บทที่ 283 ไม่อาจเกลี้ยกล่อมคนบ้าได้จริง ๆ
ฉู่ชวิ๋นหมดคำพูด เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยอายุขนาดนี้แล้วยังชอบอวดเบ่งขนาดนี้ ไม่มีใครเทียบแล้วจริง ๆ
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยมองหลี่คุนอย่างหยอกล้อ “แกยอมแพ้หรือยัง?”
หลี่คุนขยับร่างกายที่แหลกลาญ เขาหัวเราะ ด้วยสายตามุ่งร้าย
“คิดไม่ถึงว่าเป็นถึงเจ้าปราสาทจตุรเทพแต่กับใช้วิธีชั้นต่ำขนาดนี้”
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยหน้าเสียก่อนจะสบถด่า “แกจะไปรู้อะไร เขาเรียกว่ากลยุทธเข้าใจไหม? ล่อปลาให้กินเหยื่อแล้วก็เชิญให้เข้ากับดัก สุดท้ายค่อยปิดประตูตีแมว ไม่สิ จับตัวเงินตัวทอง”
ใบหน้าของหลี่คุนบิดเบี้ยว “เยวี่ยฟ๋านเตี๋ย แกคิดจริง ๆ เหรอว่าแกน่ะฉลาดที่สุดในใต้หล้านี้”
สีหน้าฉู่ชวิ๋นเปลี่ยนไป เขาเริ่มรู้สึกถึงไม่ชอบมาพากล เขาชกหมัดออกไป กระเทือนจนหลี่คุนกระอักเลือดออกมาอึกใหญ่ ผ้าดำที่ปิดหน้าไว้ชุ่มไปด้วยเลือด
ฉู่ชวิ๋นมีแววตาเย็นยะเยือกก่อนจะปล่อยออกไปอีก 1 หมัด ลมปราณจำแลงอันน่ากลัวถล่มทลายเข้าใส่หลี่คุน
ในขณะนั้นเองก็มีอีกหนึ่งร่างกระโจนออกมาขวางหน้าหลี่คุนและฟาดฝ่ามือออกไปอย่างหนักหน่วง จนเกิดเสียงดังตู้มพร้อมกับคลื่นลมปราณที่ถาโถมออกมา การโจมตีของฉู่ชวิ๋นถูกทำให้สลายหายไป ส่วนคน ๆ นั้นก็กระเทือนจนต้องถอยไปแต่ก็แค่ 2 ก้าวเท่านั้น !
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยตกใจ คิดไม่ถึงว่าในหมู่คนพวกนี้จะยังมียอดฝีมืออยู่ขนาดนี้
“แกเป็นใคร” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยตะโกนถาม
“แกลองเดาสิ” คน ๆ นั้นเสียงแหบแห้งเกินจะเปรียบ
“เขาต่างหากคือหลี่คุนตัวจริง” ฉู่ชวิ๋นเอ่ยปากเรียบๆ
“อะไรนะ” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยตกใจอย่างมาก
คน ๆ นั้นหัวเราะขึ้นมาด้วยเสียงแหบแห้งเสียดหู สายตามองฉู่ชวิ๋นด้วยแววสนอกสนใจ
“สมแล้วที่เป็นจอมมารฉู่ สมคำล่ำลือจริงๆ เดาได้ถูกเผง”
พูดจบสายตาของเขาก็ทอดไปที่เยวี่ยฟ๋านเตี๋ย พลางหัวเราะเย็นๆ
“ตอนนี้แกยังคิดว่ากลยุทธตัวเองปราดเปรื่องอยู่ไหม?”
