หลู่หวู๋ซวงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ในมือของนางได้ถือดาบจันทร์ครามเอาไว้ เมื่อเห็นว่าหลู่เส่าโหย่วเดินนำออกไปข้างนอกแล้ว นางจึงได้แต่เดินตามหลังหลู่เส่าโหย่วไปอย่างนึกสงสัย
“หลู่หวู๋ซวง ปีหน้าข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าใครกันแน่ที่แข็งแกร่งกว่ากัน” เมื่อมองไปที่หลู่หวู๋ซวง ในตาของหยางม่านก็เผยความเย็นชาออกมา
“เส่าโหย่ว เจ้าซื้อดาบจันทร์ครามมาทำไม นี่มันแพงเกินไปแล้ว เมื่อถึงเวลาเจ้าจะทำอย่างไร…” หลังออกจากเทียนเป่าเหมิน หลู่หวู๋ซวงก็ถามหลู่เส่าโหย่วอย่างเป็นกังวล ดาบเล่มนี้มีราคาแปดพันหกร้อยเหรียญทอง นั่นไม่ใช่ตัวเลขที่น้อยเลย แม้แต่นางก็ยังไม่สามารถจ่ายไหว
“พี่หวู๋ซวง ข้ามีวิธี คราวก่อนข้ายืมท่านมาห้าสิบเหรียญทอง คราวนี้ข้าให้ดาบจันทร์ครามกับท่าน ถือว่าหายกันแล้วนะ ส่วนเรื่องอื่นท่านก็ไม่ต้องกังวล ดาบจันทร์ครามเล่มนี้ แค่ท่านชอบมันก็พอแล้ว” หลู่เส่าโหย่วยกยิ้มบาง ครั้งก่อนเขาได้สัญญาแล้วว่าน้ำใจที่นางให้เขายืมห้าสิบเหรียญทอง เขาจะชดใช้คืนอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ถึงปากเขาจะกล่าวอย่างไม่แยแส แต่ในใจเขาก็อดรู้สึกช่วยไม่ได้อยู่บ้าง ติดเงินมากถึงแปดพันหกร้อยเหรียญทอง ตัวเขาต้องคืนกี่เดือนกี่ปีถึงจะหมด
“แต่ว่านี่มัน…” หลู่หวู๋ซวงมองดูดาบจันทร์ครามในมือ จากนั้นก็เหลือบมองไปที่หลู่เส่าโหย่ว จริงอยู่ที่ในใจของนางรู้สึกมีความสุข แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกังวลแทนหลู่เส่าโหย่ว
แต่เมื่อหลู่เส่าโหย่วบอกว่ามีวิธี ความกังวลของหลู่หวู๋ซวงก็เบาลง เพราะนางรู้ว่าลูกพี่ลูกน้องของนางผู้นี้ได้กลายเป็นผู้ฝึกวิญญาณแล้ว ไม่ใช่นายน้อยไร้ค่าคนก่อนอีกต่อไป
“พี่หวู๋ซวง” หลู่เส่าโหย่วได้พูดขัดขึ้น “คนทั้งสองเมื่อครู่นั้น ใช่คนของตระกูลหยางกับตระกูลหวังหรือไม่?”
ในความทรงจำของเขา เหมือนหลู่เส่าโหย่วจะจำได้ว่าหยางม่านกับหวังเหลียงเป็นคนของตระกูลหยางกับตระกูลหวังในเมืองชิงอวิ๋น และทั้งสองตระกูลนี้ก็เหมือนกับตระกูลหลู่ เป็นตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองชิงอวิ๋น เมื่อเทียบกับตระกูลหลู่แล้วก็ไม่ได้ด้อยกว่าแม้แต่นิดเดียว
“ใช่แล้ว พวกนั้นเป็นคนของตระกูลหยางกับตระกูลหวัง และตอนนี้ก็เป็นศิษย์ของนิกายอวิ๋นหยาง หลังจากผ่านปีใหม่ไปสักพัก ข้าก็ต้องกลับไปยังนิกายอวิ๋นหยางแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น นานๆ ทีถึงจะสามารถกลับมาได้สักครั้ง” หลู่หวู๋ซวงกล่าว
“นิกายอวิ๋นหยาง…” หลู่เส่าโหย่วพยายามนึกถึงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ แต่ความทรงจำในจิตใจของเขามีสิ่งที่เกี่ยวกับนิกายนี้น้อยมาก รู้เพียงว่านิกายอวิ๋นหยางนั้นเป็นนิกายที่ใหญ่ที่สุดในระแวกนี้ แม้แต่ในเมืองชิงอวิ๋น ตระกูลหลู่ ตระกูลหวัง ตระกูลหยางและตระกูลอื่นๆ ทุกปีจะต้องมอบเงินให้นิกายอวิ๋นหยางเป็นจำนวนไม่น้อย
