บทที่ 290 กลุ่มตระกูลที่แข็งแกร่ง
ฉู่ชวิ๋นหาโรงแรมไว้พักพิงก่อน
พักผ่อนอยู่พักนึง เขาก็ไปที่ห้องอาหารของโรงแรมและสั่งอาหารพร้อมไวน์ขวดนึง
ก่อนที่เขาจะออกไปเขาเปลี่ยนแผนนิดหน่อย ประเด็นคือตอนนี้เขาคิดว่าคงมีคนจำหน้าเขาได้เยอะมากแล้ว
แต่การเปลี่ยนกล้ามเนื้อใบหน้าเป็นแค่เรื่องง่าย ๆ สำหรับเขา ตอนนี้หน้าตาของฉู่ชวิ๋นดูธรรมดา ๆ อย่างน้อย ๆ หน้าตาก็ดูไม่ได้โดดเด่นมาก ไม่น่าเป็นที่สังเกตของคนอื่น
ฉู่ชวิ๋นไม่ได้มาที่นี่เพื่อกินหรือเที่ยว เขามาที่นี่เพื่อสืบข่าว
จอมยุทธ์ชอบขี้โม้ไปทั่วและในนั้นก็มีข่าวคราวที่ใช้ได้อยู่ไม่น้อย บางทีอาจจะมีเบาะแสของผู้หญิงผมม่วงคนนั้นก็ได้
“พวกนายรู้ไหม ฉันอยู่ในเหตุการณ์ศึก ณ ซากโบราณสถานนั้นด้วยนะ ประตูวิญญาณสลายรวบรวมจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิหลายสิบคนเพื่อรุมฆ่าจอมมารฉู่ จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิหลายสิบคนเลยนะ พวกนายคิดดูว่าเป็นกองกำลังที่น่ากลัวขนาดไหน” มีจอมยุทธ์เล่าอย่างเร้าใจ ราวกับการได้เห็นศึกนี้กับตาเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต
“ของนายไม่เห็นมีอะไรเจ๋งเลย” มีจอมยุทธ์เอ่ยขึ้น “ตอนนั้นที่เมืองหลง จอมมารฉู่นำทัพฆ่าสัตว์ร้ายล้างเมือง เป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดมาก”
ฉู่ชวิ๋นชะงักไป เขาไม่คิดว่าตัวเองจะกลายเป็นเรื่องเม้ามอยหลังอาหารของจอมยุทธ์ไปซะแล้ว
“ช่างเถอะว่าแต่พวกนายได้ข่าวไหมว่า ท่านคนนั้นที่ตระกูลหยานบรรลุเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 7 แล้ว” มีจอมยุทธ์พูดขึ้น
“ถูกต้อง ฉันก็ได้ยินแล้วเหมือนกัน อัจฉริยะจริง ๆ ”
“ครั้งนี้พวกฝีมือฉกรรจ์มาที่เทือกเขาคุนหลุนมีมากมาย ไม่รู้ว่าในโอกาสวาสนาแบบนี้จะมีส่วนแบ่งของพวกเราด้วยรึเปล่า”
“โอกาสวาสนาไม่ได้ดูแค่วิทยายุทธ ดูที่โชคด้วย ไม่มีใครบอกได้หรอก”
