ในตอนนี้ ทุกคนต่างมองไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง ไม่มีใครรู้ว่าคนที่อยู่บนต้นไม้คือใคร หลู่หวู๋ซวงที่อยู่ด้านหน้าสุดก็รู้สึกประหลาดใจระหว่างมองไปด้านบนต้นไม้ เท่าที่นางรู้ ในตระกูลหลู่ไม่มีคนเช่นนี้อยู่ในกลุ่มรุ่นเยาว์
“ข้าไม่ได้ควบคุมอารมณ์ของตัวเองจนไปขัดจังหวะของคุณหนูแล้ว ขอประทานอภัย” หลู่เส่าโหย่วอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น ไม่คาดคิดว่าความไม่ระวังของเขาจะทำให้เขาเปิดเผยตัวตนออกมา เขาจึงทำได้เพียงปีนลงมาจากต้นไม้อย่างช่วยไม่ได้ หลู่เส่าโหย่วใช้ท่าทางที่เหมือนกับสุนัขปีนลงมาอย่างเขินอาย มองดูแล้วดูน่าอับอายไม่น้อย
เขาก็อยากจะกระโดดลงไปอย่างผ่าเผย แต่ในตอนนี้เขายังไม่สามารถเปิดเผยว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้ กลุ่มหนุ่มสาวที่อยู่ในที่แห่งนี้ล้วนเป็นผู้ฝึกตน เท่าที่หลู่เส่าโหย่วรู้มา กลุ่มหนุ่มสาวของตระกูลหลู่ต่างก็เป็นผู้มีพรสวรรค์สูงส่งของตระกูล ถึงแม้จะมีอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปี แต่คนเหล่านี้ก็ถูกฝึกฝนในตระกูลมาตั้งแต่เด็ก ระดับพลังของพวกเขาส่วนใหญ่ก็อยู่ในระดับนักรบแล้ว โดยเฉพาะหลู่หวู๋ซวงที่ถึงแม้จะไม่มีสายเลือดของตระกูลหลู่ แต่ลุงใหญ่ก็รักและดูแลนางมาตั้งแต่ยังเด็ก อีกทั้งนางยังมีพรสวรรค์มาก ปีนี้นางอายุเพียงสิบเก้าปี แต่ไม่น่าเชื่อว่านางจะบรรลุไปถึงระดับปรมาจารย์จนมีชื่อเสียงในฐานะอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของตระกูล
ในสายตาของผู้ฝึกตนนั้น หลู่เส่าโหย่วรู้ดี หากตัวเขาถ่อมตนก็ดีไป แต่หากเขาใช้พลังลมปราณออกมา ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ความเร็วแต่จะต้องถูกคนอื่นมองออกว่าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้วอย่างแน่นอน หากเป็นเช่นนั้นต้องไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขาแน่
“หลู่เส่าโหย่ว เป็นเจ้าเองหรือ ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ ที่แห่งนี้เป็นที่ที่เจ้าสามารถเข้ามาได้หรือ?” เมื่อเห็นว่าเป็นหลู่เส่าโหย่ว หลู่เส่าหู่ก็สงบนิ่งลงทันที สายตาของหลู่เส่าหู่ปรากฏความดูถูก แต่กลับมีความโกรธแค้นมากยิ่งกว่า สิ่งที่หลู่เส่าโหย่วทำเมื่อครู่นั้นแย่งความสนใจจากเขาไปไม่น้อย