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย เขากระหยิ่มใจตั้งนานที่แท้ก็โดนหลอกนี่เอง เขาอดไม่ได้ที่จะพาลด้วยความอับอาย
“แกนี่มันอำมหิตจริงๆ สั่งให้ลูกน้องแกล้งเป็นตัวเอง ไม่กลัวว่าเขาจะตายหรือไง”
“เหอะๆ…” หลี่คุนหัวเราะเย็นๆ “โง่เขลา ในเมื่อพวกเขาเป็นลูกน้องของฉัน ก็ต้องมอบชีวิตให้ฉัน”
“เหตุผลบ้าบออะไรของแก ติดตามแกแล้วก็ต้องยอมมอบชีวิตให้แกงั้นเหรอ ได้ตายโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่แน่ ๆ ” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยเอ่ยขึ้นมา
“เขาตายแทนฉันก็ถือเป็นเกียรติของเขา ยิ่งตอนนี้ได้เปิดโปงลูกเล่นทุเรศๆของพวกแก ถือว่าเขาได้บรรลุภารกิจแล้ว”
“แกยังมีความเป็นคนอยู่ไหม? ยืนดูลูกน้องตัวเองตายไปหน้าตาเฉย”
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยสบถด่า
“ทุกคนต่างมีภารกิจของตัวเอง ภารกิจของเขาถือว่าทำสำเร็จแล้ว เก็บไว้ก็ไร้ประโยชน์” หลี่คุนพูดด้วยน้ำเสียงอึมครึมก่อนจะยกขาขึ้นและกะทืบลงไปอย่างหนัก
แค่ก
คนชุดดำที่บาดเจ็บอยู่โดนกระทืบคอหัก เสียชีวิตทันที แต่ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความไม่อยากเชื่อ ราวกับไม่อยากเชื่อว่าหลี่คุนจะฆ่าเขาจริงๆ
ภาพนี้ทำให้เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยตกใจจนอึ้ง หลี่คุนอำมหิตเกินไปแล้ว
“ประตูวิญญาณสลายอำมหิตจริงๆ แม้แต่คนของตัวเองยังทำได้ลง”
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยเอ่ยขึ้นมา
“แขนขาของเขาแหลกสลายทั้ง 2 ข้าง มีชีวิตต่อไปก็เป็นได้แค่คนไร้ประโยชน์ที่ทำให้เขาต้องตายก็มีความดีความชอบของพวกแกทั้ง 2 ด้วย” หลี่คุนหัวเราะเย็นๆ
“อำมหิตมาก หลี่คุน ไม่ว่ายังไงวันนี้จะปล่อยให้แกมีชีวิตออกไปจากที่นี่ไม่ได้” น้ำเสียงของเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยแฝงไว้ด้วยแรงอาฆาต
แต่หลี่คุนกลับหัวเราะเย็นๆ “เจ้าวังเยวี่ย คุณนี่ยิ่งแก่ยิ่งเลอะเลือนจริง ๆ เลยนะ เสียดายวิทยายุทธในตัว วันนี้ต้องมีคนตายแน่ๆ แต่ไม่ใช่ฉันคนนี้!”
สิ้นเสียงหลี่คุน ในหมู่คนชุดดำก็มีคน 4 คนชุดระเบิดออกเผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง
“หลงเฟยหยางแห่งปราสาทเทียนหลง หรือ กลุ่มเทียนหลงเป่า ขอคารวะเจ้าวังเยวี่ย จอมมารฉู่” คนพูดสวมชุดขาว สีหน้าซีดเผือดเห็นได้ชัดว่าป่วยอยู่
คนหนึ่งข้างกายเขาเอ่ยขึ้นด้วยสายตาล้อเลียน
“วั่นเสวียน จากสำนักดาบพิฆาต”
ชายรูปร่างกำยำ หัวโล้นและมีแผลเป็นศรีษะ สูงเกิน 2 เมตร ที่คอแขวนสร้อยลูกประคำเส้นใหญ่ แต่ละเม็ดใหญ่ราวกำปั้น เขาลูบหัวตัวเองก่อนเอะอะขึ้นมา
“จั้งจินกัง จากประตูพระพุทธเจ้า”