“จำผู้หญิงผมม่วงเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้ได้ไหม น่ากลัวชะมัด สู้กับจังเฟิงหลิงจนอย่างจะตัดสิน เทียบกับหยานหวูซวงแล้วแทบไม่ห่างชั้นกันเลย”
ฉู่ชวิ๋นแววตาเปลี่ยนไป ในที่สุดก็ได้ยินข่าวคราวของผู้หญิงผมม่วงแล้ว
“สหายทั้งหลาย ผมขอเลี้ยงเหล้าพวกคุณได้ไหม” ฉู่ชวิ๋นหยิบเหล้าและเดินเข้าไป
ทั้่งหมดหยุดบทสนทนาลง มองฉู่ชวิ๋นแล้วมองเหล้าในมือเขาก่อนจะเอ่ยขึ้น “เชิญนั่ง”
ฉู่ชวิ๋นนั่งลงและเทเหล้าให้ทุกคนจนเต็มแก้ว “ทุกท่านช่วยเล่าเรื่องของผู้หญิงผมม่วงหน่อยได้รึเปล่า”
คนพวกนี้ล้วนมีวิทยายุทธอยู่จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 1 เมื่อเห็นท่าทางฉู่ชวิ๋นไม่ธรรมดาก็มีท่าทีเกรงอกเกรงใจ จริง ๆ ก็เห็นแก่เหล้าดี ๆ ขวดนั้นด้วย
“พ่อหนุ่ม นายอยากฟังเรื่องอะไรล่ะ” หนึ่งในนั้นเอ่ยปาก
ฉู่ชวิ๋นยิ้มบาง ๆ เรียกบริกรมาและสั่งเหล้า 4 ขวดที่ล้วนราตาสูงทั้งนั้น ก่อนจะนำไปวางข้างหน้าพวกเขาคนละขวด และเอ่ยขึ้น “ฉันอยากรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับผู้หญิงผมม่วงคนนั้น”
คนเหล่านี้คลียิ้มและคิดว่าฉู่ชวิ๋นรู้ตัวดีจริง ๆ ว่าต้องทำอย่างไรไม่นาน 1 ในนั้นก็กล่าว “ไม่กี่วันก่อนมีผู้หญิงผมม่วงปรากฏตัว แม้จะใช้ผ้าปิดหน้าเอาไว้ แต่ก็ยากจะบดบังความงดงามของเธอได้”
“พ่อหนุ่มรู้จักประตูนิรันดร์ไหม” อีกคนนึงถาม
ฉู่ชวิ๋นส่ายหัว
คนนั้นชะงักไป ไม่คิดว่าฉู่ชวิ๋นจะไม่รู้จักประตูนิรันดร์ แอบคิดในใจว่า
ฉู่ชวิ๋นคงเป็นคุณชายจากกลุ่มอิทธิพลใดอิทธิพลหนึ่งที่ออกมาท่องโลกเปิดหูเปิดตา เขาจึงเอ่ยขึ้น “ประตูนิรันดร์เป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพลใหญ่เลยล่ะ เทียบกับสำนักดาบพิฆาตแล้วก็ไม่ห่างกันเท่าไหร่”
“ที่ประตูนิรันดร์ชื่อเสียงโด่งดังได้ก็เพราะว่าพวกเขามีจังเฟิงหลิง เทียบชั้นได้กับคุณชายหยานหวูซวง อายุแค่ร้อยกว่าปีเท่านั้น ก็ทะลวงเข้าสู่ขั้นจักรพรรดิระดับ 7 แล้ว !”
