หลู่เส่าโหย่วใช้เวลาในการปีนขึ้นมาจากหน้าผาทั้งหมดสามวัน ปรากฏว่าหน้าผาที่เขาปีนขึ้นมานั้นคือหน้าผาที่อยู่นอกเมือง อีกทั้งในตอนที่ปีนขึ้นมา หลู่เส่าโหย่วก็พบว่าตัวของเขามีกำลังเพิ่มขึ้นมาอย่างมหาศาล ทั่วทั้งร่างราวกับมีพละกำลังที่ใช้ไม่มีวันหมด ไม่เช่นนั้น คาดว่าเขาคงไม่สามารถปีนขึ้นมาจากหน้าผาได้เป็นแน่
ณ คฤหาสน์ตระกูลหลู่ หลังกำแพงสูงนั้นมีลานบ้านที่เรียงกันเป็นวงกลม ตามความทรงจำของหลู่เส่าโหย่ว ที่แห่งนี้มีการออกแบบที่คล้ายคลึงกับสวนซูโจวในชีวิตก่อนหน้าของเขาเล็กน้อย
“ปังปัง…”
หลู่เส่าโหย่วเคาะประตูใหญ่ของคฤหาสน์ ขณะเดียวกันท้องของเขาก็ร้องด้วยความหิวโหย
“เอี๊ยด” ประตูใหญ่ของคฤหาสน์ตระกูลถูกเปิดออก จากนั้นก็มีคนรับใช้สองคนที่สวมหมวกและใส่เสื้อสีเทาเดินออกมา เมื่อเห็นว่าเป็นหลู่เส่าโหย่ว สายตาของคนรับใช้ทั้งสองต่างก็แสดงออกมาว่าพวกเขาค่อนข้างแปลกใจ…
“แกเข้าไปทางประตูหลังดีกว่า นายหญิงใหญ่ท่านสั่งไว้ว่าไม่อนุญาตให้แกเข้ามาทางประตูหน้า” แม้คนรับใช้ทั้งสองจะมองหลู่เส่าโหย่วอย่างประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้นำเขามาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังปิดประตูใส่เขาในทันที
“สุนัขรับใช้ทั้งสอง แกยังคิดว่าข้าเป็นหลู่เส่าโหย่วคนเดิมอย่างนั้นหรือ” ในภายภาคหน้าพวกแกได้เจอดีแน่ หลู่เส่าโหย่วถุยน้ำลายใส่หน้าประตูใหญ่ สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงเดินไปยังประตูหลังของคฤหาสน์
ตามความทรงจำในจิตใจ หลู่เส่าโหย่วรู้มาว่าเมื่อก่อนเขานั้นไม่เคยได้เข้าคฤหาสน์แห่งนี้ทางประตูใหญ่เลย ถึงแม้เขาจะเป็นนายน้อย แต่ทว่าแม่ของเขาแต่เดิมนั้นก็เป็นเพียงแค่สาวใช้ในตระกูล มีสถานะต่ำต้อย และหลังจากการให้กำเนิดเขา แม่ก็โดนคู่สมรสคนก่อนของพ่อคอยกีดกันมาโดยตลอด พ่อของเขาก็ไม่กล้าพูดอะไร แม่จึงต้องอดทนกับการโดนกลั่นแกล้งสารพัด
“นายน้อยเส่าโหย่ว ท่านกลับมาสักที ท่านหายตัวไปตั้งห้าวัน นายหญิงรองกังวลแทบแย่ ท่านรีบกลับเข้าไปเถอะ” เมื่อคนรับใช้วัยชราที่อยู่ตรงประตูหลังเห็นหลู่เส่าโหย่ว เขาก็กล่าวกับหลู่เส่าโหย่วด้วยแววตาของความเป็นห่วงเป็นใยปนความสงสาร
“ข้าเข้าใจแล้ว ลุงหนาน” จากความทรงจำ คนรับใช้ชราผู้นี้คือ ‘ลุงหนาน’ นอกจากแม่ที่ดีกับเขาแล้วก็มีเพียงแค่ลุงหนานเท่านั้นที่คอยดูแลเขาตั้งแต่ยังเล็ก
“เอ๋… หรือว่าข้าจะดูผิดไปเอง” เมื่อมองไปที่แผ่นหลังของหลู่เส่าโหย่ว ดวงตาสีเทาของคนรับใช้วัยชราก็เกิดแสงสว่างวาบขึ้นมา ไม่นานก็กลับมาเป็นสีเทาดังเดิม จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ปิดประตูหลังของคฤหาสน์ลง
หลู่เส่าโหย่วเดินผ่านทางเดินมากมาย จนกระทั่งมาถึงลานบ้านเตี้ยๆ หลังหนึ่ง ที่นี่คือที่อยู่ของคนรับใช้ในตระกูล
