“เสด็จยายทวดไทเฮา ท่านเป็นอะไร ?”
ไปเสี่ยวเฉินวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปหาไทเฮา เขาใช้มือตบหลังหญิงชรา เพื่อช่วยให้หญิงชราหายใจได้ราบรื่นขึ้น นัยน์ตากลมโตของเขาแลดูราวกับจะเอ่ยออกมาเป็นคําพูดได้
” หม่ามีบอกว่า อย่าโกรธคนที่ไม่ควรค่าที่จะให้โกรธ”
ช่างเป็นเด็กที่ดีจริง ๆ
ไทเฮาทอดถอนพระทัย นี่หากนางย้อนกลับไปบังคับให้หลานเยี่ยสมรสกับฮ่องเต้ได้ บางที่เด็กแสนดีและน่ารักผู้นี้ก็อาจเป็นเหลนชายที่ดีของนางแทน
“รั่วเอ๋อ !” ทันใดนั้นเองเสียงร้องประหลาดใจก็ดังขึ้นใกล้ ๆ
หลังจากได้ยินน้ําเสียงที่คุ้นเคยนี้ คิ้วของไปหยานก็ค่อย ๆ เลิกสูงขึ้น เรียกว่าพบศัตรูบนทางแคบใช่มั้ยเนี่ย ? (ประมาณโลกมันแคบ)
“รั่วเอ๋อ เจ้านั่งทําอะไรอยู่ตรงนั้น พื้นนั่นทั้งแข็งทั้งเย็นนะ” หนานกงอี้ก้าวเข้ามายืนข้างไปทั่วพร้อมกับช่วยพยุงนางลุกขึ้น
จากนั้นเขาก็เหลือบมองไป๋หยานด้วยสายตาเคร่งขรึม “ไป๋หยาน เจ้าเล่นอะไรอยู่ ?”
ไป๋หยานยกยิ้มเย้ยหยัน ” ท่านควรถามโอรสที่รักของท่านมากกว่าว่าเกิดอะไรขึ้น ?”
หนานกงอี้ขมวดคิ้วจนเป็นปม ในฐานะบิดา เขาจะไม่รู้เกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่ดีของโอรสของตนได้อย่างไร ? อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยว่ากล่าวหลินเอื้อยามทําสิ่งผิด
เพราะหลินเอ๋อของเขาจะต้องเป็นผู้ปกครองที่ทรงอํานาจยิ่งใหญ่ของแผ่นดินนี้ไม่ช้าก็เร็วเช่นนั้นเขาจึงต้องสอนให้โอรสรู้จักใช้อํานาจตั้งแต่ยังเยาว์ อย่างไรก็ตามเขามักเตือนหลินเอ๋อเสมอ ว่าให้ใช้อํานาจแค่เพียงในวัง เพราะหากออกไปสร้างปัญหานอกวังจะเป็นการทําให้ราชวงศ์ต้อง เสียหน้า ซึ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง
“เสด็จย่า” หนานกงอี้จ้องมองไป๋หยานอย่างเย็นชา ก่อนที่จะหันกลับไปมองไทเฮา “หลินเอ๋อ อย่างไรเสียก็เป็นเหลนแท้ ๆ ของพระองค์ เหตุใดพระองค์ถึงช่วยคนนอกรังแกเขา ?”
“ฝ่าบาท” ไปรั่วเอนซบต้นแขนของสวามีนางอย่างรวดเร็ว พร้อมแสดงทีท่าน่าสงสาร “ไปหยาน ให้แมวของลูกชายนางข่วนลูกของเรา”
ใบหน้าของหนานกงอี้แลดูเคร่งขรึม เขากําหมัดแน่น ขณะหันไปมองไปเสี่ยวเฉินผู้ซึ่งกําลังอุ้มแมวน้อยอยู่
ไปเสี่ยวเฉินส่งสายตายั่วยุ ยิ่งทําให้หนานกงอี้โกรธเกรี้ยว เขาตะโกนขึ้นด้วยความโมโห “ผู้ใดก็ได้ มาเอาตัวเด็กสารเลวนี้ออกไปที !”
“บังอาจ !”
“เจ้ากล้าดียังไง !” (ไทเฮา)
“เจ้ากล้าดียังไง !” (ไป๋หยาน)
เสียงของสตรีทั้งสองดังขึ้นพร้อม ๆ กัน สุรสียงของไทเฮานั้นเต็มไปด้วยความกริ้ว ส่วนเสียงของไป๋หยานนั้นเจือเจตนาสังหาร
“หม่าม” ไปเสี่ยวเฉินถลาเข้าหาอ้อมกอดของมารดา พลางกล่าวว่า “ท่านปู่คนนี้ดุร้ายจังเฉินเอ๋อกลัว”
แม้ว่าเขาจะกล่าวออกมาเช่นนั้น ทว่านัยน์ตาของเขากลับสดใส ยามนี้เขาซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของมารดา พร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
”เจ้าเรียกข้าว่ากระไรนะ ?” ใบหน้าของหนานกงอี้ดูแทบไม่ได้ เจ้าเด็กคนนี้เรียกเขาว่าท่านปู่ได้อย่างไร ?
เขาแก่ถึงเพียงนั้นเลยหรือ ?
“หม่าม ท่านปู่คนนี้ต้องถึงวัยทองแล้วเป็นแน่ อารมณ์ถึงได้ร้ายแบบนี้ เขาดูร้ายกาจกว่าป๊ะป๋าซะอีก โชคดีที่ครั้งนั้นหม่ามี้ไม่ได้แต่งงานกับเขา เพราะเฉินเอ๋อคิดว่าป๊ะป๋าหล่อกว่ามากเลย”
ดูเหมือนว่าไปเสี่ยวเฉินยังไม่ถูกใจถ้อยคําที่เขาเอ่ยกล่าวออกมาสักเท่าใดนัก เขาเลยเพิ่มไปอีกประโยคว่า “แต่ยังไง พ่อบุญธรรมก็อ่อนโยนที่สุด”
” พวกเจ้ามัวยืนเฉยอยู่ไย ? รีบจับเจ้าเดรัจฉานน้อยนั่นมาสิ !” หนานกงอี้กราดเกรี้ยว
เด็กไม่มีสกุลรุนชาติ กล้าดียังไงมารังแกโอรสของข้า !
เหล่าทหารองครักษ์ต่างหันมองหน้ากันด้วยความลังเล ทว่าท้ายที่สุด พวกเขาก็ก้าวออกมาข้างหน้า
ช่วงเวลานั้น พระพักตร์ไทเฮาก็ดําคล้ําด้วยความกริ้วจัด นางไม่คาดคิดว่าหลายปีที่ผ่านมานี้อํานาจของนางจะอ่อนแอ กระทั่งแม้แต่องครักษ์ก็ยังไม่เชื่อฟังคําสั่ง
ขณะเดียวกันหนานกงซุนก็ดึงแขนเสื้อของไป๋หยานพลางกระซิบว่า “ข้าขอโทษ..”
เขาเป็นผู้ดึงนางให้มาพบเรื่องเลวร้ายเช่นนี้
ทว่าไป๋หยานไม่ได้ยินถ้อยคําของหนานกงซุน นางจ้องมองทหารองครักษ์ที่กําลังก้าวเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ นัยน์ตาของนางหลงน้ําเสียงของนางเย็นเยียบและบาดลึก ” หากใครกล้าก้าวเข้ามาอีกข้าจะสังหารอย่างไร้ปรานี !”
***จบบท ไทเฮาทรงกริ้ว (2)***