หยูหรงกำลังมึนงงไปหมด ครั้นได้ยินถ้อยคำขู่กรรโชกรีดไถจากคนบ้านสกุลเฉียน นางก็โกรธจัด กระทั่งโพล่งออกไปโดยไม่ทันยั้งคิด
“อย่ามาขู่กรรโชกข้าเสียให้ยากเลย ข้าคืนยาเม็ดจิตวิญญาณนั่นให้พวกเจ้าไปหมดแล้ว เหตุใดเจ้าจึงยังมาถามหามันอีก“
ขณะที่หยูหรงอ้าปาก หัวใจของหยูฮูหยินผู้เฒ่าก็เต้นไม่เป็นจังหวะ นางอยากรีบเข้าไปปิดปากลูกสาว ทว่าโชคไม่ดีที่นางช้าเกินไป หยูหรงหลุดปากทุกอย่างออกมาสิ้นแล้ว
อื้ออึง !
เสียงฮือฮาของฝูงชนดังก้องขึ้นอีกครั้ง สมองของจีนมุงเหล่านั้นแทบระเบิด เมื่อได้ยินเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นไม่หยุดไม่หย่อน …
ตอนนี้พวกเขามั่นใจแล้วว่า ไป๋หยานไม่ได้หนีตามผู้ชาย หากแต่เป็นเพราะบ้านสกุลไป๋ต้องการขายนางให้ไปเป็นอนุของตาเฒ่าบ้านสกุลเฉียน เช่นนั้นนางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหนี !
“หยูหรง !” ไป๋เซียวหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ลืมขึ้นอีกครั้ง นัยน์ตาทั้งคู่ของเขาเปล่งประกายเย็นชากระหายเลือด “เมื่อหกปีก่อนเจ้าข่มเหงพี่สาวของข้า บีบคั้นกระทั่งนางต้องดิ้นรนหลบหนี ทว่านั่นยังไม่สาแก่ใจเจ้าใช่หรือไม่ ? เจ้าถึงให้ร้ายทำลายชื่อเสียงของนางอีก ! “
“ทั้ง ๆ ที่ เงินทองที่เจ้าใช้กินใช้อยู่ล้วนได้มาจากมารดาของข้า ! สุดท้าย เจ้าปฏิบัติต่อพี่สาวของข้าเช่นนี้หรือ ?”
ที่ตลกร้ายก็คือ ไป๋เซียวเองก็เคยเกลียดพี่สาวของตนเช่นกัน เขาอยากรู้ว่า เหตุใดนางถึงจากไปโดยไม่กล่าวคำร่ำลาแม้สักคำ เหตุใดนางจึงทิ้งเขาไว้เพียงลำพังในสถานที่อันแสนโหดร้ายแห่งนี้ ?
ทว่าตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว เหตุที่พี่สาวต้องทิ้งเขาไป หาใช่เพราะนางเห็นแก่ตัวไม่ หากแต่เป็นเพราะนางอัปยศอดสู …
“ข้า … ” ริมฝีปากของหยูหรงเริ่มสั่นระริก สีหน้าของนางซีดขาว ร่างของนางอ่อนระทวย กระทั่งไม่สามารถกล่าวคำใดออกมาได้แม้ครึ่งคำ
จบสิ้นแล้ว !
ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว !
หยูหรงรู้สึกหมดท่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ต่างจากไก่ชนที่โดนไก่ฝ่ายตรงข้ามเหยียบหัวไว้จนไม่อาจเงยหน้าขึ้นมาได้
“ท่านน้า เฉินเอ๋อ…อยากกลับบ้าน”
ไป๋เสี่ยวเฉินกระชับอ้อมแขนที่โอบรอบลำคอของไป๋เซียว นัยน์ตาของเด็กน้อยแวววาวเป็นประกาย
“ได้สิ เราจะกลับบ้านกัน นับแต่นี้ไปเจ้าก็ไม่ต้องมาเหยียบสถานที่โสมมแห่งนี้อีก”
ไป๋เซียวกอดซาลาเปาน้อยในอ้อมแขนแน่น เขาสาบานกับตนเองว่า จากนี้ไปไม่ว่าเขาจะต้องเหนื่อยยากสักเพียงใด เขาจะไม่ยอมให้พี่สาว ไม่ยอมให้หลานชายต้องพบเจออันตรายใด ๆ อีก
*****
ครั้นไป๋เซียวพร้อมด้วยไป๋เสี่ยวเฉินกลับมาถึงคฤหาสน์โบราณ เขาก็พบมาม่าฉู่อยู่ที่นั่นด้วย เขารู้สึกประหลาดใจ อีกทั้งงงงวย
“หม่ามี้ ! ป้าฮัว !“
ไป๋เสี่ยวเฉินทิ้งตัวจากอ้อมแขนของไป๋เซียว เขารีบวิ่งเข้าไปหาไป๋หยาน และจุ๊บแก้มนางทันที
“หม่ามี้ วันนี้เฉินเอ๋อแก้ปัญหาให้หม่ามี้แล้วนะ วันหน้าเราจะจัดการกับบ้านสกุลไป๋อย่างไรก็ได้ จะไม่มีผู้ใดว่าอะไรเราได้แล้ว !“
ไป๋หยานมองใบหน้าเปื้อน ๆ ของบุตรชาย นางยกมือขึ้นบีบจมูกเล็ก ๆ ของเด็กน้อย “เจ้าปล่อยให้ใบหน้าของเจ้าสกปรกเลอะเทอะมากถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ? รีบไปล้างหน้าล้างตาของเจ้าเดี่ยวนี้เลย“
“ทั้งหมดเป็นความผิดของเสี่ยวมี่” ไป๋เสี่ยวเฉินบุ้ยปาก “ลูกบอกแล้วว่า แค่ทำเสื้อขาดก็พอ แต่เสี่ยวมี่สิ เสี่ยวมี่ยังทำหน้าลูกสกปรกอีกด้วย“
“ก็รู้อยู่ว่าหม่ามี้ไม่ชอบเด็กสกปรก เสี่ยวมี่ต้องอิจฉาลูกแน่ ๆ ที่หม่ามี้รักลูกมาก ดังนั้นเสี่ยวมี่ก็เลยทำให้หน้าของลูกสกปรก”
“ช่างกล้าพูด ผู้ใดกันที่เอาไฟรนขนข้าก่อน ?” เสี่ยวมี่กลอกตามองเด็กน้อยอย่างหมั่นไส้
ไป๋เสี่ยวเฉินเท้าสะเอวกล่าวว่า “หากข้าไม่ทำเช่นนั้น มันจะดูเหมือนว่าเราหนีออกมาจากกองไฟได้อย่างไรล่ะ ?”
ครั้นได้ยินบทสนทนาระหว่างเด็กน้อยกับเจ้าสัตว์ตัวเล็ก ๆ นั่นแล้ว ไป๋เซียวก็นิ่งงันทันที
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?
“ท่านน้า” ไป๋เสี่ยวเฉินหันมาเผชิญหน้ากับชายหนุ่มซึ่งกำลังงงงันอยู่ด้านหลังตนเอง “เฉินเอ๋อไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ท่านน้าตกใจกลัวนะ แต่ว่าเฉินเอ๋อก็ไม่ต้องการให้ใครพูดจาว่าร้ายหม่ามี้ผิด ๆ อีกเฉินเอ๋อก็เลยทำเรื่องเสี่ยง ๆ เช่นนี้ เฉินเอ๋อมั่นใจว่าจากนี้ไปจะไม่มีใครกล้าดูหมิ่นหม่ามี้อีกแล้ว“
ไป๋เซียวกลับมามีสติ ภายในใจของเขาเกิดความรู้สึกซับซ้อน เขามีความสุขที่หลานชายของตนเป็นเด็กเฉลียวฉลาด ทว่าขณะเดียวกันก็เศร้าใจ เมื่อหวนคิดได้ว่าแม่ลูกคู่นี้ต้องผ่านเรื่องราวใดมาบ้าง ถึงหล่อหลอมให้เด็กน้อยเป็นดั่งเช่นทุกวันนี้
***จบบท ชื่อเสียงพังพินาศ (2)***