คนที่เหลืออยู่รูปร่างเตี้ย ปากเล็กหน้าก้าง ผอมหนังหุ้มกระดูก เขาคลี่ปากเผยให้เห็นฟันแหลมคมพลางเอ่ยขึ้น
“ฉุยเทียนโย่ว จากหุบเขาผีเสื้อพิษ”
ทั้งสี่บอกสำนักไปทีละคน ทำให้สีหน้าของเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยหนักใจขึ้นเรื่อยๆ 4 คนนี้เป็นเจ้าสำนักกันทั้งหมด
“เจ้าวังเยวี่ย เทียมกับกลยุทธแมวสามขาของแกแล้วเป็นยังไง” หลี่คุนหัวเราะน่ากลัว “ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่โดนปิดประตูตีแมว”
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยอดโมโหไม่ได้ ใจเริ่มกลัดกลุ้มขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนมีชื่อเสียงเลื่องลือมานาน แม้ตอนนี้เขาจะใกล้ขอบเขตจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 8 แล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ขั้น 8 จริงๆ
“ตั้กแตนจับจั๊กจั่น นกขมิ้นตามมาด้านหลัง แต่ดันไม่รู้ว่านายพรายรออยู่” หลงเฟยหยางหัวเราะดูแคลน
“เจ้าวังเยวี่ย แกคิดว่าฉันไม่วางแผนไว้ก่อนแล้วจะบุ่มบามมางั้นเหรอ” หลี่คุนหัวเราะเย็นๆ
“เยวี่ยฟ๋านเตี๋ย รู้สึกโศกเศร้าใจไหมละ?” วั่นเสวียนล้อเลียน
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยกระซิบด้วยสีหน้าคร่ำเครียด “น้องชาย เดี๋ยวฉันจะยื้อพวกมันไว้ นายหาโอกาสหนีไปซะพาลูก ๆ ทั้งสามของฉันหนีไปได้ยิ่งไกลยิ่งดี”
“คิดจะหนีเหรอ” เสียงของจั้งจินกังดังกังวานดั่งระฆัง “วันนี้ พวกแก 2 คนไม่มีใครหนีไปได้”
“พวกเราบอกตอนไหนว่าจะหนี” จู่ ๆ ฉู่ชวิ๋นที่เงียบมาตลอดก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าเป็นปกติ
สายตาของทั้ง 5 คนมุ่งไปที่ฉู่ชวิ๋นคนเดียวด้วยแววสืบเสาะ
“จอมมารฉู่ ฉันรู้ว่าแกฝีมือไม่ธรรมดา แต่กลวันนี้เป็นกลปลิดชีวิต แกแก้กลได้งั้นเหรอ” หลี่คุนหัวเราะอย่างเย็นชา
“ฆ่าพวกแกให้หมดก็แก้ได้แล้วนี่” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ
“มัวพูดมากอยู่ทำไม ได้ข่าวว่าจอมมารฉู่ร่างกายแข็งแรงดุจหินผา วันนี้ฉันขอดูหน่อยแล้วกัน” จั้งจินกังหัวเราะลั่น “พวกนายห้ามลงมือนะ”
“ก็ได้ พวกเราไม่ลงมือ ให้พี่จั้งเล่นสนุกให้พอ” หลงเฟยหยางพูดล้อ
“จอมมารฉู่ ไสหัวมาสู้กันสักตั้ง” จั้งจินกังท้าทายด้วยความโอหังสุดขีด
ตู้ม
ท่อนบนเปลือยเปล่าของเขามียันต์สีทองปรากฏขึ้นบนผิวหนัง สีผิวเองก็แปรเปลี่ยนคล้ายทองคำ
วิชาลับของประตูพระพุทธเจ้า คาถาวันพิพาก
ฉู่ชวิ๋นขยับตัวแล้ว สายตาเขาเย็นยะเยือก มีหมอกทองพ่นออกจากกระดูกทั่วร่าง ปล่อยหมัดทีมีลมพัดกระพือจนเกิดเป็นเสียงมังกรกู่ร้อง
เคล็ดวิชาเก้ามังกรทลายนภา รอบที่ 1
ตู้ม