ตระกูลหลู่เป็นตระกูลใหญ่ที่อยู่ในเมือง นับแค่คนรับใช้ก็มีมากมายราว ๆ สองถึงสามร้อยคน เมื่อรวมกับสมาชิกจากตระกูลสายหลักและสายรองแล้ว จำนวนก็มีไม่น้อยกว่าเจ็ดร้อยคน ตระกูลที่มีคนมากถึงเจ็ดร้อยคนนั้นก็ถือว่าไม่ใช่ตระกูลเล็กๆ แล้ว
ข้างหน้าลานบ้านค่อนข้างทรุดโทรม และเมื่อเดินเข้าไปด้านในก็ยังพบแต่ความทรุดโทรมเช่นเดียวกัน หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายหลู่เส่าโหย่วก็ผลักประตูเข้าไป
“เส่าโหย่ว ลูกหายไปไหนมา แม่เป็นห่วงแทบแย่” ข้างในห้องนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่ง สวมใส่เสื้อไหมสีเขียวอ่อน ดูแล้วอายุน่าจะราวๆ สามสิบหกสามสิบเจ็ดปี ผิวพรรณผ่องใส ใบหน้าคม คิ้วเรียว รูปโฉมงดงามแต่ดวงตาของนางกลับแดงและบวมเล็กน้อย ราวกับพึ่งผ่านการร้องไห้มา
ผู้หญิงคนนั้นมองมาที่หลู่เส่าโหย่วและรีบเดินเข้ามาหาเขาอย่างเป็นกังวล เมื่อนางเห็นสภาพของหลู่เส่าโหย่วที่ราวกับขอทาน ดวงตาของนางก็เริ่มมีน้ำตาคลอขึ้นมา
“แม่…ข้าไม่เป็นไร” เมื่อเห็นความอ่อนโยนของผู้หญิงตรงหน้า หลู่เส่าโหย่วก็รู้สึกสั่นไหวในหัวใจ ลูกของนางได้ตายจากไปแล้ว… แต่ตัวเขากลับไม่สามารถบอกความจริงข้อนี้ได้ หลังจากนี้ ตัวเขาก็ได้กลายเป็นลูกชายของนางแทนแล้ว
“เส่าโหย่ว รีบบอกแม่มาว่าเจ้าหายไปไหนตั้งหลายวัน ทำไมออกไปข้างนอกโดยที่ไม่บอกกันสักคำ” เมื่อมองสำรวจร่างกายของหลู่เส่าโหย่วแล้วเห็นว่าเขายังครบสามสิบสอง นางจึงค่อยรู้สึกโล่งอก จากนั้นนางจึงดึงแขนของเขาเอาไว้พร้อมกับสอบปากคำ
“ข้ามีเรื่องที่ต้องไปทำเล็กน้อย ขอโทษ…ข้าทำให้เป็นห่วงเสียแล้ว” หลู่เส่าโหย่วตอบกลับไป แน่นอนว่าเขาคงไม่สามารถบอกนางได้ว่าลูกของนางนั้นโดนคนอื่นทุบตีจนตายแล้วนำไปโยนทิ้งไว้ที่หน้าผา
“ลูกหิวหรือยัง แม่เก็บของอร่อยเอาไว้ให้ลูกด้วยนะ” สตรีที่งดงามทั้งยังใจดีคนนี้รีบไปนำซาลาเปาหลายลูก พร้อมกับเนื้ออีกหนึ่งจานมาให้เขา อาหารที่นางนำมาให้นั้นดูไม่เลวนัก แต่แค่เขามองดูก็รู้ว่าอาหารเหล่านี้เป็นของเหลือ
“อาหารพวกนี้สะอาดนะ ลุงหนานแอบขโมยออกมาจากในครัวให้ รีบกินเถอะ มีแต่ของที่ลูกชอบทั้งนั้น” หญิงงามเอ่ยพร้อมกับมองมาที่เขา แววตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนพลันปรากฏความรู้สึกผิดขึ้นมา นางกล่าวเสียงเบาว่า “เพราะแม่นั้นไร้ความสามารถจึงทำให้ลูกต้องทุกข์ทรมานมาตั้งแต่เกิด หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แม่คงไม่คลอดลูกออกมา”
“แม่…นี่ไม่ใช่ความผิดของท่านเลย หลังจากนี้ลูกจะไม่ให้แม่ต้องอยู่อย่างยากลำบากอีก” เมื่อเห็นแววตาของนาง หลู่เส่าโหย่วก็ไม่อาจห้ามให้ดวงตาของตนมีน้ำตาคลอขึ้นมาได้ ตัวเขาในชาติก่อนเติบโตมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ไม่เคยได้รับความรักของแม่มาตั้งแต่เด็ก บางทีการที่เขาได้ข้ามมิติมาครั้งนี้ อาจเป็นการชดเชยจากพระเจ้า เพื่อให้เขาได้รับความรักของผู้เป็นแม่ที่หาได้ยากสำหรับคนอย่างเขาก็เป็นได้ หลู่เส่าโหย่วสาบานในใจอย่างเงียบๆ ว่าต่อจากนี้ไป เขาจะถือว่านางคือแม่ของเขา และตัวเขาจะไม่ยอมให้นางต้องทนทุกข์ทรมานอีก
