ณ ตำหนักอ๋องคัง
บุรุษผู้เป็นเจ้าของตำหนักนั่งอยู่ที่โต๊ะ นัยน์ตาหงส์ที่แหลมคมของเขาทอดมองต่ำ ท่าทางของเขาดูเหมือนจะไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก เขาเอนกายพิงพนักด้านหลัง เสื้อคลุมสีม่วงสะบัดตามสายลมพริ้วไหว กระทั่งสาบเสื้อของเขาเผยออก บุคลิกท่าทีช่างแลดูสูงส่ง ขณะทอดสายตามองทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านล่าง “ข้าสั่งให้พวกเจ้าไปหาคน ยังไม่พบตัวอีกกระนั้นหรือ ?”
“เรียนท่านอ๋อง…” แผ่นหลังของทหารองครักษ์ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ ร่างของเขาสั่นสะท้านราวกับหนาวจัด เมื่อได้ยินถ้อยคำถามนี้ “หญิงสาวที่ท่านให้หานั้น ไม่มีลักษณะพิเศษแต่อย่างใด อีกทั้งยังไม่มีชื่อเสียงเรียงนามด้วย … พวกเราจึงไม่สามารถหาพบ”
บุรุษผู้นั่งอยู่ข้างหลังโต๊ะ ค่อย ๆ ชันตัวนั่งตรง “ข้าให้เวลาพวกเจ้าอีกครึ่งเดือน หากพวกเจ้ายังหานางไม่พบ เมื่อถึงตอนนั้น พวกเจ้าทุกคนจะไม่มีเงาหัว”
“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง” ทหารองครักษ์รับคำสั่ง เขาลุกขึ้นจากพื้นอย่างช้า ๆ จากนั้นก็รีบออกจากตำหนักอย่างรวดเร็ว
แข้งขาของเขาสั่นพั่บ ๆ ในทุก ๆ ย่างก้าว ทุกครั้งที่เขาต้องเข้ารายงานท่านอ๋องคัง ก็มักจะเป็นเช่นนี้เสมอ ความกดดันจากอ๋องท่านนี้สามารถกดทับศีรษะของเขา กระทั่งศีรษะของเขาหนักอึ้ง จนแทบไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมามองหน้าท่านอ๋องได้ด้วยซ้ำ
หลังจากรอให้ทหารองครักษ์จากไปแล้ว ชายหนุ่มก็หรี่ตาลงเล็กน้อย เขาหวนนึกถึงฉากที่น่าอับอายเมื่อหกปีก่อนขึ้นมาอีกครั้ง
ทันใดนั้นเอง ถ้วยชาในมือของเขาพลันแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยคามือ ทว่าแม้จะมีน้ำชาที่ร้อนจัดไหลรินรดลงบนผิวของเขา เขาก็ไร้ซึ่งปฏิกิริยาใด ๆ ราวกับเขาไม่รู้จักคำว่า เจ็บปวด
“เจ้ากล้าข่มขืนข้า ! อีกทั้งยังกล้าหนีหน้าข้าอีก ! ต่อให้เจ้าหนีไปไกลจนสุดขอบโลก ข้าก็จะตามไปลากตัวเจ้าออกมาให้ได้ !
เมื่อหกปีก่อน ครั้งที่เขาออกมาจากอาณาจักรอสูร และเพิ่งมาถึงดินแดนแห่งนี้ ช่วงเวลานั้น ความแข็งแกร่งของเขายังถูกจำกัด ร่างของเขาตกอยู่ในสภาพกึ่งเป็นกึ่งตาย
แล้วสตรีชั่วช้าผู้นั้นก็ใช้กำลังข่มขืนร่างซึ่งไร้เรี่ยวแรงกึ่งเป็นกึ่งตายของเขา ! เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด…เนื่องจากเขาทำลายผนึกแดนอสูร ผลกระทบอย่างรุนแรงที่ตามมา ก็คือสายตาของเขาพร่ามัว เขาสามารถเห็นได้เพียงโครงร่างของสตรีผู้นั้นเท่านั้น ไม่อาจเห็นใบหน้าแท้จริงของนาง เขาตั้งใจจะเอาคืนหลังจากฟื้นพลังกลับมาได้ แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่า ภายหลังจากหญิงผู้นั้นทำเรื่องน่าบัดสีกับเขาแล้ว นางก็รีบดึงกางเกงของนางขึ้นทันที จากนั้นนางก็ผละหนีไปโดยไม่ให้โอกาสเขาทำอะไรเลยแม้แต่น้อย !
