หลังจากหลู่เส่าโหย่วเก็บกวาดแล้วกลับมาที่ลานบ้าน ลั่วหลานซือก็กลับมาถึงบ้านแล้ว เมื่อเห็นท่าทางหดหู่ของหลู่เส่าโหย่วก็ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะพูดคุยกับลูกของตน
หลู่เส่าโหย่วฟังสิ่งที่แม่ของเขาพูดแล้วเก็บทุกอย่างเอาไว้ในใจ เขารู้สึกมีความสุขมากขึ้นหลังจากที่ได้พูดคุยกับท่านแม่ ทั้งยังแอบพึมพำกับตัวเองว่า ตัวเขาต้องรีบแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเขามีพละกำลังที่มากพอเขาจึงจะสามารถปลดปล่อยแม่ของเขาออกจากทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายในตระกูลนี้ได้
ตอนค่ำ หลู่เส่าโหย่วก็ได้ไปที่ห้องลับอีกครั้ง แน่นอนว่าเขาหนีไม่พ้นการโดนทุบตี
เวลาได้ล่วงเลยไปอย่างช้าๆ หลู่เส่าโหย่วไปที่ห้องลับในตอนกลางคืนเพื่อเรียนรู้กับลุงหนาน และในเวลาเดียวกันเขาก็สัมผัสถึงธาตุทั้งห้าภายในร่างด้วย
หลังจากวันที่สาม หลู่เส่าโหย่วก็ได้ใช้โอสถเสริมพลังไปหนึ่งเม็ด เขาทะลวงมาถึงระดับสาวกขั้นห้าแล้ว และโอสถเสริมพลังที่เหลืออีกสองเม็ดนั้น เขาก็นำไปขายที่เทียนเป่าเหมิน และนำสมุนไพรสำหรับหลอมโอสถเสริมพลังมาอีกหกชุด
ทุกวันในยามเช้า หลู่เส่าโหย่วจะกลับมาที่ห้องเพื่อใช้โอสถชำระไขกระดูก ผลของโอสถชำระไขกระดูกคือการเสริมความแข็งแกร่งของกระดูกกล้ามเนื้อและอวัยวะภายในของเขา ยามบ่าย หลู่เส่าโหย่วจะไปที่หุบเขาด้านหลังเพื่อหลอมโอสถเสริมพลัง หลังจากที่เคยล้มเหลวไปหนึ่งครั้ง เขาก็ไม่กล้าประมาทอีกเลย
ยังดีที่การหลอมโอสถหลังจากนั้นตัวเขาไม่เคยหลอมพลาดอีก เวลาที่ใช้ในการหลอมโอสถก็ลดลงเรื่อยๆ แถมคุณภาพของโอสถก็ดีขึ้นอีกด้วย
เมื่อถึงวันที่สิบห้า น้ำที่หลู่เส่าโหย่วใช้แช่ในตอนเช้าก็ไม่มีสิ่งสกปรกใดๆ เหลืออีกแล้ว หลังจากดูดซับผลของโอสถจนหมด น้ำก็สะอาดและโปร่งใส
และในเวลานี้ หลู่เส่าโหย่วก็ยังสามารถสัมผัสได้ว่าภายในร่างของเขานั้นกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในสู่ภายนอก ภายในร่างของเขาเหมือนกับได้เกิดใหม่ เข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบ
และภายในสิบห้าวันนี้ หลู่เส่าโหย่วก็ได้หลอมโอสถเสริมพลังไปทั้งหมดสามสิบเม็ด หลังจากใช้ไปในวันที่เก้าหนึ่งเม็ดจนก้าวเข้าสู่ระดับสาวกขั้นหก เดิมทีที่จากเดิมโอสถเสริมพลังนี้สามารถทะลวงระดับได้สองขั้น แต่หลังจากนั้นมา มันกลับสามารถทะลวงระดับได้แค่หนึ่งขั้นเท่านั้น
