“ไป๋เสี่ยวเฉิน !”
หยู่หรงกัดฟันกล่าวว่า “ในฐานะที่เจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของสกุลไป๋ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องตอบแทนสกุลไป๋ ในเมื่อท่านตาของเจ้าต้องการเชื่อมสายสัมพันธ์กับหอบุปผา เจ้าก็ควรไปที่หอบุปผาเสียแต่โดยดี !“
“ท่านแม่บอกข้าว่า สกุลไป๋ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นพวกค้ามนุษย์ เดิมทีข้าเองก็ไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ข้าเชื่อแล้ว” ไป๋เสี่ยวเฉินยังคงยิ้มอย่างไร้เดียงสา “แล้วท่านแม่ยังบอกข้าอีกนะว่า เป็นเด็กดีต้องช่วยเหลือผู้อื่น เช่นนั้นข้าเลยจะช่วยเตือนความจำเจ้า เจ้ายังมีหลานชาย หากเจ้าต้องการขายก็ขายหลานของเจ้าสิ”
สีหน้าของเด็กน้อยแลดูภาคภูมิใจ ราวกับเขากำลังรอให้หยูหรงกล่าวคำยกย่องชื่นชมเขา ที่เสนอความคิดดี ๆ
ทว่าหยูหรงกลับยิ่งโกรธจนแทบคลั่ง
เป็นดังคาด ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น !
หกปีที่แล้ว ไป๋หยานก็กล่าววาจาเช่นเดียวกันนี้กับนาง ครั้งนั้นไป๋หยานกล่าวว่า หากนางต้องการที่จะขายใครซักคน นางก็ควรจะขายไป๋จื่อ หรือไม่ก็ไป๋รั่ว
“ไป๋เสี่ยวเฉิน ข้าขอบอกเจ้า ในฐานะที่ข้าเป็นยายของเจ้า ข้ามีสิทธิ์ที่จะตัดสินความเป็นความตายของเจ้า !” หยูหรงเชิดหน้า “ไม่ต้องพูดถึงว่า หลานชายของข้า เป็นถึงพระนัดดาองค์โตของฮ่องเต้ ทว่าเขายังถูกลิขิตให้เป็นผู้ปกครองโลกใบนี้ในวันหน้าอีกด้วย ! ลูกไม่มีพ่อเยี่ยงเจ้ามีอะไรเทียบกับหลินเอ๋อของข้าได้กระนั้นหรือ ? ! เจ้านั่นแหละต้องไปหอบุปผา “
นัยน์ตาของไป๋เสี่ยวเฉินเปลี่ยนเป็นเย็นชา เด็กน้อยเกลียดมากที่สุด หากมีผู้ใดว่าเขาเป็นลูกไม่มีพ่อ
“เสี่ยวมี่ กัดนาง !“
เมี้ยว !
เสี่ยวมี่งอตัว จากนั้นก็พุ่งกระโจนเข้าหาหยูหรงทันที กรงเล็บอันแหลมคมของเสี่ยวมี่กรีดผ่านหน้าอกของนางดัง ‘ควับ’ พร้อมกันนั้นอาภรณ์ของนางก็เปื้อนไปด้วยเลือด
หยูหรงกรีดร้องตะโกนลั่นด้วยความเจ็บปวด นางโกรธจัด “แมวบ้า ! ออกไปนะ !”
นางฟาดฝ่ามือใส่เสี่ยวมี่ ทว่าเสี่ยวมี่ก็หลบเลี่ยงได้อย่างว่องไว ขณะเดียวกันเสี่ยวมี่ก็ตะปบอีกเป็นครั้งที่สอง ครั้งนี้เสี่ยวมี่เล็งไปที่ส่วนลับของนาง เสียงร้องของหยูหรงกรีดแหลมด้วยความเจ็บปวดอย่างลึกล้ำ
ไป๋เสี่ยวเฉินกระโดดตัวลอยด้วยความตื่นเต้น เขามองดูหยูหรงเจ็บปวดทรมานด้วยความสะใจยิ่ง
น่าเสียดายที่ว่า เขาสนุกได้เพียงไม่นานนัก ยามของบ้านสกุลไป๋ที่ได้ยินเสียงร้องโวยวายต่างก็วิ่งกรูเข้ามา พวกเขาเห็นหยูหรงยืนตัวสั่นเทา
“นายหญิง !”
