บทที่ 291 ไม่เคยสงบ!
แน่นอนว่าที่จังหลิงเฟิงบอกให้ยกเก้าอี้มาให้เขาตัวนึงเป็นแค่คำล้อเล่นเท่านั้น ที่สุดขอบสถานที่จัดงานมีโต๊ะเหลือไว้ตัวหนึ่ง เป็นที่สำหรับเหล่าผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ จังหลิงเฟิงย่อมเป็น 1 ในนั้น
จังหลิงเฟิงเพิ่งจะนั่งลงเสียงเซ็งแซ่ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ร่างงามร่างหนึ่งเดินเข้ามา ดวงตาสุกใส ผิวขาวผ่อง กระโปรงสีขาวพลิ้วไหวตามลม ราวกับคลื่นลมที่พัดผ่านก้านหลิวในสายลม
“เทพธิดาเยวี่ยก็มา” มีจอมยุทธ์บอกเสียงเบา
* เทพธิดาเยวี่ย(月仙子) ในภาษาจีน หมายถึง เทพธิดาบนดวงจันทร์
ขาวผุดผ่องทั้งรูปร่างและหน้าตารวมถึงชุดแต่งกาย ความงามน่าตกตะลึง แล้วแต่วรยุทธกลับน่าตกตะลึกยิ่งกว่า เธอเป็นถึงจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 7
เธอเองก็เป็นคนดังของเมืองเพราะเธอเป็นคนที่หยานหวูซวงมีใจให้ เขาแอบรักเธอมานานกว่า 30 ปีก็ยังไม่ได้ใจของโฉมงามคนนี้ไปสักที
ในตอนนี้เอง สายตาของหยานหวูซวงก็ไม่มีใครอื่นอีก เขาค่อย ๆ เดินไปต้อนรับเธอ แม้แต่จังเฟิงหลิงก็ยังไม่ได้รับการปฏิบัติขนาดนี้
เคยมีคนบอกว่าคนที่หยานหวูซวงจะออกไปต้อนรับนั้น ใต้หล้านี้นอกจากพ่อแม่ของเขาแล้วก็มีแต่เหยาไป๋เยวี่ยนี่แหละ
“มาแล้วเหรอ” เสียงเย็นชืดของหยานหวูซวงอ่อนโยนขึ้นมาก
เหยาไป๋เยวี่ยพยักหน้าเบา ๆ ก่อนเอ่ยเสียงอันไพเราะออกมา
“ฉันมาสายหรือเปล่า”
“ไม่สาย ๆ ขอแค่เทพธิดาเยวี่ยยอมมา ต่อให้ต้องรอจนชั่วฟ้าดินสลายพี่หยานก็เต็มใจรอ” จังเฟิงหลิงตะโกนออกมาจากที่ไกลๆ
“ที่แท้พี่จังก็มาด้วย” เหยาไป๋เยวี่ยแลดูมารยาทเพียบพร้อม ไม่ถือสาคำหยอกล้อของเขาสักนิด
“เทพธิดาเยวี่ยเพิ่งเห็นฉันเหรอ ฉันเจ็บปวดเลยนะ พี่หยานนี่เสน่ห์แรงจริง ๆ” จังเฟิงหลิงเอ่ยขึ้น
“พี่จังพูดเป็นเล่นไป ท่านแต่งตัวมาขนาดนี้ไม่เห็นคงยาก” เหยาไป๋เยวี่ยบอกเสียงเบา
จังเฟิงหลิงมุมปากกระตุก หัวเราะแห้งๆ
คนที่กล้าประชดประชันจังเฟิงหลิงในโลกใบนี้คงมีแค่เหยาไป๋เยวี่ยคนเดียว นอกจากวรยุทธของเธอที่แข็งแกร่งพอ ๆ กับจังเฟิงหลิงแล้วอีกเหตุที่จังเฟิงหลิงไม่กล้าทำอะไรก็เพราะ ถ้าเขาพูดไม่ดีกับเธอคมกระบี่ของ
หยานหวูซวงจะพุ่งออกมาเป็นอันดับแรก
เหยาไป๋เยวี่ยไปเดินไปนั่งที่ ๆ หยานหวูซวงเตรียมไว้ให้ แน่นอนว่าเป็นโต๊ะเดียวกับจังเฟิงหลิง
คนที่ควรจะมาก็มาหมดแล้ว สำหรับหยานหวูซวงเขารอแค่เหยาไป๋เยวี่ยคนเดียว ส่วนคนอื่นจะมาหรือไม่นั้นเขาไม่สนใจ
“พี่หยาน งานเลี้ยงวันนี้จะเล่นกันยังไง” จังเฟิงหลิงเอ่ยปาก
หยานหวูซวงเอ่ยขึ้น “ไม่เล่นอะไร ทุกคนตามสบายเลย”
จังเฟิงหลิงชะงักไป “พี่หยาน พี่ชวนทุกคนมาคงไม่ใช่มากินดื่มเฉย ๆ นะ”