ภายในสิบห้าวันนี้ หลู่เส่าโหย่วได้ขายโอสถเสริมพลังให้เทียนเป่าเหมินไปยี่สิบเจ็ดเม็ด เรื่องที่เทียนเป่าเหมินมีโอสถเสริมพลังได้แพร่กระจายไปในเมืองชิงอวิ๋น โอสถเสริมพลังถึงแม้จะเป็นเพียงโอสถระดับหนึ่ง แต่ผู้ฝึกวิญญาณทั่วๆ ไปนั้นไม่รู้สูตรของโอสถอย่างละเอียด และโอสถเสริมพลังก็มีผลต่อผู้ฝึกยุทธ์ระดับสาวกไม่น้อย ดังนั้นตระกูลที่พอมีภูมิหลังบางส่วน จึงได้แก่งแย่งกันซื้อโอสถเพื่อให้พวกรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์ในตระกูลได้ใช้มัน
เนื่องจากหลู่เส่าโหย่วนั้น สามวันสี่วันถึงจะไปส่งโอสถเสริมพลังเพียงไม่กี่เม็ดที่เทียนเป่าเหมินสักที ดังนั้นโอสถเสริมพลังที่ขายภายนอกจึงได้มีราคาสูงถึงหกสิบเหรียญทองต่อเม็ด แต่กระนั้น มันก็ยังคงเป็นที่ต้องการมากอยู่ดี
ในระหว่างนี้ หลู่เส่าโหย่วก็จะไปหาสัตว์ตัวเล็กๆ ให้เจ้างูน้อยกินทุกวัน ถึงแม้งูน้อยนี้จะตัวไม่ใหญ่ แต่มันกลับกินเยอะนัก กินเสร็จแล้วก็นอน ราวกับว่านอนเท่าไรก็ไม่เคยนอนพออย่างไรอย่างนั้น
เมื่อตกดึก หลู่เส่าโหย่วก็อาศัยความมืดมิดไปยังห้องลับอีกเช่นเคย
หลู่เส่าโหย่วที่พึ่งจะก้าวเท้าเข้าสู่ห้องลับ จู่ๆ ใบหน้าของเขาก็เผยรอยยิ้มแปลกๆ ในมือกลับปรากฏหุ่นปลอมโยนเข้าไปข้างในก่อน
“ปัง!” หุ่นปลอมนั้นถูกกำปั้นโจมตีอย่างรวดเร็วจนลอยไปติดกำแพงของห้องลับจนแตกเป็นเสี่ยงๆ
“ตาเฒ่า ข้าเดาไว้แล้วว่าเจ้าจะต้องลอบโจมตี เจอฝ่ามือแยกภูผาของข้าหน่อย” หลู่เส่าโหย่วหัวเราะ เขาได้เตรียมพร้อมมานานแล้ว ท่าประทับในมือของเขาได้หลอมรวมกัน และมีฝ่ามือสีเหลืองถูกปล่อยออกมา ภายในฝ่ามือนั้นมีวังวนของพลังลมปราณอยู่
“เจ้าหนู ใช้อุบายหรือ เจ้ายังอ่อนด้อยนัก” ลุงหนานกล่าว ในเวลาเดียวกันนั้นก็ได้มีร่างร่างหนึ่งปรากฏในห้องลับ พร้อมกับปล่อยหมัดออกมาอีกครั้ง พลังลมปราณทำให้เกิดความผันผวน และจากนั้นมันก็พุ่งเข้าไปกระแทกกับฝ่ามือของหลู่เส่าโหย่วอย่างโหดเหี้ยม
“ปัง!” หลังจากเสียงการปะทะกัน หลู่เส่าโหย่วก็ถอยหลังไปหลายก้าวก่อนจะยืนได้อย่างมั่นคง
“หืม” ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของลุงหนาน หมัดของลุงหนานโจมตีไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าลุงหนานรู้ความสามารถของหลู่เส่าโหย่วดี ระดับพลังสาวกขั้นหก แต่กลับสามารถรับหมัดของเขาได้ หมัดนี้ลุงหนานได้ใช้พลังของระดับนักรบขั้นหนึ่งแล้ว ถึงแม้จะระงับการบ่มเพาะไว้ แต่พลังที่ใช้ออกมานั้นก็มีแนวโน้มว่าจะรุนแรงกว่าระดับนักรบขั้นหนึ่งปกติเล็กน้อย แต่หลู่เส่าโหย่วกลับสามารถรับมันไว้ได้ ช่างน่าประหลาดใจเสียจริง