ฉู่ชวิ๋นตกใจไม่น้อย บนโลกก็ไม่ขาดแคลนคนมีพรสวรรค์สินะ เป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 7 ด้วยอายุร้อยกว่าปี พรสวรรค์น่าตกตะลึงจริง ๆ
ต้องเข้าใจว่าเอาเขาไปเทียบกับพวกนี้ไม่ได้ เขาฝึกมาแล้ว 3000 ปีรู้ว่าต้องฝึกฝนยังไงเลยใช้เวลาแค่ 15-20 ปีมาถึงขั้นนี้ได้ แต่คนที่อายุแค่ร้อยกว่าปีก็บรรลุถึงพลังระดับนี้ได้หายากจริงๆ
“แล้วประตูนิรันดร์เกี่ยวอะไรกับผู้หญิงผมม่วง” เขาแค่อยากรู้ข่าวคราวของผู้หญิงผมม่วงไม่สนใจคนอื่นหรอก
“เกี่ยวสิ” จอมยุทธ์คนนี้มีท่าทีตื่นตาตื่นใจ “ผู้หญิงผมม่วงคนนี้ปรากฏตัวเมื่อหลายวันก่อนและเจอเข้ากับจังเฟิงหลิงพอดี จนเกิดเรื่องที่น่าตกใจขึ้นมา เขาสาบานต่อหน้าทุกคนว่าเขาจะถอดผ้าคลุมหน้าของผู้หญิงผมม่วงกับมือ”
“แล้วสุดท้ายล่ะ” ฉู่ชวิ๋นถาม
“สุดท้ายผู้หญิงคนนั้นก็แข็งแกร่งเกินไป จังเฟิงหลิงทุ่มสุดกำลังก็ทำอะไรไม่ได้อะไรเลย พวกเขาสู้กันจนฟ้าถล่มดินทลายเลยละ”
ฉู่ชวิ๋นกำลังจะถามต่อ แต่เห็นทุกคนเพ่งก็สายตาไปที่หน้าประตู ฉู่ชวิ๋นเลยหันกลับไปอย่างสงสัย
ฉู่ชวิ๋นก็เห็นชายหนึ่งเข้ามาที่ประตู สวมใส่ชุดขาวและพกกระบี่สีเขียวยาว 1 เมตรนอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีสิ่งอื่นใด หล่อเหลาและเย็นยะเยือก สั้น ๆง่าย ๆ
“เขาเป็นใคร” ฉู่ชวิ๋นถามด้วยความสงสัย คน ๆ นี้วรยุทธสูงมาก
กลายเป็นว่าพวกคนที่นั่งอยู่กับฉู่ชวิ๋นส่งสายตาเตือนเขาอย่างบ้าคลั่งด้วยสีหน้ากระวนกระวาย
1 ในนั้นกดเสียงต่ำลงและพูดด้วยระดับเสียงอย่างกับยุง
“พ่อหนุ่ม เขานี่แหละ หยานหวูซวง”
ฉู่ชวิ๋นมองหยานหวูซวงอย่างพิจารณาด้วยความสงสัยก่อนจะแอบพยักหน้ากับตัวเอง
สาวงามนั้นงามได้เพียงใด ชายหนุ่มคนนี้ก็หล่อเหลาได้เพียงนั้น หยานหวูซวง เป็นไปตามคำพูดนี้เลย
สายตาของหยานหวูซวงจ้องมองคนในมุมด้วยสายตาเย็นชา คน ๆ นั้นสีหน้าซีดเผือด ดวงตาบวมฉึ่ง ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเขาเป็นคนเหลาะแหละ แต่วรยุทธของเขาไม่อ่อนด้อยเลย เขาเป็นถึงจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 3
“หยานหวูซวง นายจะทำอะไร” คนที่กำลังโดนคลื่นพลังกดดันตะโกนถามออกมา แต่ทุกคนดูออกว่าเขาแค่ทำปากกล้าไปงั้น
“ฆ่านาย” หยานหวูซวงเอ่ยปากด้วยสายตาเย็นชา
“ฉันเป็นคนของหอคอยโลหิตจันทรา แกกล้าฆ่าฉันเหรอ”
ฉับ
กระบี่สีเขียว 1 เมตรออกจากฝัก รัสมีดาบเปร่งประกายออกมา
ฉึบ
ดวงตาของคน ๆ นั้นเบิกกว้าง รอยเลือดรอยหนึ่งปรากฏขึ้นที่คอ ก่อนจะระเบิดออกเป็นหมอกเลือด
เขาโดนคร่าชีวิตในกระบี่เดียว ไม่อาจต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย
หยานหวูซวงสีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด เก็บดาบ หันหลัง และจากไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งร้านอาหารตกอยู่ในความเงียบสงัด
ผ่านไปเนิ่นนานจนกระทั่งมั่นใจว่าหยานหวูซวงจะไม่กลับมาอีก ถึงเริ่มมีเสียงกระซิบกระซาบ
“ได้ข่าวว่าเมื่อคืนคน ๆ นี้ไปฆ่าข่มขืนหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง ทำผิดกฏที่ตระกูลหยานตั้งไว้เลยถึงได้โดนคุณชายหยานฆ่าเอา”
เมื่อฉู่ชวิ๋นได้ยินก็คลี่มุมปากขึ้นนิดหน่อย หยานหวูซวงนี่น่าสนใจจริง ๆ
หลังจากนั้นฉู่ชวิ๋นก็ถามอีกหลายคำ แต่สิ่งที่คนเหล่านี้รู้ก็มีจำกัด ถามหาอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เขาจึงลุกขึ้นขอลา
หลังจากนั้น 3 วันฉู่ชวิ๋นก็ยังสืบหาร่องรอยของผู้หญิงผมม่วงไม่ได้ ซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์ที่ว่าก็ไม่ได้ปรากฏ เลยไม่รู้จะทำยังไงต่อ
หรือว่าเธอจากไปแล้ว?