“ใช่แล้ว” หยานหวูซวงพยักหน้าและมองไปรอบๆ พลางกล่าวด้วยเสียงเย็นชืด “ทุกท่านที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นยอดคน ทุกท่านเดินทางกันมาไกลกว่าจะถึงเมืองหยานเซวี่ย ทุกท่านล้วนเป็นแขกของตระกูลหยาน หากมีความต้องการอะไรเชิญเอ่ยปากได้เลย หากตระกูลหยานช่วยได้จะไม่ปฏิเสธเด็ดขาด”
“หวูซวง อยากวานทุกท่านที่อยู่ที่นี่สักเรื่อง เมืองหยานเซวี่ยเป็นรากฐานของพวกเขาตระกูลหยาน หวังว่าหลังจากนี้ทุกท่านจะเก็บ ๆ อารมณ์และทำตามกฏเกณฑ์ของตระกูลหยาน ถือว่าไว้หน้าตระกูลหยานกันบ้าง”
ทุกคนเข้าใจทันที เป้าหมายของงานเลี้ยงครั้งนี้คือจะข่มทุกคนจริง ๆ ด้วย แน่นอนว่าหยานหวูซวงเอ่ยปากเองก็ไม่มีใครกล้าไม่ไว้หน้า พวกเขาจึงพากันตอบรับ
“พวกเราไว้หน้าตระกูลหยานแล้ว แต่ดูเหมือนตระกูลหยานจะไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาเลยนะ” เสียงไม่คาดฝันดังขึ้นทำให้ทุกคนเงียบกันหมด
ทุกคนมองตามเสียงไป เพราะอยากรู้ว่าใครกันที่กล้าเถียงหยานหวูซวงต่อหน้าทุกคน
และพวกเขาก็ได้เห็นโต๊ะนึงที่มีแค่คน 4 คน ล้วนสวมชุดสีแดงเข้ม ลมปราณแข็งกร้าว แม้จะเทียบไม่ได้กับหยานหวูซวง แต่คนที่วรยุทธสูงสุดก็อยู่ในขั้นจักรพรรดิระดับ 5
จังเฟิงหลิงหรี่ตาและคิดว่าตัวเองคงได้ดูอะไรสนุก ๆ แล้ว
เหยาไป๋เยวี่ยก็แปลกใจไม่น้อย มีคนกล้าไม่ไว้หน้าหยานหวูซวงจริง ๆ หรือนี่
หยานหวูซวงกลับมีสีหน้านิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน “ทั้ง 4 ท่านเป็นสหายจากหอคอยโลหิตจันทราใช่ไหม”
หอคอยโลหิตจันทรา ทุกคนมีสีหน้าเปลี่ยนไปเมื่อได้ยิน
อิทธิพลของหอคอยโลหิตจันทราไม่ด้อยไปกว่าตระกูลหยาน เป็นอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ในดินแดนแห่งนี้เหมือนกัน
“คุณชายช่างตาแหลมยิ่งนัก” จักรพรรดิระดับ 5 คนนั้นลุกขึ้นมาและมองหยานหวูซวงอย่างเย็นยะเยือก ในแววตาแดงก่ำ “ขอถามคุณชายหน่อย ท่านเป็นคนที่ฆ่าศิษย์น้องชายของฉันหรือเปล่า”
ฉู่ชวิ๋นนึกถึงภาพที่เกิดขึ้นในร้านอาหารที่โรงแรมเมื่อตอนบ่าย เป็นหยานหวูซวงปลิดชีพอีกฝ่ายในกระบี่เดียว คนที่ตายคนนั้นเหมือนจะบอกว่าตัวเองมาจากหอคอยโลหิตจันทรา
“ถูกต้อง ฉันเป็นคนฆ่ามันเอง” หยานหวูซวงไม่ปฏิเสธ
“ยอมรับก็ดีแล้ว งั้นขอถามหน่อยว่าที่แกมาฆ่าคนของพวกเราหอคอยโลหิตจันทรา จะคิดบัญชีเรื่องนี้ยังไง”
“คนของสำนักนายคนนั้นฆ่าข่มขืนผู้หญิงธรรมดา ไม่สมควรฆ่าเหรอ”
น้ำเสียงของหยานหวูซวงเย็นชืด นอกจากเหยาไป๋เยวี่ยแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องเกรงใจใครทั้งนั้น
คนที่ชื่อเสียงเลื่องลือย่อมมีจุดที่ทะนงในตัวเอง
