“ท่านพี่” ครั้นเห็นไป๋เฉิงเซียงเงียบไป หยูหรงก็รีบพูดต่อ “ท่านอย่าได้ลืมเรื่องของไป๋หยานกับตระกูลหลานเสียล่ะ”
ความหมายที่ซ่อนในคำพูดนั่นก็คือ หากไป๋หยานได้ขึ้นสู่ตำแหน่งพระชายา แน่นอนว่าตระกูลที่นางต้องให้ความช่วยเหลือเป็นอันดับแรกย่อมเป็นบ้านสกุลหลาน ! ส่วนบ้านสกุลไป๋นั้นคงต้องต่อท้ายแถวโน่น !
“เจ้าไม่ต้องพูดมาก” ไป๋เฉิงเซียงขมวดคิ้ว “ข้าเข้าใจในสิ่งที่เจ้าพูด ! รอให้จื่อเอ๋อกลับมาอย่างปลอดภัยเสียก่อน ข้าจะไปพบไป๋หยานเพื่อเจรจาเรื่องนี้“
แท้จริง ทันทีที่รู้ว่าไป๋จื่อถูกจองจำ เขาก็รีบไปบ้านสกุลหลานเพื่อขอพบไป๋หยาน เขาหวังว่านางจะช่วยเกลี้ยกล่อมอ๋องคังให้ปล่อยตัวไป๋จื่อ หากแต่คนบ้านสกุลหลานก็ขัดขวางเขา ทำให้เขาไม่ได้พบบุตรสาวคนโตทั้งที่อยากพบนางใจแทบขาด…
เพียงคิดถึงบุตรสาวคนเล็ก ไป๋เฉิงเซียงก็เกิดอาการปวดหัว น้ำเสียงของเขาฟังดูอ่อนล้า “เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด พรุ่งนี้ข้ายังต้องไปช่วยจื่อเอ๋ออีก ข้าติดค้างไป๋หยานมากมาย หากครั้งนี้นางเต็มใจเชื่อฟังข้า ข้าหวังว่าในภายหน้าเจ้าจะปฏิบัติต่อนางไม่ต่างกับบุตรสาวของตน และหวังว่าจะไม่เป็นเช่นที่ผ่านมา“
หยูหรงลอบยิ้ม ไป๋เฉิงเซียงเองก็เห็นบุตรสาวของตนเองสำคัญน้อยกว่าผลประโยชน์
ก็เพราะนางรู้ในจุดนี้นี่เล่า นางถึงกุมอำนาจในบ้านสกุลไป๋ได้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
“ข้าเข้าใจแล้ว” นางหลุบตาพร้อมกล่าวอย่างอ่อนโยน “นี่ก็ดึกมากแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน ท่านพี่ก็พักผ่อนเถิด”
หลังจากกล่าวจบ หยูหรงก็ย่อกายลงเล็กน้อย จากนั้นนางก็ค่อย ๆ หันหลังกลับเดินออกจากห้องรับรอง ครั้นพ้นจากสายตาผู้คน ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มเบาบางของนางพลันแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันที
ไป๋เสี่ยวเฉิน !
นางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันทันทีที่คิดถึงชื่อนี้
อีกไม่นานจื่อเอ๋อก็จะได้เป็นชายาของอ๋องคัง และคนแรกที่นางจะต้องชำระแค้นก็คือเด็กผีคนนี้
หยูหรงหายใจเข้าลึก ทว่าความเกลียดชังในใจของนางก็ไม่ลดลงเลย ทั้งยิ่งโหมกระพือมากขึ้นด้วยซ้ำ แล้วนางก็หายตัวไปอย่างเงียบเชียบท่ามกลางความมืดยามราตรี
*****
ณ ตำหนักเย็น หนิงไต้ไม่ได้ดูเลอเลิศสวยสง่าดั่งเช่นเคยอีกต่อไป นางนั่งบนเก้าอี้ไม้ ทอดสายตามองนอกหน้าต่างท่ามกลางแสงจันทร์ยามราตรี
“ฮองเฮา”
ยายเฒ่าชราผู้หนึ่งเดินมายืนข้าง ๆ หนิงไต้ น้ำเสียงของนางเป็นทุกข์ “พระองค์ไม่ได้เสวยอะไรมาทั้งวันแล้ว เสวยอะไรบ้างเถิดเพคะ”
หนิงไต้มองโจ๊กเปล่า ๆ ที่วางไว้ตรงหน้า นางเพียงยิ้มอย่างขมขื่น
“ข้าไม่อยากกิน”
นางเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ? คนที่เคยได้รับการปรนนิบัติเป็นอย่างดีมาตลอดชีวิต กลับต้องมากินโจ๊กน้ำใส ๆ ห่วย ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร ?
“แต่ … “
“แม่นม…” หนิงไต้เอ่ยพร้อมกับกัดริมฝีปาก “ฝ่าบาทคงไม่ทิ้งข้าไว้ที่ตำหนักเย็นนี่ตลอดไปใช่หรือไม่ ? ข้าแน่ใจว่า พระองค์แค่เพียงยังกริ้วอยู่ หายกริ้วเมื่อไหร่ พระองค์ก็จะมีรับสั่งเรียกหาข้า“
แม่นมเฒ่ากล่าวตอบอย่างอ่อนโยน “ฮองเฮา…ยามนี้เราก้าวพลาดไปแล้ว ชายาขององค์รัชทายาทหลอกใช้ประโยชน์จากเรา“
หนิงไต้ตัวแข็ง ใบหน้าที่สง่างามของนางพลันซีดลงเล็กน้อย ในขณะที่มือของนางกำแน่น
“แม่นมหมายถึงอะไร ?”
“หม่อมฉันออกไปสืบถามข่าวคราวมาจากภายนอก จึงได้ความว่า ก่อนหน้านี้เจ้าบ้านสกุลไป๋ได้เข้าพบองค์รัชทายาท เพื่อขอให้องค์รัชทายาทเป็นผู้ใหญ่ช่วยจัดการให้ไป๋จื่อได้เข้าตำหนักอ๋องคัง ทว่าองค์รัชทายาทปฏิเสธ” แม่นมเฒ่ากล่าวด้วยสีหน้าโกรธแค้น “นั่นทำให้ไป๋รั่วหันมาหลอกใช้พระองค์แทน”
เดิมทีหนานกงอี้ก็มีความคิดที่จะช่วยไป๋จื่อเข้าตำหนักอ๋องคัง แต่นับจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกโรงเตี๊ยมที่หญิงสาวทำลายภาพลักษณ์ของตนเองโดยการรังแกเด็กน้อยต่อหน้าสาธารณชน นั่นทำให้เขาขายหน้า หนานกงอี้จึงล้มเลิกความคิดนั้นทันที
หากแต่หนานกงอี้ก็ไม่คาดคิดว่า มารดาของตนจะมีรับสั่งให้อ๋องคังอภิเษกกับไป๋จื่อเสียเอง
***จบบท ไป๋รั่วหญิงชั่วช้า (1)***