“เด็กดี…เจ้ารีบกินข้าวเถอะ หลังกินเสร็จแล้วก็ถอดเสื้อผ้าออกมา แม่จะช่วยซ่อมมันให้” เมื่อมองมาที่หลู่เส่าโหย่ว นางก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างมีความสุข
หลู่เส่าโหย่วรู้สึกหิวมากจริงๆ เขากินอาหารอย่างรวดเร็ว ซาลาเปาทั้งห้าลูกถูกกลืนลงท้องในเวลาอันสั้น จากนั้นเขาก็กลับห้องไปในทันที
ไหนๆ ก็ข้ามมิติมาแล้ว ก็ควรวางแผนให้ตัวเองเสียหน่อย” หลู่เส่าโหย่วมองดูห้องอันทรุดโทรมของตนแล้วพึมพำขึ้นมากับตัวเอง ชาติก่อนอนาคตของเขานั้นมืดมน ในเมื่อข้ามมิติมาแล้ว ทั้งยังมีโอกาสได้ใช้ชีวิตใหม่อีกครั้ง ดังนั้นชาตินี้จะให้ตัวเขาใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาได้อย่างไร
นี่คือชีวิตครั้งที่สองของเขา เป็นดั่งชีวิตที่เขาหยิบยืมมา หากไม่ได้ทำอะไรเลย เขาก็คงรู้สึกผิดกับพระเจ้าที่ให้โอกาส ชาติก่อนเขาทั้งอ่อนแอและไม่มีทางเลือก ชาตินี้ เขาตั้งใจว่าจะต้องหาอำนาจให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ จากนั้นก็ค่อยเพลิดเพลินไปกับทุกสิ่งทุกอย่าง นี่คือสิ่งที่เขาต้องการ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลู่เส่าโหย่วก็ราวกับได้ปลดล็อกบางสิ่งบางอย่างในหัวใจ ทำให้ภายในใจของเขาเริ่มที่จะเดือดขึ้นมา
“ดูเหมือนว่า แม้เจ้าจะใช้ชีวิตเยี่ยงคนธรรมดามาตลอดสิบหกปี แต่ภายในใจของเจ้า กลับมีความไม่ยินยอมซุกซ่อนอยู่ วางใจเถอะ หลังจากนี้ ข้าจะทำมันแทนเจ้าเอง” เขากล่าวอย่างแผ่วเบา
“กลายเป็นเด็กหนุ่มแล้ว…” หลู่เส่าโหย่วนั่งมองดูรูปร่างหน้าตาของตัวเองอยู่หน้ากระจกทองแดงเก่าๆ บานหนึ่ง เดิมทีนั้นเขามีอายุสี่สิบสามย่างเข้าสี่สิบสี่ปี แต่ตอนนี้เขากลับกลายเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบหกแล้ว ถือว่าได้กำไรยิ่งนัก
“ถึงแม้เจ้าจะมีชีวิตแสนธรรมดา หน้าตาก็ไม่ได้ดูฉลาดห้าวหาญหรือหล่อเหลาเป็นพิเศษ แต่ก็ถือว่ามีเสน่ห์เป็นของตัวเอง” หลู่เส่าโหย่วยิ้มบางๆ ขณะที่มองดูรูปร่างหน้าตาของตนในกระจก เขามีรูปร่างสูงเพรียว ผิวสีข้าวสาลี และสัดส่วนใบหน้าที่ดูเด่นชัดมีมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาคู่นั้น เป็นดวงตาที่เปล่งประกายเหมือนกับดวงดาว
“ไม่เลว ข้าค่อนข้างชอบมันนะ” หลู่เส่าโหย่วยิ้มอย่างหลงตัวเอง ริมฝีปากของเขาค่อยๆ ยกขึ้นจนกลายเป็นรอยยิ้มที่ดูเกียจคร้าน หากแต่ภายใต้รอยยิ้มนั้นกลับซุกซ่อนไว้ซึ่งความทะเยอทะยาน
“ตอนนี้ ถึงเวลามาทำความเข้าใจโลกใบนี้เพิ่มขึ้นแล้ว” หลู่เส่าโหย่วนอนลงบนเตียงและค้นหาความทรงจำทั้งหมดในจิตใจที่เกี่ยวข้องกับโลกใบนี้อย่างละเอียด