“ท่านอ๋อง…”
ทันใดนั้นเอง ทหารองครักษ์ก็รีบเข้ามารายงานด้วยทีท่าเคารพนบนอบ “องค์หญิงหกเสด็จมาที่นี่อีกแล้ว นางประสงค์จะพบท่าน”
ตี้คังกวาดสายตาเย็นยะเยือกไปมองทหารองครักษ์ของตน ทหารองครักษ์รู้สึกหนาวสั่น กระทั่งทรุดลงคุกเข่ากับพื้นอย่างหวาดกลัว เขาเย็นวาบไปถึงไขสันหลัง
“เรื่องเล็ก ๆ เพียงแค่นี้ เจ้ายังต้องรายงานข้าอีกรึ ส่งนางกลับไปซะ”
“แต่องค์หญิงหก ตรัสว่า หากท่านอ๋องไม่ออกไปพบนาง นางก็จะไม่ไปจากตำหนักแห่งนี้”
ตอนแรก ตี้คังกำลังจะก้าวจากไป ทว่าทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ เท้าที่กำลังก้าวพลันชะงัก “เช่นนั้นก็โยนนางออกไป !” น้ำเสียงของเขาเย็นชา อีกทั้งไม่มีความลังเลใด
ทหารองครักษ์ตัวสั่น เขารู้ดีว่ามีเพียงบุรุษผู้นี้เท่านั้นที่กล้าปฏิบัติต่อราชนิกูลอย่างโหดร้าย ทว่าถึงกระนั้นองค์ฮ่องเต้ก็ยังคงไม่ใส่พระทัยในการกระทำของเขา !
ไม่ ! จะกล่าวให้ถูก ก็คือองค์ฮ่องเต้ไม่กล้าที่จะใส่พระทัยเสียมากกว่า
ตี้คังสะบัดแขนเสื้อคลุมสีม่วงของตน ก่อนจะเดินออกไปจากห้องหนังสือ โดยไม่สนใจทหารองครักษ์อีกต่อไป เสื้อคลุมสีม่วง และเส้นผมสีเงินยาวสลวยของเขาทอแสงเป็นประกายแวววับ เมื่อต้องแสงแดดยามเช้า
*****
บนถนนในเมืองหลวง
ไป๋เสี่ยวเฉินจับมือไป๋หยาน ขณะมองไปรอบ ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ดูเหมือนเขาจะไม่เคยพบเห็นเมืองที่มีชีวิตชีวาเช่นนี้มาก่อน
“หม่ามี้…เราจะไปหาท่านน้ากันก่อนใช่หรือไม่ ?”
ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ผู้เดียวที่มารดาของเขากล่าวถึง ก็คือน้าไป๋เซียวของเขา เช่นนั้นเด็กชายตัวน้อยจึงกระสันอยากพบหน้าน้าชายของเขาผู้นี้มานานแสนนาน
“ไม่…ยังมิใช่ตอนนี้” ไป๋หยานหยุดก้าว “แม่เปลี่ยนใจแล้ว แม่จะยังไม่พาเจ้ากลับบ้านสกุลไป๋ หากแต่แม่จะซื้อบ้านที่นี่ เจ้าต้องพักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ แม่จะหาใครสักคนมาดูแลเจ้า”
นัยน์ตาของเด็กน้อยเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาจับมือมารดาแน่น พลางอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร “หม่ามี้…ลูกทำอะไรให้หม่ามี้โกรธ หม่ามี้ถึงจะทิ้งลูกไป ? ลูกขอโทษ ลูกผิดไปแล้ว ลูกสัญญาว่าจะไม่ดื้อไม่ซนอีก หม่ามี้ได้โปรดอย่าทิ้งลูก ลูกจะไม่ขอให้หม่ามี้หาป๊ะป๋าให้ลูกอีกแล้ว หม่ามี้อภัยให้ลูกเถอะนะ ?
***จบบท ข้ากลับมาแล้ว (2)***