“เส่าโหย่ว หลังจากไหว้บรรพบุรุษแล้วจะมีการประลองเกิดขึ้น เจ้าจะเข้าร่วมหรือไม่?” หลู่หวู๋ซวงกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
“ข้าจะเข้าร่วมได้อย่างไร นอกจากนี้ ข้ามีคุณสมบัติเข้าร่วมได้อย่างนั้นหรือ” หลู่เส่าโหย่วยิ้มเบาๆ ทุกหลังปีใหม่จะมีการประลองของพวกรุ่นเยาว์ภายในตระกูล หากได้อันดับดีๆ ก็จะถูกตระกูลดูแลเป็นพิเศษ ทุกปีรุ่นเยาว์ที่มีสายเลือดหรือเป็นสายหลักของตระกูลก็จะกระตือรือร้นเข้าร่วมการประลองนี้
แต่หลู่เส่าโหย่วไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ ให้ตัวเขาได้ฝึกบ่มเพาะตัวเองยังดีกว่า เขาต้องพยายามอย่าเผยพลังของตนเองออกมา
“ถึงตระกูลแล้ว พวกเราเข้าไปกันเถอะ” หลู่หวู๋ซวงถอนหายใจเบาๆ นางเองก็ลืมไปว่าลูกพี่ลูกน้องของนางยังไม่ได้วางแผนที่จะเปิดเผยสถานะผู้ฝึกวิญญาณของตน หลู่หวู๋ซวงจึงทำได้แค่แกล้งไม่รู้ต่อไป
“อืม” หลู่เส่าโหย่วตอบรับเบาๆ ทั้งสองได้เดินมาถึงหน้าประตูใหญ่ตระกูลหลู่แล้ว
เมื่อมองไปที่ประตูใหญ่ของคฤหาสน์ตระกูลหลู่ หลู่เส่าโหย่วก็ลอบยิ้มในใจเล็กน้อย จากนั้นก็กลับไปที่ลานบ้านของตัวเอง ในตอนนี้เวลาก็พึ่งผ่านตอนเที่ยงมาเท่านั้น
“ฟ่อ…”
บนแขนของหลู่เส่าโหย่ว มีเจ้างูน้อยสีเหลืองอ่อนตัวหนึ่งปีนออกมาจากด้านในแขนเสื้อ ดวงตากลมเล็กของมันกำลังจ้องมองหลู่เส่าโหย่วพร้อมกับแลบลิ้นออกมา
“เสี่ยวหลง เจ้าหิวอีกแล้วหรือ เอาล่ะ เดี๋ยวข้าช่วยเจ้าหาอาหาร” หลู่เส่าโหย่วตั้งชื่อให้งูน้อยที่อยู่ในมือของเขาว่าเสี่ยวหลง อย่างน้อยชื่อนี้ก็ฟังดูน่าเกรงขามอยู่สักหน่อย
ราวกับว่าเสี่ยวหลงเข้าใจในสิ่งที่หลู่เส่าโหย่วพูด มันพยักหน้าเบาๆ และออดอ้อนอยู่ในมือของเขา
หลู่เส่าโหย่วนำเสี่ยวหลงไปที่หุบเขาด้านหลัง เสี่ยวหลงนั้นเลือกกินนัก ร่างของสัตว์ที่ตายไปแล้วเสี่ยวหลงจะไม่กิน กินแต่สัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่ หลู่เส่าโหย่วก็เพียงนำเสี่ยวหลงมายังหุบเขาด้านหลังนี้ แล้วปล่อยให้มันหากินเอง
“ไป” เมื่อมาถึงที่หุบเขาด้านหลัง หลู่เส่าโหย่วก็ปล่อยเสี่ยวหลงลงกับพื้น ถึงแม้เสี่ยวหลงจะมีร่างกายที่เล็ก แต่กลับรวดเร็วมาก เพียงพริบตาเดียวก็หายไปจากที่เดิมแล้ว
หลู่เส่าโหย่วรู้ดีว่าเสี่ยวหลงออกไปหากินเองได้ เมื่อกินอิ่มแล้วก็จะกลับมา ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล จากนั้นเขาจึงหาที่ที่มิดชิดนั่งขัดสมาธิและนำโอสถเสริมพลังออกมาหนึ่งเม็ด
“ปรับแต่ง” ทักษะวิญญาณหยินหยางที่เขาบ่มเพาะนั้นไม่สามารถบ่มเพาะแบบปกติได้ ทำให้เขาต้องพึ่งพาโอสถในการยกระดับพลังของตนเอง
หลังกลืนโอสถลงไป ทันใดนั้นก็มีพลังบางอย่างแผ่ซ่านไปทั่วร่าง หลู่เส่าโหย่วได้โคจรทักษะวิญญาณหยินหยางและเริ่มปรับแต่งพลังด้วยโอสถเสริมพลังที่มี
หลังจากทะลวงมาถึงระดับนักรบแล้ว หลู่เส่าโหย่วรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าผลของโอสถเสริมพลังที่มีต่อเขานั้นลดลงอย่างมาก และความช่วยเหลือของโอสถเสริมพลังเองก็ลดลงอย่างมากเช่นกัน