ในขณะที่ฉู่ชวิ๋นกลัดกลุ้มอยู่ มีข่าวหนึ่งลือไปทั่วเมืองหยานเซวี่ย
จากการสืบเสาะฉู่ชวิ๋นก็ได้รู้ว่าตระกูลหยานจะจัดงานรวมตัวผู้กล้าวัยหนุ่ม ขอแค่อายุไม่เกิน 150 ปีก็เข้าร่วมได้หมด
ในยุทธภพ คนที่อายุ 150 ปีถือว่ายังหนุ่มอยู่มาก แต่สำหรับคนธรรมดา อายุเท่านี้ก็กลายเป็นธุลีดินไปนานแล้ว เป็นวัยที่คนรุ่นหลังต้องกราบไหว้เรียกว่าคุณปู่ คุณทวด กันเลยทีเดียว
งานรวมตัวครั้งนี้เป็นการประลองพื้น ๆ และตระกูลหยานก็จะใช้สมบัติล้ำค่าแห่งตระกูล ดอกบังหยั่งหุน เป็นของรางวัล
ดอกบัวหยั่งหุนเป็นยาวิเศษชั้นดี มีคุณสมบัติฟื้นฟูจิตวิญญาญที่ได้รับความเสียหายได้เป็นอย่างดี
ฉู่ชวิ๋นรู้ว่าดอกบัวหยั่งหุนนี่ก็เป็นแค่ลูกเล่นอย่างนึงเท่านั้น ใครจะเป็นคู่มือให้หยานหวูซวงได้ สุดท้ายแล้วดอกบัวหยั่งหุนนี่เป็นของตระกูลหยานอยู่ดี มันก็แค่ละครฉากหนึ่ง
ที่จริง เป้าหมายจริง ๆ ของตระกูลหยานทุกคนรู้หมด ให้หยานหวูซวงเป็นคนออกหน้าข่มทุกคน เพราะถึงอย่างไรก็มีจอมยุทธ์มาที่เมืองหยานเซวี่ย มากขนาดนี้ จะต้องเป็นที่วุ่นวายแน่ พวกเขาเลยอยากจัดระเบียบเพื่อข่มพวกจอมยุทธ์เอาไว้
แต่ดอกบัวหยั่งหุนมีประโยชน์กับฮวาชิงหวู่ ฉู่ชวิ๋นก็ว่าจะลงแข่งดูเหมือน กันยังไงก็ของฟรีไปเอามาไม่เสียหาย
….
….