“ตาเฒ่า กำปั้นของท่านแพ้ความเยาว์วัย ข้าไม่เชื่อว่าวันนี้ข้าจะเอาชนะตาเฒ่าเช่นท่านไม่ได้” หลู่เส่าโหย่วกล่าวเบาๆ และเริ่มเป็นฝ่ายจู่โจม เขาไม่อยากจะเป็นเหมือนช่วงสองสามวันแรกที่ได้แต่ถูกทุบตีอีกต่อไปแล้ว เขาอยากจะใช้เล่ห์เหลี่ยมในบางครั้งเพื่อทำให้ลุงหนานร้อนรนได้บ้าง
หลังจากที่ผ่านมาครึ่งเดือน หลู่เส่าโหย่วในตอนนี้ก็มองว่าการฝึกฝนกลายเป็นเรื่องที่สนุกไปแล้ว เพียงแค่ต่อสู้กับลุงหนานให้ได้ แค่นี้ก็ถือว่าสำเร็จ ส่วนเรื่องที่โดนทุบตีนั้น หลู่เส่าโหย่วเริ่มชินกับมันแล้ว อย่างไรเสียในทุกวันก็ต้องใช้โอสถชำระวิญญาณแช่ร่างกาย ทำให้ร่างกายของเขานั้นเริ่มไม่รู้สึกเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
เมื่อก่อนตอนที่เขารับหนึ่งฝ่ามือของลุงหนาน เขาจะได้รับความเจ็บปวดที่เจ็บไปถึงขั้วหัวใจ แต่ในตอนนี้เมื่อเขารับหนึ่งฝ่ามือของลุงหนาน มันก็เพียงเกิดความเจ็บปวดเบาๆ เท่านั้น
“ฝ่ามือแยกภูผา” เมื่อมีโอกาส หลู่เส่าโหย่วก็ย่อเอวและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ปล่อยฝ่ามือออกไปอย่างรุนแรง
“เด็กน้อย เจ้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า” ลุงหนานกล่าวด้วยยิ้มเล็กๆ จากนั้นก็เหวี่ยงหมัดออกไป
“ป้องกัน เกราะวิญญาณฟ้าคราม” หลู่เส่าโหย่วยิ้มอย่างชั่วร้าย ทันใดนั้น รอบกายของเขาก็มีเกราะสีเหลืองเข้มหนาๆ ปรากฏขึ้นมา และบนเกราะวิญญาณฟ้าครามนั้นก็มีรัศมีแสงจางๆ อยู่หนึ่งชั้น
“ปัง!” หมัดของลุงหนานได้กระทบเข้ากับไหล่ของหลู่เส่าโหย่ว หลู่เส่าโหย่วที่สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดบนหัวไหล่ ก็ได้แต่กัดฟันอดทนเอาไว้ และปล่อยฝ่ามือใส่ท้องของลุงหนานอย่างโหดเหี้ยม
“ปัง!” หลู่เส่าโหย่วรู้สึกเหมือนว่าฝ่ามือของเขากระแทกกับก้อนหินอย่างไรอย่างนั้น มือของเขารู้สึกด้านชาและแรงสะท้อนขนาดมหึมาก็ได้พุ่งเข้าใส่ร่างกายของเขาในทันที ทำให้เขาล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น
