ครั้นหนานกงอี้ออกจากห้องไปแล้ว สีหน้าของไป๋รั่วก็เย็นเยือกลงทันที นางกำหมัดแน่นกระทั่งมือแดง แววตาของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“ไป๋หยาน ความเจ็บปวดที่เจ้าได้มอบให้กับข้า ข้าจะตอบแทนเจ้าเป็นสองเท่าเลยทีเดียว !”
อาการคันสุดขีดทำให้นางอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นเกา เล็บยาว ๆ ของนางทิ้งรอยเลือดไว้บนผิวเนื้อขาว ๆ นั่นยิ่งทำให้นางเกลียดไป๋หยานมากขึ้นไปอีก
เจ้ายังไม่รู้จักข้าดี นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น …
*****
ในขณะเดียวกัน เมื่อไป๋เสี่ยวเฉินจากไปแล้ว ไป๋หยานก็กำลังครุ่นคิดว่า นางจะแนะนำบุตรชายของนางต่อท่านผู้เฒ่าทั้งสองอย่างไร ? โดยที่ต้องไม่ทำให้พวกท่านตกอกตกใจ
แต่ทว่าก่อนที่นางจะตัดสินใจได้ นางก็เห็นฮัวหลัวในอาภรณ์สีชมพูสดใสก้าวเข้ามาอย่างเร่งรีบ
“นายหญิง“
ในแววตาของฮัวหลัวยังคงมีรอยยิ้ม น้ำเสียงของนางยังคงนิ่มนวลและไพเราะเช่นเคย “เมื่อครู่ คนที่ข้าส่งไปอารักขาท่านไป๋เซียวเพิ่งส่งข้อความถึงข้า… เขาแจ้งว่า นายน้อยถูกคนตระกูลไป๋พบตัว ตอนที่ไปหาท่านไป๋เซียว ข้าจึงมาที่นี่เพื่อขอความเห็นจากท่านว่าเราควรจะทำเช่นไรต่อไป ?”
เรื่องความปลอดภัยของไป๋เสี่ยวเฉินนั้น ฮัวหลัวไม่กังวลมากนัก
ด้วยนางรู้ดีว่าเด็กชายตัวน้อยนั้นฉลาดเพียงใด หากบ้านสกุลไป๋คิดจะทำอะไรเด็กน้อย ก็มีแต่จะต้องยอมแพ้เสียล่ะมากกว่า
แววตาของไป๋หยานเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “พวกสกุลไป๋คิดจะทำอะไรชั่ว ๆ อีกหรือไม่ ? เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวข้ากลับมา”
เนื่องจากนางตัดสินใจที่จะเปิดตัวบุตรชายแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องซุกซ่อนเขาไว้อีก !
คิดได้เช่นนั้น นางก็ลุกจากที่นั่ง เพียงพริบตาก็แว่บหายไปจากสายตาของฮัวหลัว
ผู้ที่พบไป๋เสี่ยวเฉินนั้นไม่ใช่ใคร นางก็คือหยูฮูหยินผู้เฒ่ามารดาของหยูหรง
กล่าวถึงหญิงชราผู้นี้ นับได้ว่านางมีบุญอย่างยิ่ง นางคิดว่าเมื่อบุตรสาวของนางได้เข้ามาอยู่บ้านสกุลไป๋แล้ว นางเองก็จะพลอยมีความสุขไปด้วย
ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นมาเนิ่นนานหลายปีจริง ๆ เพราะเมื่อนางย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านสกุลไป๋นี้ ฐานะของนางก็เป็นที่ยอมรับนับหน้าถือตา ไม่มีผู้ใดแตะต้องนางได้ แม้แต่บุตรเขยของนางก็ยังเชื่อฟังนาง …
แต่ทว่า
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ หลังจากไป๋หยานกลับมา ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป
อย่างแรกก็คือบุตรสาวของนาง หยูหรงแสดงอาการบ้าคลั่งต่อหน้าสาธารณชน จากนั้นฮองเฮาก็ถูกเนรเทศไปอยู่ตำหนักเย็น และสุดท้ายหลานสาวของนาง ไป๋จื่อก็ถูกส่งตัวไปคุมขังที่กรมราชทัณฑ์
เช่นนั้นหยูฮูหยินจึงคิดว่าการกลับมาของไป๋หยานครั้งนี้เป็นการนำพาความโชคร้ายมาให้นาง แต่เดิมวันนี้นางวางแผนที่จะเดินทางไปที่วัดนอกเมืองเพื่อสวดมนต์ภาวนา นางหวังว่าการสวดมนต์ภาวนาจะช่วยปัดเป่าความโชคร้ายออกไปได้
ผู้ใดจะคาดคิดว่า ในขณะเดินทางกลับบ้าน นางจะเห็นไป๋เซียวอุ้มซาลาเปาน้อยอยู่ในอ้อมแขน !