“หยานหวูซวง แกเหิมเกริมเกินไป แม้ว่าที่นี่จะเป็นถิ่นของตระกูลหยาน แต่จะมาฆ่าคนของพวกเราหอคอยโลหิตจันทราโดยไร้สาเหตุแบบนี้คิดว่าหอคอยโลหิตจันทราของพวกเราจะมารังแกกันง่ายๆ งั้นเหรอ”
“ไร้สาเหตุเหรอ” หยานหวูซวงเอ่ยขึ้น
“เฮอะ ผู้หญิงธรรมดาๆ ฆ่าข่มขืนแล้วไง ก็แค่ชีวิตมดปลวกเท่านั้น จะมาเทียบกับชีวิตลูกศิษย์ของพวกเราหอคอยโลหิตจันทราได้ยังไง” จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 5 หัวเราะอย่างเย็นชา ในสายตาของพวกเขา ชีวิตคนธรรมดาต่ำต้อยยิ่งกว่ามดปลวกซะอีก
“เพิกเฉยต่อกฎเกณฑ์ของพวกเราตระกูลหยาน โดนฆ่าแล้วยังไง พวกแกจะแก้แค้นให้มันเหรอ” หยานหวูซวงท่าทีแข็งกร้าว
“หยานหวูซวง พวกเรารู้ว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของแก แต่แกมันโอหังนัก พวกเราหอคอยโลหิตจันทราไม่กลัวพวกแกตระกูลหยานหรอกนะ”
“อยากแก้แค้นก็มาได้เสมอ ฉันหยานหวูซวงพร้อมสู้ทุกเมื่อตอนนี้เลยก็ยังได้” หยานหวูซวงพูดราวกับเรื่องปกติ
“แก…” เมื่อเห็นหยานหวูซวงแข็งกร้าวถึงขนาดนี้ คนพวกนี้ก็อาละวาดไม่ออกเพราะพวกเขาสู้หยานหวูซวงไม่ได้จะให้เข้าไปสู้ตอนนี้มันก็เหมือนเข้าไปตาย
ฉู่ชวิ๋นเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อย “หอคอยโลหิตจันทรานี่เป็นใครมาจากไหนเหรอ”
ทั้ง 4 คนที่อยู่ร่วมโต๊ะรีบส่งสายตาให้เขาพูดเบาๆ “พ่อหนุ่ม หอคอยโลหิตจันทรานี่ไม่ธรรมดา อิทธิพลไม่ด้อยไปกว่าตระกูลหยานเลย”
“อ้อ ๆ….” ฉู่ชวิ๋นส่ายหัวและมองหยานหวูซวงที่ท่าทางเกรงใจอีกฝ่ายอยู่บ้างเพราะแบบนี้สินะ
ประสาทรับฟังของจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิดีจนน่ากลัว ทั้ง 4 คนทำอะไร
หยานหวูซวงไม่ได้ แต่ก็ได้ยินคำพูดของฉู่ชวิ๋น
“ไอ้หนู แกมีความคิดเห็นอะไรกับพวกเราหอคอยโลหิตจันทราเหรอ” จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 5 คนนั้นพุ่งเป้ามาที่ฉู่ชวิ๋น
4 คนที่นั่งอยู่ด้วยกันสีหน้าเปลี่ยนไปทันที พวกเขาแอบด่าฉู่ชวิ๋นว่าปากมากเกินไปแล้ว แบบนี้จะพาพวกเขาตายกันหมดนะ
“ผู้อาวุโสทั้งหลาย เขายังเด็ก ไม่รู้เรื่องรู้ราว เขาไม่มีความคิดเห็นอะไรกับหอคอยโลหิตจันทราแน่นอน” 1 ในนั้นรีบพูดออกมา
ประตูเทียนหลัวเป็นแค่สำนักระดับกลางเท่านั้น มีปัญหากับหอคอยโลหิตจันทราไม่ไหวหรอก
“พวกนายมาจากสำนักไหน” จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 5 คนนั้นหัวเราะโหดเหี้ยม จิตสังหารปรากฏออกมา
“ผู้อาวุโสทั้งหลายอย่าโมโหไป พ่อหนุ่มคนนี้ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ พวกเราไม่มีความเห็นอะไรกับหอคอยโลหิตจันทราเด็ดขาด” เขาไม่กล้าบอกสำนักไป ไม่แน่พรุ่งนี้อาจจะโดนหอคอยโลหิตจันทราล้างบางก็ได้
จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 5 หัวเราะหึๆ “ในเมื่อไม่ได้ตั้งใจ ก็ไสหัวมากราบขอโทษซะ เรื่องนี้ก็ถือว่าจบไป”
ทุกคนรู้หมดว่านี่พวกมันกำลังระบายอารมณ์กับฉู่ชวิ๋นชัดๆ แต่ไม่มีใครจะเอ่ยปากออกหน้าให้กับเจ้าหนุ่มที่ไม่รู้จักคนนี้ พวกเขาอยากให้ฉู่ชวิ๋นขอโทษต่อหอคอยโลหิตจันทรา ไม่งั้นไม่จบง่าย ๆ แน่
“พ่อหนุ่ม นายไปกราบขอโทษเขาเถอะ พวกเรามีปัญหากับหอคอยโลหิตจันทราไม่ไหวหรอก เทียบกับชีวิตแล้วแค่กราบขอโทษที 2 ทีไม่เป็นอะไรหรอก” 1 ในเพื่อนร่วมโต๊ะเกลี้ยกล่อม
“สหายจากหอคอยโลหิตจันทรา ทุกคนที่มาในวันนี้ล้วนเป็นสหายของพวกเราตระกูลหยาน พวกนายทำแบบนี้ไม่ถูกระเบียบเท่าไหร่นะ” หยานหวูซวงเอ่ยปากช่วยเหลือ
“พี่หยาน ถึงทุกคนจะมาเพราะตระกูลหยาน แต่คนที่ไม่เจียมเนื้อเจียมตัวมีมากเกินไป เรื่องพวกนี้มีทุกวัน นายจะช่วยเหลือทุกเรื่องได้ยังไง” จังเฟิงหลิงหัวเราะเสียงแหลม
หอคอยโลหิตจันทราทั้ง 4 พยักหน้าให้กับจังเฟิงหลิงก่อนจะหันไปพูดกับฉู่ชวิ๋น “ไอ้หนู แกจะยอมกราบขอโทษหรือจะยอมตายล่ะ”
ฉู่ชวิ๋นขมวดคิ้ว ที่เขามาเมืองหยานเซวี่ยก็เพราะผู้หญิงผมม่วง ที่มาตระกูลหยานก็เพราะดอกบัวจิตวิญญาณ เปลี่ยนรูปโฉมก็เพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องวุ่นวาย ทำไมตอนนี้เขาไม่ได้อะไรสักอย่างเลยละ
“ไสหัวไปซะ ไม่งั้นฉันจะฆ่าล้างบางพวกแกหอคอยโลหิตจันทรา” ฉู่ชวิ๋น
พูดอย่างเฉยเมย
เสียงของเขาเบามาก แต่กลับเหมือนเสียงระเบิดในหูผู้คน ทำให้ทั้งหมดเงียบงันลงในทันที
4 คนที่อยู่ร่วมโต๊ะตกใจจนแทบจะกองกับพื้น วัวที่เพิ่งเกิดยังไม่รู้จักกลัวเสือสินะ
ส่วนคนอื่น ๆ มองฉู่ชวิ๋นด้วยสายตาแปลกประหลาดและสีหน้าที่ต่างกันออกไป
“แกว่าไงนะ” จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 5 แห่งหอคอยโลหิตจันทราไม่อยากจะเชื่อ นี่หูเขามีปัญหาหรือเปล่า
“คนของหอคอยโลหิตจันทรานี่หูไม่ดีงั้นเหรอ ฉันให้ไสหัวไป ขืนพูดมากอีก พวกแกตาย!” น้ำเสียงของฉู่ชวิ๋นรำคาญอย่างมาก
จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 5 คนนั้นดวงตาเบิกกว้าง เขายังไม่อยากจะเชื่อ ไม่นานสีหน้าเขาก็เต็มไปด้วยความบิดเบี้ยว “ไอ้หนู หยามพวกเราหอคอยโลหิตจันทรา ต่อให้เป็นเทวดาก็ช่วยนายไม่ได้”
พูดจบจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 5 ก็ยกมือขึ้นฟาดใส่ฉู่ชวิ๋น ฝ่ามือมหึมาที่สร้างจากลมปราณพุ่งเข้าใส่ฉู่ชวิ๋นอย่างดุดัน
ทุกคนคาดเดาภาพที่จะเกิดหลังจากนี้ได้เลย ไอ้หนุ่มคนนี้ต้องถูกฟาดจนไม่เหลือร่างระเบิดเป็นหมอกเลือดอย่างแน่นอน
“พวกแก อยากตายมากสินะ” ฉู่ชวิ๋นยกมือขึ้น ทำลายการโจมตีของอีกฝ่ายได้ด้วยหมัดเปล่า ก่อนจะพุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็วและชกหมัดออกไปอย่างหนักหน่วง