“เด็กน้อย รู้จักโจมตีทีเผลอแล้ว แต่ว่าเจ้าก็ต้องดูก่อนว่ามันได้ผลหรือไม่” ลุงหนานยิ้ม แต่ในดวงตากลับมีความชื่นชมเล็กน้อย ในครึ่งเดือนที่ผ่านมา ความก้าวหน้าของหลู่เส่าโหย่วนั้นลุงหนานรู้ดีที่สุด ภายในครึ่งเดือนนี้ ทักษะการต่อสู้ของหลู่เส่าโหย่ว และพื้นฐานร่างกายทั้งหมดได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง
“ฮึ่ม ท่านขี้โกง ถ้าท่านมีพลังป้องกันของนักรบขั้นหนึ่ง ข้าไม่เชื่อว่ามันจะไม่ได้ผล” หลู่เส่าโหย่วรีบลุกขึ้นมาจากพื้นอย่างรวดเร็ว ฝ่ามือที่ปล่อยไปเมื่อครู่ยังคงหลงเหลือความเจ็บปวดอยู่
“ยังจะพูดถึงความยุติธรรมอีกหรือ ภายในสนามรบมักจะมีเรื่องที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเสมอ เจ้าต้องพึ่งพาตัวเองในการแก้ไขมันทั้งหมด” ลุงหนานกล่าวโดยไม่แสดงอาการใดๆ บนใบหน้า
“ท่านพูดอะไรก็มีเหตุผล มาต่อกันดีกว่า” หลู่เส่าโหย่วกล่าวอย่างคับข้องใจ พลังของเขาสู้ลุงหนานไม่ได้ก็ต้องอดทนไว้ ไม่กล่าวอะไรให้มากความ เดิมทีตัวเขาก็มาเพื่อต่อสู้อยู่แล้ว ยังจะกลัวอะไรอีก จากนั้นหลู่เส่าโหย่วก็ได้ปล่อยฝ่ามือออกไปอีกครา
“ทำได้ดี” ลุงหนานยิ้มเบาๆ จากนั้นก็เคลื่อนไหวไปข้างหน้าเพื่อตอบโต้ทันที การฝึกซ้อมได้ล่วงเลยมาถึงช่วงเวลาพัก ร่างกายของหลู่เส่าโหย่วในตอนนี้เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบใดต่อหลู่เส่าโหย่วมากนัก ร่างกายของเขาในเวลานี้ บวกกับเกราะวิญญาณฟ้าคราม ถึงแม้จะมีแต่รอยฟกช้ำ แต่มันก็เป็นเพียงอาการบาดเจ็บที่ผิวหนังเท่านั้น
ในช่วงพัก หลู่เส่าโหย่วที่กำลังปรับลมหายใจก็ได้กระตุ้นธาตุทั้งห้าจนมีประกายแสงล้อมรอบ ประกายแสงทั้งห้า แสงนั้น สีเหลืองอ่อนมีความสว่างที่สุด ลุงหนานได้กล่าวกับเขาว่า ธาตุที่แข็งแกร่งที่สุดของหลู่เส่าโหย่วก็คือธาตุดิน ส่วนอีกสี่ธาตุที่เหลือนั้นมีความแข็งแกร่งไม่แตกต่างกันนัก
เมื่อพักผ่อนเสร็จ หลู่เส่าโหย่วก็ถูกลุงหนานทุบตีอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง จนกระทั่งถึงห้านาฬิกา เขาก็กลับมาที่ลานบ้านพร้อมกับสายตาพึงพอใจของลุงหนาน
เมื่อถึงยามบ่าย หลู่เส่าโหย่วก็ไปที่หุบเขาด้านหลังเพื่อหลอมโอสถ และภายในวันที่สิบเจ็ด จากเดิมที่ตัวเขาต้องพักผ่อนก่อนหนึ่งครั้งถึงจะหลอมโอสถเสริมพลังได้สำเร็จ ในตอนนี้เขากลับทำสำเร็จภายในครั้งเดียวได้แล้ว
ตอนนี้ หลู่เส่าโหย่วสามารถหลอมโอสถเสริมพลังได้สามเม็ดแล้ว เรื่องนี้ทำให้หลู่เส่าโหย่วดีใจเป็นอย่างมาก