“เส่าโหย่ว ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่” เมื่อเห็นว่าเป็นหลู่เส่าโหย่ว หลู่หวู๋ซวงก็แสดงท่าทีประหลาดใจ แต่ทันใดนั้นนางก็ได้เก็บความประหลาดใจของตัวเองลงไปพร้อมกับเดินมาอยู่ข้างๆ หลู่เส่าโหย่ว
“พี่หวู๋ซวง ข้าเห็นว่าบนต้นไม้มีนกอยู่หนึ่งตัวเลยขึ้นไปดูหน่อย ไม่คิดว่าพวกท่านจะมากัน” หลู่เส่าโหย่วกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ ในบรรดากลุ่มคนพวกนี้ เขาสนใจแค่หลู่หวู๋ซวงเท่านั้น
ขณะเดียวกัน หลู่เส่าโหย่วก็ลอบสังเกตหนุ่มสาวที่อยู่รอบๆ นี้อย่างสงบ การปรากฏตัวของเขาดูเหมือนจะทำให้คนในตระกูลตกใจไม่น้อย หลู่เม่ยที่ก่อนหน้านี้ในดวงตายังมีความหลงใหลอยู่นั้น หลังจากที่เห็นเขา สายตาของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังในทันที
แน่นอนว่าตัวเขาไม่ได้สนใจ เพราะเขาเองก็ไม่ได้อยากจะยุ่งเกี่ยวกับคนในตระกูลหลู่มากนัก รอถึงวันที่เขามีพลังแล้ว เขาจะจากไปพร้อมกับแม่ของเขา ตระกูลหลู่นั้น ไม่มีสถานะอะไรภายในใจของเขาเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าล้อเล่นอะไรกัน ในฤดูหนาวเช่นนี้ บนต้นไม้จะมีนกได้อย่างไร” โจวไห่หมิงที่ปกติก็ไม่ค่อยชอบหลู่เส่าโหย่วอยู่แล้ว เมื่อเห็นว่าเขาเป็นผู้ที่แย่งความสนใจไป ก็ทำท่าทางของโจวไห่หมิงไม่พอใจมากยิ่งขึ้น หากไม่มีคุณหนูกูตู๋อยู่ตรงนี้ เกรงว่าคงได้เข้ามาทุบตีเขาเป็นแน่
“เดิมทีบนต้นไม้ก็มีนกอยู่หรอก แต่ตกใจกลอนของเจ้าจนหนีไปแล้ว” หลู่เส่าโหย่วกล่าวเบาๆ
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด นอกจากหญิงสาวที่มีปานแดงบนหน้าแล้ว ทุกคนก็ได้แต่หัวเราะเงียบๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งหลู่หวู๋ซวงที่มองไปยังหลู่เส่าโหย่วอย่างสงสัย นางรู้สึกว่าตัวเขาในวันนี้กับตัวเขาเมื่อก่อนนั้น เหมือนจะมีอะไรบางอย่างต่างออกไป
“ขอโทษที ข้าไปขัดจังหวะของท่านเสียแล้ว ขอตัวลา” หลู่เส่าโหย่วขี้เกียจจะไปสนใจโจวไห่หมิง เขากล่าวขอโทษกับสาวใช้อีกครา จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อที่ขาดของตัวเองแล้วเผยรอยยิ้มบนมุมปากที่ไม่รู้ว่าเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ยหรือดูถูกโจวไห่หมิง พร้อมกับจากไปในทันที
สาวใช้จ้องมองหลู่เส่าโหย่ว และทันใดนั้น ในดวงตาของนางก็ปรากฏความสับสนอย่างไม่สามารถอธิบายได้