หัวค่ำของวันต่อมา พระอาทิตย์ตกดิน ถึงเวลางานเลี้ยง
ฉู่ชวิ๋นเดินทางไปตระกูลเยวี่ยด้วยท่าทางสบาย ๆ ตอนนี้หน้าตาของเขาธรรมดามาก เดินบนท้องถนนไม่มีใครจำได้แน่นอน
คฤหาสน์ตระกูลหยานมีพื้นที่หลายร้อยไร่ อาคารและศาลาต่าง ๆ ล้วนหรูหราตระการตา
ผู้กล้าวัยหนุ่มที่มาที่นี่ต่อให้ไม่ถึงพันก็มีประมาณ 800 คนแม้ตระกูลหยานจะยิ่งใหญ่ก็ไม่มีที่พอจะรองรับคนมากมายขนาดนี้ได้
สุดท้ายสนามหญ้าเขียวขจีหลายพันตารางเมตรก็กลายเป็นสถานที่ชุมนุมในครั้งนี้ แน่นอนว่าเป็นรูปแบบบุฟเฟ่ต์ จัดหาที่กันเอาเอง
ตอนที่ฉู่ชวิ๋นมาถึงจำนวนคนก็คับคั่งแล้ว โต๊ะร้อยกว่าตัวโดนคนอื่นยึดที่ไว้หมด เขาไม่รู้จักใครเลย จึงได้แต่หยิบเหล้ามาแล้วเดินเล่นเรื่อยเปื่อย
ตระกูลหยานถือว่ามีน้ำใจ เหล้าหมักด้วยหญ้าวิเศษ ดื่มแล้วมีประโยชน์ต่อวรยุทธมาก
“พ่อหนุ่ม”
มีคนเรียก ฉู่ชวิ๋นหันมองตามไป ที่แท้ก็ 4 คนที่เคยเจอที่โรงแรมวันนั้นนั่นเอง
ฉู่ชวิ๋นเดินเข้าไป พยักหน้าเป็นการทักทาย
“พ่อหนุ่มมาคนเดียวเหรอ” หนึ่งในนั้นถาม
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า
“ถ้าไม่รังเกียจมานั่งกับพวกเราสิ”
ฉู่ชวิ๋นไม่ปฏิเสธ เขากล่าวขอบคุณและนั่งลง
“ครั้งที่แล้วลืมแนะนำตัว พวกเรามาจากประตูเทียนหลัว พ่อหนุ่มมาจากสำนักไหนล่ะ”
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเบา ๆ “ผมไม่มีสำนักหรอก เป็นแค่จอมยุทธ์อิสระเท่านั้น”
เอิ่ม….ทั้ง 4 คนชะงักไป แต่ก็ไม่ได้สงสัยคำพูดของฉู่ชวิ๋น เพราะลมปราณของฉู่ชวิ๋นไร้การเคลื่อนไหว ดูแล้ววิทยายุทธไม่ได้สูงนัก
“พ่อหนุ่ม ถ้านายต้องการจะมาเข้าร่วมกับประตูเทียนหลัวของพวกเราก็ได้นะ ช่วงนี้พวกเรากำลังเปิดรับลูกศิษย์อยู่ นายกลับไปกับฉัน เดี๋ยวฉันแจ้งให้ รับรองว่านายเข้าได้แน่นอน”
ฉู่ชวิ๋นชะงักไปก่อนจะกล่าวขอบคุณ อย่างไรซะอีกฝ่ายก็หวังดี
“พ่อหนุ่ม ถึงประตูเทียนหลัวของเราจะเป็นแค่อิทธิพลระดับกลาง แต่ถ้านายเข้าร่วมก็ถือว่ามีที่พำนัก มีกำลังหนุนหลัง หลังจากนี้ท่องยุทธภพก็สะดวกขึ้นเยอะ จะได้ไม่พเนจรคนเดียว ไร้ที่พึ่งพิง คนอื่นจะรังแกเอาได้ง่าย ๆ นะแบบนี้”
“ถ้ายังไงก็ขอบคุณพี่ชายทั้ง 4 ไว้ล่วงหน้าเลยนะครับ” ฉู่ชวิ๋นเอ่ยยิ้ม ๆ
จากนั้นคนเหล่านี้ก็คุยกันเรื่อยเปื่อย