นางรีบให้คนบังคับรถม้าหยุดรถ เพื่อที่นางจะได้สืบหาข้อมูลเพิ่มเติม ทว่าทันใดนั้นเองนางก็เห็นเด็กน้อยยื่นตุ๊กตาน้ำตาลปั้นให้ไป๋เซียว พร้อมกับเรียกเขาว่า “ท่านน้า” จากนั้นไป๋เซียวผู้ซึ่งปกติมักมีสีหน้าเย็นชาตลอดเวลาก็เผยรอยยิ้ม ช่างเป็นยิ้มที่งดงามราวกับฤดูใบไม้ผลิ !
ไป๋เซียวลูบศีรษะไป๋เสี่ยวเฉิน แววตาของเขาอ่อนโยน เขากำลังจะอ้าปากเอ่ยบางอย่าง หากแต่พลันเห็นใบหน้าที่ประหลาดใจของหยูฮูหยินผู้เฒ่าเสียก่อน
ช่วงเวลานั้นเอง รอยยิ้มแห่งความสุขก็มลายหายไปจากใบหน้าที่หล่อเหลา นัยน์ตาของเขาวาววับราวคมมีด กลิ่นอายเย็นยะเยือกแผ่ออกมาจากร่างของเขา
“ท่านน้า ?” ไป๋เสี่ยวเฉินกระพริบนัยน์ตากลมโตด้วยความสับสน ก่อนจะเงยหน้ามองตามสายตาของไป๋เซียว
ครั้นไป๋เสี่ยวเฉินแลเห็นใบหน้าเจ้าแผนการของหยูฮูหยินผู้เฒ่า นัยน์ตาโต ๆ ของเด็กน้อยพลันเปล่งประกายเล็กน้อย ไม่มีผู้ใดรู้ได้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่
หญิงชราให้สาวใช้ช่วยพยุงนางเดินช้า ๆ เข้าไปหาไป๋เซียว แววตาที่น่ากลัวของนางจับจ้องที่เจ้าซาลาเปาน้อยผู้อยู่ข้างกายไป๋เซียว พลันใบหน้าเหี่ยวย่นของนางก็ปรากฏประกายของความหยามเหยียด
“เด็กนอกคอกนี่เป็นลูกของไป๋หยานใช่หรือไม่ ?”
เมื่อสองสามวันก่อนที่ไป๋หยานกลับมานั้น นางไม่ได้พาเด็กคนนี้มาด้วย ทุกคนต่างก็คิดว่าบุตรของนางคงตายไปแล้ว คาดไม่ถึงว่าเด็กนี่จะรอดชีวิตมาได้…
หากไป๋เฉิงเซียงรู้ความจริงว่าตัวอัปยศนี่ยังมีชีวิตอยู่ เขาจะต้องเดือดดาลเป็นที่ยิ่ง !
***จบบท นี่เป็นเพียงการเริ่มต้น***