“ไม่ทราบว่าคนเมื่อครู่นี้เป็นใครกัน” สาวใช้คนนั้นถามออกมาเบาๆ เมื่อเห็นแผ่นหลังของหลู่เส่าโหย่วลับหายไป
“เจ้านั่นน่ะหรือ ก็แค่คนรับใช้คนหนึ่งที่ไม่สามารถฝึกตนได้เท่านั้น เป็นแค่คนไร้ค่า” หลู่เส่าหู่กล่าวตอบทันที
“เส่าหู่ เจ้าพูดถึงพี่ชายของเจ้าเช่นนั้นได้อย่างไร ถึงอย่างไรเส่าโหย่วก็เป็นพี่ของเจ้า” เมื่อได้ยินสิ่งที่หลู่เส่าหู่กล่าว หลู่หวู๋ซวงก็ตำหนิพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นนางก็หันไปกล่าวกับสาวใช้ด้วยรอยยิ้มบางๆ “เขาเป็นลูกของลุงสามของข้า มีชื่อว่าหลู่เส่าโหย่ว เป็นเพราะเหตุผลพิเศษบางอย่าง ดังนั้น…พวกเราเดินต่อกันดีกว่า”
“เหอะ” เมื่อเห็นว่าหลู่หวู๋ซวงดุตัวเอง หลู่เส่าหู่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ทำได้เพียงแต่ส่งเสียงไม่พอใจกลับไป หลู่หวู๋ซวงนั้นถึงแม้จะไม่มีสายเลือดของตระกูลหลู่ แต่สถานะในตระกูลกลับสูงมาก แม้แต่คุณปู่ก็เอ็นดูนางเป็นอย่างยิ่ง เขาเลยไม่กล้าทำอะไร
“หลู่เส่าโหย่ว…” สาวใช้หันกลับไปมองยังทิศทางที่หลู่เส่าโหย่วเดินลับหายไปอีกครั้ง
หลู่เส่าโหย่วเดินออกจากสวนแล้วตรงกลับมาที่บ้าน เขาได้เจอกับหลู่เสี่ยวไป๋ที่กำลังเดินเข้ามาอย่างตื่นเต้นอยู่พอดี
“คุณชาย ข้าได้เห็นคุณหนูกูตู๋เสียที นางช่างงดงามอย่างแท้จริง งดงามไม่ต่างจากคุณหนูหวู๋ซวงเลย” หลู่เสี่ยวไป๋กล่าวกับเขาอย่างตื่นเต้น
“ก็ธรรมดาทั่วๆ ไป” หลู่เส่าโหย่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าหน้าตาของคุณหนูกูตู๋จะถือว่าไม่เลว แต่หากเทียบกับหลู่หวู๋ซวงแล้ว หลู่หวู๋ซวงนั้นมีอารมณ์ของความสงบมากกว่า คุณหนูกูตู๋นั้นไม่สามารถเทียบกับหลู่หวู๋ซวงในด้านอารมณ์ได้
“หรือว่าท่านจะเคยเจอนางแล้ว แต่ข้ารู้สึกว่านางช่างดีจริงๆ ฮิฮิ” หลู่เสี่ยวไป๋กล่าวพร้อมกับเสียงหัวเราะ “น่าเสียดาย คุณหนูที่ฐานะร่ำรวยแบบนั้นคงไม่สนใจข้า ข้าคิดว่าเสี่ยวฉุยที่อยู่ลานหน้านั้นไม่เลว แต่ข้าเป็นเพียงคนรับใช้ระดับต่ำ นางคงไม่สนใจข้า ถ้าท่านเป็นเหมือนกับนายน้อยเส่าหู่ และข้าได้ติดตามท่าน เสี่ยวฉุยต้องสนใจข้าแน่”
“เจ้าคิดได้แค่นี้เองหรือ…” หลู่เส่าโหย่วถลึงตาใส่หลู่เสี่ยวไป๋ไปหนึ่งที พร้อมกับที่เกิดประกายบางอย่างในดวงตาของเขา “ในภายภาคหน้าที่เจ้าติดตามคุณชายเช่นข้า ข้าจะให้เจ้าได้กินดีอยู่ดี และจะหาภรรยาที่ร่ำรวยให้เจ้าหนึ่งคน… ไม่…ให้เจ้าเจ็ดคน ในหนึ่งอาทิตย์ ก็ให้เจ้าได้มีภรรยาหนึ่งคนต่อหนึ่งวัน โดยไม่ซ้ำกัน”