ตู้ม
จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 5 คนนั้นลนลานจนทำอะไรไม่ถูก ลมปราณคุ้มกายแตกสลายภายในหมัดเดียว กำปั้นประทับลงที่หน้าอกของเขาจนเกิดเสียงกร๊อบแกร๊บ กระดูกหน้าอกแตกหักไปซะส่วนใหญ่
ฉู๋ชวิ๋นยื่นมือไปล็อคตัวอีกฝ่ายแล้วหิ้วขึ้นมา อีกมือหนึ่งตบหน้าเขาฉาดใหญ่และรัวแรง เสียงเพี๊ยะๆ ดังขึ้นพักหนึ่ง จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 5 ปากเบี้ยวคอเอียง ฟันหลุดร่วง คราบเลือดเยอะจนน่ากลัว
ฉู่ชวิ๋นโยนเขาลงพื้นเหมือนโยนถุงขยะเน่า ๆ ใบหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวชกอากาศไปอีกหมัด
3 คนที่เหลือล้วนเป็นจอมยุททธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 4 สำหรับฉู่ชวิ๋นแล้วการโจมตีของพวกนี้โดยตรง..มันอันตรายเกินไป ถ้าพวกมันตายง่ายๆ คงดู ไม่ดี ลมปราณโหมกระหน่ำ ตึงตึง….หลังจากเสียงหมัดทุ้ม ๆ ผ่านไป ทั้ง 3 ก็กระดูกหักกันหมด ร้องโหยหวนกันไม่หยุด
ทุกคนเงียบกริบ ไม่มีเสียงใด ๆ เล็ดลอดออกมา
จอมยุทธ์ทุกคนเบิกตากว้างและอ้าปากค้าง ลูกตาแทบจะถลนออกมา
โดยเฉพาะ 4 คนที่นั่งร่วมโต๊ะกับฉู่ชวิ๋น แต่ละคนนิ่งราวกับรูปปั้น วิญญาณหลุดลอยออกจากร่างไปแล้ว
แม้แต่หยานหวูซวงเองก็ตกใจอยู่บ้าง เขามองเห็นทุกอย่าง หมัดของฉู่ชวิ๋นไม่มีพลังลมปราณเลยสักนิด เพียงแค่เนื้อกาย จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 5 ก็ไร้เรี่ยวแรงจะต้านทานแถมยังโดนซะอ่วม
จังเฟิงหลิงสายตาอึมครึม แววตาเป็นประกาย ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
แม้แต่เหยาไป๋เยวี่ยเองก็มองฉู่ชวิ๋นด้วยความตะลึง
“ไอ้หนู กล้าทิ้งชื่อไว้หรือเปล่า” จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 5 คนนั้นไม่มีฟันแล้ว เวลาพูดจึงมีลมผ่านตลอดส่งผลให้พูดไม่ชัด
“อยากแก้แค้นเหรอ ฉันชื่อว่าฉู่ชวิ๋น”
จอมมารฉู่?
คนรอบข้างล้วนกลัวจนถอยออกจากที่นั่ง แต่พอถอยไปไม่กี่ก้าวก็รู้สึกแปลกๆ คนส่วนใหญ่เคยเห็นรูปของจอมมารฉู่ หน้าตาไม่ใช่แบบนี้ซะหน่อย
“นายไม่ใช่จอมมารฉู่ ฉันเคยเห็นรูปของเขา”
ฉู่ชวิ๋นเหล่มองอีกฝ่ายและหัวเราะเย็นชา “ก็ได้ ๆ ฉันไม่ใช่จอมมารฉู่ ฉันเป็นพี่ชายของเขา ยมทูตฉู่”
ยมทูตฉู่ ผู้คนปากกระตุก ไม่มีใครเชื่อ ไม่มีใครเคยได้ยินทั้งว่าจอมมารฉู่มีพี่ชาย เห็นได้ชัดว่าคน ๆ นี้โกหก
แต่พวกเขาเองก็นึกสยองในใจ ชื่อเสียงของจอมมารฉู่เลื่องลือไปทั่วหล้า เรียกได้ว่าชื่อเสียงโหดเหี้ยม คน ๆ นี้ยังกล้าเอาจอมมารฉู่มาอ้าง ถ้าหากจอมมารฉู่รู้เข้าจะทรมาณไอ้หนุ่มนี้แบบไหนกันนะ