โฮกกก
เสียงสัตว์คำรามสะเทือนแก้วหู
ทุกคนมองตามเสียงไป ก็ได้เห็น 1 สิงโต 1 เสือ สัตว์ร้ายมหึมา 2 ตัวที่กำลังลากรถม้าที่หรูหราสุดยอดมา
“จังเฟิงหลิงมาแล้ว นั่นคือสัตว์พาหนะของเขา” มีคนเอ่ยเสียงเบา
“เห็นสัตว์ร้าย 2 ตัวนั้นรึเปล่าใกล้เคียงกับสัตว์ร้ายขั้นจักรพรรดิไปทุกทีแล้วนะ”
“สมกับเป็นจังเฟิงหลิงจริง ๆ แม้แต่สัตว์ร้ายขั้นจักรพรรดิก็ยังปราบได้ แถมวิธีปรากฏตัวนี่ดึงดูดสายตาดีจริง ๆ ”
เสียงโหวกเหวกของเหล่าจอมยุทธ์เงียบลงเนื่องจากการมาของจังเฟิงหลิง กลายเป็นเสียงกระซิบกระซาบในทันที
ข้างรถม้ามีสาวใช้ 2 คน สวมชุดสีม่วงทั้งตัว ทรวดทรงงดงาม หน้าตาสะสวย ถือได้ว่าเป็นระดับเทพี ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือวิทยายุทธของสาวใช้ทั้ง 2 อยู่ขั้นจักรพรรดิ!
สาวใช้เป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิ จังเฟิงหลิงคนนี้นี่ร้ายจริง ๆ
สาวใช้ทั้ง 2 เลิกม่านรถขึ้น ร่างสีแดงปรากฏสู่สายตาของทุกคน
คนเฉื่อยชาอย่างฉู่ชวิ๋นยังเกือบจะสำลักเหล้าในปาก
จั้งเฟิงหลิงใส่มงกุฎหยกไว้บนหัว ผมยาวระดับเอวถูกหวีไว้อย่างเรียบร้อย หน้าตาถือว่าหล่อเหลา แต่ดันแต่งหน้า ปากก็ทาซะแดงแปร๊ดอย่างกับกินเลือดมา ที่ประหลาดที่สุดเห็นจะเป็นชุดสีแดงของเขา เห็นได้ชัดว่าไม่เข้ากับตัว หลวมไปหมด ช่วงหน้าอกเปิดไว้ จากหัวเข่าลงไปถูกเปิดเผยไว้หมด ขนที่ขาหนามาก ถึงกับมีคนสงสัยว่าเขาได้ใส่อะไรด้านในเสื้อผ้าบ้างรึเปล่า
ฉู่ชวิ๋นเลิกมุมปากขึ้นเบา ๆ สวมชุดแดง นั่งรถม้า ประหลาดคนจริง ๆ
“พี่จังมาแล้วเหรอ” หยานหวูซวงปรากฏตัวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ขอโทษทีพี่หยาน มาสายไปหน่อย” เสียงของจังเฟิงหลิงแหลมเล็ก ออกจะแสบหูนิดหน่อย
“ไม่สายหรอก งานเลี้ยงเพิ่งเริ่ม” หยานหวูซวงเอ่ยขึ้น
“งั้นก็ดี ๆ …” จังเฟิงหลิงกระโดดลงจากรถม้าและเดินเข้าไป ทุกที่ ๆ ก้าวถึงล้วนมีจอมยุทธ์ลุกขึ้นเสียสละที่นั่งให้
“รบกวนทุกท่านไปหน่อย ไม่ต้องเกรงใจ ทุกท่านนั่งเลย เอาเก้าอี้มาให้ฉันตัวนึงก็พอ” จังเฟิงหลิงดูเกรงใจคนอื่น
ส่วนพวกกจอมยุทธ์ก็ยิ่งดูเกรงใจไปใหญ่ นี่คือจังเฟิงหลิงเลยนะ ใครจะกล้าดูถูกเขา คนที่กล้าดูถูกเขาไปเจอยมบาลกันหมดแล้ว