“คุณชาย อะไรคือหนึ่งอาทิตย์” หลู่เสี่ยวไป๋ถามอย่างสงสัย
“ก็คือเจ็ดวันนั่นแหละ” หลู่เส่าโหย่วพึ่งนึกขึ้นได้ว่าในโลกใบนี้เหมือนจะไม่มีคำว่าหนึ่งอาทิตย์
“ท่านพูดได้ดี ถ้าหากวันนั้นมาถึงจริงๆ ท่านจะให้ข้าทำอะไรก็ได้” เสี่ยวไป๋ถอนหายใจเล็กน้อย นายน้อยของเขาแค่เอาตัวเองให้รอดยังยาก ส่วนตัวเขาก็เป็นเพียงคนรับใช้ระดับต่ำ ในชาตินี้คงไร้ซึ่งอนาคตแล้ว
หลู่เส่าโหย่วหัวเราะเบาๆ และมองไปยังหลู่เสี่ยวไป๋ หลู่เสี่ยวไป๋นั้นฉลาด หากเขาฝึกฝนให้สักหน่อย ในภายภาคหน้าหลู่เสี่ยวไป๋อาจจะกลายเป็นแขนขาให้เขาได้ และในเรื่องของความภักดีของเสี่ยวไป๋นั้นไม่ใช่ปัญหาแน่นอน
แน่นอนว่าหลู่เสี่ยวไป๋นั้นยังไม่รู้ว่าในอนาคตอีกไม่นานต่อจากนี้ โชคชะตาของเขาจะเปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์ หลายปีต่อจากนี้ ทั่วทั้งทวีปหลิงหวู่จะได้รู้ว่า มีบุคคลผู้หนึ่งที่ชื่อว่าหลู่เสี่ยวไป๋ เป็นหนึ่งในคนสำคัญของหลู่เส่าโหย่ว
เรื่องในสวนด้านหลังนั้นเป็นเพียงตอนตอนหนึ่ง ตกดึก เมื่อหลู่เส่าโหย่วแอบไปที่ห้องลับภายในห้องเก็บฟืน ลุงหนานก็รออยู่ในนั้นตั้งนานแล้ว
หลู่เส่าโหย่วได้ศึกษาการกลั่นเม็ดยา การหลอมอาวุธ และการหล่อเลี้ยงยาจิตวิญญาณกับลุงหนานทุกๆ คืน แต่ว่าทั้งหมดนี้ หลู่เส่าโหย่วได้แต่ศึกษาเพียงทฤษฏีเท่านั้น ส่วนการปฏิบัติ เขายังไม่เคยลองแม้แต่ครั้งเดียว
เรื่องระหว่างผู้ฝึกยุทธ์กับผู้ฝึกวิญญาณ หลู่เส่าโหย่วได้เข้าใจมันทั้งหมดแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ เป็นการฝึกฝนกำลังภายในหรืออวัยวะภายในทั้งหมด เมื่อฝึกฝนจนมีพลังลมปราณ และกักเก็บพลังลมปราณไว้ในทะเลลมปราณภายในตันเถียน หลังจากพลังลงปราณเต็ม ก็จะสามารถทะลวงระดับได้
ผู้ฝึกวิญญาณไม่ได้เน้นฝึกฝนร่างกาย แต่ฝึกฝนพลังวิญญาณ ตามที่เขาเข้าใจ พลังวิญญาณนี้ก็คือพลังของจิตวิญญาณหรือว่าพลังจิตสำนึก พึ่งพาความแข็งแกร่งทางวิญญาณในการเอาชนะศัตรู
เงื่อนไขในการฝึกวิญญาณนั้นเข้มงวดมาก ข้อแรกคือเป็นผู้ฝึกตน พลังจิตสำนึกของพวกเขาต้องสูงกว่าคนธรรมดาสองเท่า เพียงแค่ข้อนี้ข้อเดียว ก็ทำให้คนมากมายต้องยอมแพ้แล้ว เพราะไม่สามารถทำได้
ด้วยจำนวนของผู้ฝึกวิญญาณที่มีเพียงหยิบมือ บวกกับความสามารถของผู้ฝึกวิญญาณนั้น ทำให้สถานะของผู้ฝึกวิญญาณสูงส่งกว่าผู้ฝึกยุทธ์เล็กน้อย