หมัดนี้กระแทกลงไปที่อกของจั้งจินกังอย่างไม่ต้องสงสัย
ตู้ม
อักขระสีทองบนผิวกายจั้งจินกังส่องแสงประกาย แต่สุดท้ายก็ถูกหมัดของฉู่ชวิ๋นอัด ทำให้จั้งจินกังถอยหลังไปหลายสิบก้าว
สายตาจั้งจินกังตกตะลึงอย่างหวาดกลัว แต่ละก้าวที่ถอยล้วนสะเทือนจนพื้นแตกกระจาย
“รู้สึกยังไงบ้างละ” ฉู่ชวิ๋นแกล้งถามหยอก
ลมปราณของจั้งจินกังดุดันขึ้นมา เขาแหกปาก “แกไม่ได้กินข้าวมาหรือไง ก็แค่เกาแก้คัน ฉันใช้พลังไปแค่ 3 ส่วนเท่านั้นเองนะ”
“งั้นเหรอ”
พูดจบฉู่ชวิ๋นก็กระโจนตัวออกและกำมือเป็นหมัดในเวลาเดียวกันพร้อมปล่อยออกอย่างแรง
เคล็ดวิชาเก้ามังกรทลายนภา รอบที่ 2
ตู้ม
อักขระสีทองรอบตัวจั้งจินกังระเบิดออก เขากระเด็นออกไปด้วยแรงหมัดของฉู่ชวิ๋น 2 เท้าลากพื้นเอาไว้เพื่อลดแรงกระแทก เขาทำให้บนพื้นเกิดรอยลากลึก 2 ร่องด้วยกัน เมื่อเขาหยุดไว้ได้ก็ติดอยู่ในดินถึงครึ่งร่าง บนใบหน้าขึ้นสีแดงอย่างไม่เป็นระเบียบ
“รู้สึกยังไงบ้างละ” ฉู่ชวิ๋นถามขึ้นอีกด้วยแววตาล้อเลียน
จั้งจินกังเบ้ปาก “สมกับที่เป็นพวกดีแต่หน้าจริงๆ ไม่มีแรงจะทำอะไรเลยสักนิด ฉันใช้พลังแค่ 5 ส่วนเท่านั้น ไว้หยอกแกเล่น”
พวกหลี่คุนมีสีหน้าแปลกไป
คนในที่นี้ไม่มีใครด้อยฝีมือ ทุกคนล้วนดูออกว่าจั้งจินกังเสียเปรียบมากกับ 2 กระบวนท่านี้ เจ้านี่ยังมีหน้ามาทำฟอร์มอีก
ฉู่ชวิ๋นยิ้มมีเลศนัย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แกลองตั้งรับหมัดฉันอีกสักตั้งเป็นไง”
จั้งจินกังคลี่ยิ้ม “จอมมารฉู่ แกคิดว่าฉันโง่หรือไง เรื่องอะไรก็ต้องทำแบบนั้นถ้าให้มันยุติธรรม แน่จริงแกให้ฉันอัดแกหมัดนึง”
“ไม่มีปัญหา” ฉู่ชวิ๋นเอามือไขว้หลัง เปิดให้โจมตีเต็มที่
จั้งจินกังชะงักไปนิดหน่อยก่อนจะหัวเราะออกมาพลางสะบัดแขน พุ่งมาหาฉู่ชวิ๋นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ทุกก้าวที่เขาย่างพื้นดินสะเทือน
“ไอ้โง่ เดี๋ยวฉันจะอัดแกให้เละเลย” จั้งจินกังอดหัวเราะมุ่งร้ายขึ้นมาไม่ได้
เขาพุ่งมาอยู่ตรงหน้าฉู่ชวิ๋น รวบรวมลมปราณในตัวมาอยู่ที่กำปั้น กำปั้นใหญ่เท่าชามข้าวใบใหญ่ของเขาฟาดลงไปที่หน้าอกของฉู่ชวิ๋นอย่างโหดเหี้ยม
ตู้ม !
หมัดนี้รุนแรงราวสายฟ้าฟาดจนจิตใจของทุกคนสั่นไหว
ฉู่ชวิ๋นไม่ขยับแม้แต่น้อย สีหน้าคงเดิม
แต่จั้งจินกังกลับถอยหลังไปหลายก้าว มือขวาสั่นหงึกๆ มีแต่เขาที่รู้ว่าร่างกายของเขาชาไปครึ่งร่าง
ฉู่ชวิ๋นยังเป็นมนุษย์อยู่ไหมเนี่ย จั้งจินกังหวั่นใจ กำปั้นของเขาทรงพลังพอที่จะต่อยทะลุกระดานเหล็กหนาหลายสิบเซ็นได้ แต่กลับยากที่จะทำให้ฉู่ชวิ๋นขยับแม้เพียงครึ่งก้าว
“ตาฉันแล้วใช่ไหม?” ฉู่ชวิ๋นเอ่ยปาก ที่จริงในใจฉู่ชวิ๋นก็ตกใจอยู่พอควร วิชาฝึกกายนี้ของอีกฝ่ายไม่ธรรมดาจริงๆ ถ้าหากเจอคู่ต่อสู้ในขั้นเดียวกันคงมีไม่กี่คนที่จะเป็นคู่มือให้เขาได้
