะมอบพลังให้สัตว์อสูรได้นั้นยิ่งน้อยกว่าเดิมอีก ตัวเชื้อธาตุไฟพวกนี้สามารถเผาสิ่งต่างๆ ให้กลายเป็นขี้เถ้าได้อย่างง่ายดาย แต่มันมาอยู่ในป่าดงดิบแห่งนี้ได้ยังไง? อะไรที่เชิญชวนพวกมันมายังป่าแห่งนี้ แล้วหมาป่ายักษ์นี้กลืนกินมันเข้าไปจนกลายพันธุ์งั้นเหรอ?
ฉู่ชวิ๋นปิดผนึกผลึกสีแดงเพลิงแล้วโยนให้กับหญิงหม้ายไป
“วิญญาณธาตุไฟนี้แม้จะไม่ได้มีคุณภาพที่สูงมากนัก แต่ก็มากพอสำหรับเธอ ค่อยๆ ดูดซึมพลังจากมันที่ละน้อย พลังต่อสู้ของเธอจะเพิ่มขึ้นมากเลยละ”
“ขอบคุณมาก ค่ะท่าน!” หญิงหม้ายดีใจมาก และจ้องมองไปยังขวดบรรจุวิญญาณไฟตัวน้อยนี้ เหมือนกับมีพลังบางอย่างกำลังเรียกร้องเธออยู่
“กระดูกและผิวหนังของมันก็เอาไปใช้ประโยชน์ได้ คุณภาพดีด้วย เอาหนังไปทำเสื้อสามารถให้ความอบอุ่นกับร่างกายได้ในระดับหนึ่ง ส่วนกระดูกเอาไปปดเป็นอัญมณีหรือเอาไปทำอะไรก็ได้แล้วแต่เลย ทุกอย่างล้วนดีต่อการฝึกตน” ฉู่ชวิ๋นแนะนำทุกคน
หลังจากที่ฟังข้อมูลที่หน้าสนใจนี้ ผู้คนที่กำลังตื่นเต้นใจเย็นลงได้อย่างไร? พวกเขาไปรายล้อมและชำแหละหมาป่าแบ่งๆ กันไป
ไม่นานนัก หมาป่าตัวใหญ่ยาวกว่า 3 เมตร ก็ถูกแยกเป็นชิ้นๆ แม้แต่เลือดที่นองพื้นของพวกมันก็ถูกเก็บไป
หลังจากนั้นทุกคนก็เตรียมตัวพร้อมที่จะเดินทางต่อ ระหว่างทางพวกเขาไม่เจอสัตว์กลายพันธุ์อะไรอีกเลย มีแค่สัตว์ป่าทั่วไป อาศัยแค่จอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์ก็สามารถเก็บกวาดได้อย่างสบายๆ
ตอนนี้ฉู่ชวิ๋นและทีมสำรวจก็มาถึงยอดของภูเขาที่มีแสงสามสีส่องลงมาแล้ว ภูเขาลูกนี้ไม่ได้สูงมากนัก ประมาน 1 กิโลเมตรจากท้องทะเล แสงนั้นมาจากหน้าผ่าแห่งหนึ่งบนหุบเขาลูกนี้
ภูเขาทั้งลูกในตอนนี้มีวงแหวนสีดำโครจรอบอยู่ ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้เพราะเห็นคนที่เข้าไปก่อนแล้วถูกวงแหวนสลายร่างจนไม่เหลืออะไรเลย!
ตอนนี้มีคลื่นของฝูงชนที่เป็นจอมยุทธ์ค่อยๆ ทยอยขึ้นมาบนยอดภูเขา
แม้แต่ฉู่ชวิ๋นที่พยายามบุกเข้าไป ก็ถูกวงแหวนผลักกระเด็นออกมา
เขตหวงห้าม? คำๆ นี้ปรากฏขึ้นในหัวของเขา
“ฉู่ชวิ๋น มีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้องกับภูเขาลูกนี้” สีหน้าของจิ่วโยวดูเคร่งขรึมมาก
“เธอเองก็รู้สึกเหรอ?”
จิ่วโยวพยักหน้า เธอเป็นสัตว์ปีศาจมาก่อนสัญชาติญาณของเธอดีกว่ามนุษย์ทั่วไปมาก ภูเขาลูกนี้ส่งความรู้สึกที่ชั่วร้ายออกมาพร้อมความกระหายเลือด
“หยานอี้ พาคนอื่นๆ กลับไปที่โรงแรมก่อนและรอฉันอยู่ที่นั้น”
หยานอี้ตะลึง พอเขาเห็นสีหน้าอันหนักแน่นของฉู่ชวิ๋น เขาก็ไม่สงสัยอะไรอีกมีบางอย่างที่ไม่ถูกต้องกำลังจะเกิดขึ้น
“นายท่าน ระวังตัวด้วย!” หยานอี้ทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนที่จะนำจอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์คนอื่นๆ กลับไปยังโรงแรมอย่างรวดเร็ว
คนที่ยังอยู่มีแค่ เหยียนชง เหลยเป้า หญิงหม้าย ตัวเขาเอง และ จิ่วโยว
“ถ้ามีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น ให้รีบถอยไปหาพรรคพวกที่โรงแรมเลย และอพยพคนทั้งเมืองออกไปเท่าที่จะทำได้” ฉู่ชวิ๋นสั่งทันที
เหยียนชงพยักหน้า
“มีคนถอยกันแล้วอย่างงั้นรึ?” ในกลุ่มของฝูงชน มีใครบางคนสวมชุดคลุมสีดำพูดขึ้นมา
“มีอะไรงั้นเหรอ?”
“ไม่ละ พวกเขาคงจะออกไปด้วยเหตุผลอื่น”
“ฆ่าเลยไหม?”
“ไม่ ฉันไม่อยากเสียเวลากับพวกปลายแถว ก็แค่เศษดินเศษหญ้าข้างทาง”