พวกเขารีบเดินเข้ามาหาหยูหรงอย่างรวดเร็ว ซึ่งขณะนี้นั้น เสี่ยวมี่ก็กลับมาอยู่ข้าง ๆ เด็กชายแล้ว
“ตีแมวตัวนั้นให้ตาย ! จากนั้นก็จับตัวเด็กนรกนั่นไว้ !” หยูหรงชี้ไปที่ไป๋เสี่ยวเฉินพร้อมกับคำรามด้วยความโกรธและเกลียด
นางไม่เคยประสบเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ! แมวบ้าตัวนี้รนหาที่ตายชัด ๆ !
เสี่ยวมี่เลียอุ้งเท้าของมัน ขณะมองพวกยามด้วยแววตาดูถูกเหยียดหยาม
แววตาเย้ยหยันของเสี่ยวมี่ยิ่งทำให้หยูหรงโกรธแค้น “พวกเจ้ายังมัวรีรออะไรอยู่อีก รีบเข้าไปสิ !”
“ขอรับ !”
ยามรับคำสั่งจากนั้นก็ดึงอาวุธออกมาทันที
ครั้นไป๋เสี่ยวเฉินเห็นพวกยามกำลังจะเข้าจู่โจม ประกายสีแดงพลันฉายวาบออกมาจากนัยน์ตาจิ้งจอกของเขา
ตอนนี้เอง ที่พวกยามพบว่าขาของพวกเขาต่างก็ก้าวไม่ออก ราวกับว่าท่อนขาได้หยั่งรากลึกลงบนพื้น กระทั่งไม่สามารถขยับได้
“นี่เจ้าทำอะไร ?” หยูหรงตะโกน นางจ้องมองเด็กชายด้วยสายตาคมวาวราวกับใบมีด
ไม่ว่าจะมองอย่างไร รอยยิ้มของเด็กชายก็ช่างน่าเกลียดน่าชังอย่างยิ่ง
ไป๋เสี่ยวเฉินเอียงคอ พร้อมกับหัวเราะคิกคักอย่างไร้เดียงสาเป็นที่สุด “แม่มดแก่ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าชอบรังแกท่านแม่ และท่านน้าของข้าใช่มั้ย ?”
“เจ้า … “
ถึงเวลานี้ หยูหรงก็แน่ใจแล้วว่า แท้จริงรอยยิ้มน่ารัก แววตาน่าเอ็นดู อีกทั้งใบหน้าที่ไร้เดียงสานั่น ล้วนแล้วแต่เป็นการเสแสร้งตบตาทั้งหมด !
ไป๋เสี่ยวเฉิน แสยะยิ้ม ก่อนจะยื่นนิ้วออกมา ตวัด ‘ฟิ้ว’ พร้อมกันนั้นเปลวไฟจิ้งจอกสีเขียวมรกตพลันจุดขึ้นที่ปลายนิ้ว
“เสี่ยวมี่ เราไม่ได้เล่นจุดไฟกันนานแล้วนะ ล่าสุด เราวางเพลิงเผาคลังสมบัติของอาจารย์ตา แม้ว่าบ้านสกุลไป๋แห่งนี้จะไม่อาจเทียบได้กับคลังสมบัติที่นั่น แต่ข้าก็แน่ใจว่าอย่างน้อยก็ยังต้องมีสมบัติบางอย่างที่มีค่าให้เผาเล่นแหละ”
***จบบท วางเพลิง (2)***