แต่อีกฝ่ายไม่รู้ว่าฉู่ชวิ๋นกระดูกเป็นมังกร แถมยังฝึกฝนเคล็ดวิชาเก้ามังกรทลายนภา แล้วยังอาบเลือดมังกรมาแล้วด้วย ร่างกายของเขามันเหนือกว่ามนุษย์ทุกคนอย่างแท้จริง ถ้าจะมาแข่งร่างกายกันฉู่ชวิ๋นไม่มีทางแพ้อย่างแน่นอน
จั้งจินกังนึกกลัวในใจ หมัดของฉู่ชวิ๋นรุนแรงเกินไป 2 หมัดแรกกระเทือนจนเขาแทบกระอักเลือด เขาไม่เคยกลัวใครในขั้นเดียวกันมาก่อน แต่บัดนี้กลับมีความรู้สึกอยากถอยห่าง
“พี่จั้ง เล่นพอแล้วก็พักหน่อยเถอะ ธุระสำคัญกว่า” หลงเฟยหยางพูดขึ้น
ฉู่ชวิ๋นมองหลงเฟยหยางและพูดล้อเลียน “ท่าทางนายมั่นใจว่าเขาจะแพ้ล่ะสิ ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ให้เขาไสหัวไปเถอะ จะได้ไม่อายตอนแพ้”
“พี่ใหญ่ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” หลงเฟยหยางพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“แล้วนายหมายความว่ายังไง” ฉู่ชวิ๋นแกล้งหยอกก่อนจะแสดงท่าทีกระจ่าง “อ๋อ ฉันรู้แล้ว นายกลัวเขาจะโดนฆ่าล่ะสิ”
“ถุย คาถาวันพิพากของฉันไร้เทียมทานในใต้หล้า จะแพ้ได้ยังไง หมัดนึงก็หมัดนึง มาสิ ไม่กลัวอยู่แล้ว” จั้งจินกังถลึงตาโตเท่ากระดิ่งและพูดอย่างโมโห
หลงเฟยหยางมองฉู่ชวิ๋นอย่างเย็นชาและบอกกับจั้งจินกัง
“พี่จั้ง ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น….พี่อย่า”
“แกน่ะหุบปากไปเลย รอฉันจัดการจอมมารฉู่เสร็จแล้วจะไปประมือด้วย ให้แกรู้ไว้ว่าคาถาวันพิพากของฉันไม่เคยแพ้” จั้งจินกังบอกด้วยความเกรี้ยวกราด
ตะโกนจบเขาก็หันไปหาฉู่ชวิ๋น “เข้ามาเลย”
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะก้าวไปถึงหน้าจั้งจินกังภายในก้าวเดียว มือกำเป็นหมัดพร้อมกับปล่อยออกจนลมพัดกระพือตามแรงหมัด
เคล็ดวิชาเก้ามังกรทลายนภา รอบที่ 4
บึ้ม แกร่ก
หมัดกระแทกลงไปที่อกของจั้งจินกังสนั่นราวเสียงกลองใหญ่ สิ่งที่ตามมาก็คือหน้าอกยุบถล่ม กระดูกและเอ็นหัก
จั้งจินกังร้องครวญครางก่อนจะกระเด็นออกไปราวกับถุงผ้าขาดๆ ฉู่ชวิ๋นตามไปอย่างกับเงาและรัวไป 10 กว่าหมัด
บึ้ม ๆ บึ้ม ๆ บึ้ม ๆ บึ้ม ๆ บึ้ม ๆ บึ้ม ๆ
ทุกหมัดที่ปล่อยไปล้วนทำให้จั้งจินกังร้องโหยหวน กระดูกทั่วร่างแตกหัก
ตู้ม
จั้งจินกังกระเด็นไปไกลนับพันเมตร ร่างกายขยับเบาๆ สีหน้าหมดอาลัย กระดูกหักไปครึ่งร่าง นับว่าจบแล้ว
ฉากนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป ทำให้พวกหลี่คุนตั้งตัวไม่ทันจนไม่มีแม้โอกาสจะเข้าช่วยเหลือ
แต่ละคนมีแววตากลัดกลุ้ม ตะลึงกับความแข็งแกร่งของร่างกายฉู่ชวิ๋น พวกเขามองจั้งจินกังที่นอนเละอยู่อย่างสะท้อนใจ พวกเขาไม่อาจเกลี้ยกล่อมคนบ้าได้จริง ๆ