ที่นี่เป็นทวีปที่แตกต่างจากชาติก่อนของเขาโดยสิ้นเชิง ทวีปแห่งนี้มีชื่อว่า ทวีปหลิงหวู่ มีขนาดกว้างใหญ่ไพศาล ประกอบไปด้วยศิลปะการต่อสู้ที่แข็งแกร่งและจิตวิญญาณอันสูงส่ง มีการคงอยู่ของผู้ฝึกยุทธ์และผู้ฝึกวิญญาณ
ผู้ฝึกยุทธ์นั้นมีพละกำลังมหาศาล ว่ากันว่าเมื่อบรรลุถึงระดับหนึ่งจะสามารถเคลื่อนภูเขา พลิกทะเลและทำลายความว่างเปล่าได้ ซึ่งผู้ฝึกยุทธ์สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายระดับ ได้แก่ ‘สาวก นักรบ ปรมาจารย์ ยอดยุทธ์ ขุนพล แม่ทัพ ราชา เจ้ายุทธ์ และจักรพรรดิ’
ว่ากันว่าผู้ฝึกวิญญาณแต่ละคนต่างก็ลึกลับ ทรงอานุภาพ และมีความสามารถอันเหลือเชื่อ เมื่อผู้ฝึกวิญญาณบรรลุถึงระดับหนึ่ง หากจะกล่าวว่าผู้นั้นสามารถพลิกฟ้าหรือบังฝนได้ก็คงไม่เกินจริง ผู้ฝึกวิญญาณก็แบ่งระดับเป็น ‘สาวก นักรบ ปรมาจารย์ ยอดยุทธ์ ขุนพล แม่ทัพ ราชา เจ้ายุทธ์ และจักรพรรดิ’ เช่นเดียวกัน
ในทวีปหลิงหวู่นี้ เมื่อผู้ฝึกยุทธ์กับผู้ฝึกวิญญาณก้าวถึงระดับปรมาจารย์ ก็จะถือได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่ง แต่ละคนนั้นถือว่าเป็นผู้สูงส่ง อย่างผู้นำคนก่อนของตระกูลหลู่ หรือก็คือปู่ผู้ที่เขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ว่ากันว่าท่านเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับขุนพล
ในทวีปนี้ นอกจากผู้ฝึกยุทธ์กับผู้ฝึกวิญญาณแล้ว ยังมีสัตว์อสูรและสัตว์วิญญาณอีกด้วย สัตว์เหล่านี้เก่งกาจเป็นอย่างมาก มนุษย์ต่างก็ไม่กล้ายั่วยุพวกมัน มีแค่ผู้ฝึกยุทธ์กับผู้ฝึกวิญญาณที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะกล้าจัดการกับพวกมันได้ ดังนั้น ในทวีปหลิงหวู่นี้ ผู้ฝึกยุทธ์กับผู้ฝึกวิญญาณจึงมีสถานะสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง
‘ดูเหมือนว่า มีแต่ต้องกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์กับผู้ฝึกวิญญาณเท่านั้น แต่ทำไมข้าถึงไม่สามารถกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์กับผู้ฝึกวิญญาณได้เล่า?’ หลู่เส่าโหย่วกล่าวในใจ ตามความทรงจำในจิตใจนั้นทำให้เขาได้รู้ว่าร่างกายนี้ได้รับการตรวจสอบมาตั้งแต่ยังเด็ก และดูเหมือนว่าเส้นชีพจรของเขาจะมีบางอย่างผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์หรือผู้ฝึกวิญญาณได้
หากเขาสามารถกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์กับผู้ฝึกวิญญาณได้ สถานะของเขากับแม่ก็คงไม่ย่ำแย่ถึงเพียงนี้หรอก
‘ต้องหาทางกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์กับผู้ฝึกวิญญาณให้ได้ นี่เป็นหนทางเดียวเท่านั้น’ หลู่เส่าโหย่วกล่าวในใจอีกครั้ง ในโลกนี้ หากต้องการจะประสบความสำเร็จก็มีแต่สองทางนี้เท่านั้น
“เฮ้…ข้าลืมเจ้าไปเลยเด็กน้อย” เมื่อหลู่เส่าโหย่วถอดเสื้อที่ทั้งเก่าและขาดรุ่งริ่งของเขาออกเพื่อจะนำมันไปให้แม่ เขาก็พบกับงูน้อยสีเหลืองอ่อนพันอยู่รอบแขนของตัวเอง