หลู่เส่าโหย่วได้ใช้เวลาไปสองชั่วยามในการปรับแต่งพลังพวกนี้ให้เป็นพลังลมปราณเข้าสู่ทะเลลมปราณในตันเถียน แต่พลังลมปราณที่เพิ่มขึ้นนั้นกลับมีผลที่ไม่ชัดเจนมากนัก ตัวเขายังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับนักรบเช่นเดิม
“ฟู่…” หลู่เส่าโหย่วปล่อยลมหายใจขุ่นมัวออกมาเบาๆ เมื่อลืมตาขึ้น ในแววตาของเขาก็ได้ปรากฏความหดหู่ออกมา โอสถเสริมพลังหนึ่งเม็ดมีราคาถึงห้าสิบเหรียญทอง แต่ในเวลานี้มันกลับไม่ได้ช่วยอะไรเขามากนัก
หลู่เส่าโหย่วนั้นรู้มานานแล้วว่าเมื่อตัวเขามาถึงระดับนักรบ หากอยากจะก้าวหน้าก็ต้องยกระดับโอสถที่บริโภคขึ้นหนึ่งระดับถึงจะพอ แต่ในตอนนี้ เขาหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่ การยกระดับโอสถนั้นไม่ได้หมายความว่าเขาต้องใช้เงินมากกว่าเดิมหรือ อีกทั้งตัวเขายังติดเงินเทียนเป่าเหมินเอาไว้แปดพันหกร้อยเหรียญทอง ในตอนนี้เรียกได้ว่าเขากำลังลำบากอย่างแท้จริง
“ฟ่อฟ่อ…” เสียงฟ่อฟ่อดังขึ้นมา ทันใดนั้นเสี่ยวหลงก็โผล่มาจากด้านหลังของหลู่เส่าโหย่ว และเลื้อยลงมาอยู่บนฝ่ามือของเขา เสี่ยวหลงมองมาที่หลู่เส่าโหย่วอย่างสนิทสนม
“เจ้ากินอิ่มแล้วหรือ” หลู่เส่าโหย่วถามเบาๆ บนปากของเสี่ยวหลงยังมีรอยเลือดเหลืออยู่จางๆ ดูท่าคงจะพึ่งกินสิ่งมีชีวิตมา
เสี่ยวหลงพยักหน้า จากนั้นก็เลื้อยเข้าไปในแขนเสื้อแล้วพันอยู่รอบแขนของเขา
หลังจากเก็บกวาดเสร็จ หลู่เส่าโหย่วก็ออกไปจากหุบเขา เขาวางแผนที่จะนำโอสถเสริมพลังทั้งหมดไปขายในวันพรุ่งนี้ เพราะในตอนนี้หากเขาเก็บโอสถเหล่านี้ไว้กับตัวก็ไม่มีประโยชน์อะไร เขาควรจะหาวิธีหลอมโอสถขั้นสองได้แล้ว เพราะระดับบ่มเพาะของเขาในตอนนี้มีเพียงโอสถขั้นสองเท่านั้นที่จะได้ผล แต่เขายังไม่เคยหลอมโอสถขั้นสอง เขาจึงไม่รู้ว่ามันจะสำเร็จหรือไม่
หลู่เส่าโหย่วกลับมาที่ลานบ้านทางประตูหลังอีกครั้ง ตามปกติในเวลานี้ท่านแม่ควรจะกลับมาจากห้องซักผ้าแล้ว แต่เหตุใดวันนี้ถึงยังไม่กลับมาอีก หลู่เส่าโหย่วรู้สึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย
“ไปดูหน่อยดีกว่า” หลู่เส่าโหย่วตัดสินใจไปดูที่ห้องซักผ้า และถือโอกาสไปรับแม่ของเขา เมื่อคิดว่าท่านแม่ยังคงทำงานอยู่ที่ห้องซักผ้าหลู่เส่าโหย่วก็รู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ เขาจะต้องเก็บซ่อนตัวตนไปถึงเมื่อไหร่ถึงจะสามารถปลดปล่อยท่านแม่จากทุกสิ่งได้
ห้องซักผ้าของตระกูลหลู่อยู่ที่มุมด้านซ้ายของลานด้านหลัง เสื้อผ้าของคนจากลานด้านหน้าทั้งหมดจะถูกส่งมาซักที่ห้องซักผ้านี้ ลานด้านหน้าของตระกูลหลู่มีผู้คนสองร้อยกว่าคน แต่ในห้องซักผ้ามีคนเพียงสิบคนเท่านั้น หากทำงานอยู่ที่ห้องซักผ้าก็นับเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบากเล็กน้อย
“ลั่วหลาน ชุดคลุมยาวของนายน้อยเส่าหู่นี้ เจ้าต้องซักให้สะอาดหน่อย หากซักไม่สะอาดหรือว่าซักจนขาดล่ะก็ เจ้าได้เห็นดีกันแน่” ภายในห้องซักผ้า สาวรับใช้เย่อหยิ่งคนหนึ่งกล่าวขึ้นขณะที่กำลังก้มมองลั่วหนานซือที่นั่งยองๆ ซักผ้าอยู่บนพื้น