บทที่ 161 : โยนบาป (3)
ไป๋เสี่ยวเฉินยื่นมือออกมาราวกับกําลังนําเสนอทรัพย์สมบัติบางอย่างในฝ่ามือของเขาคือป้ายหยก
บุคคลที่มีฐานะสูงส่งจะมีป้ายประจําตัว ไป๋เสี่ยวเฉินเองก็รู้ดีในข้อนี้ เขาเจตนาผลักองค์หญิงหกก็เพื่อขโมยป้ายหยกนี้
เสี่ยวมี่หรี่ตาลง “นายน้อยนี่ท่านคิดจะโยนบาปให้องค์หญิงนั่นใช่หรือไม่ ?”
“เสี่ยวมี่ เจ้านี่สมกับเป็นสัตว์ที่เลี้ยงมาด้วยอึด้วยฉี่จริง ๆ (หมายถึงเลี้ยงมาอย่างยากลําบาก) ตามคาดเจ้าเป็นผู้ที่รู้จักข้าดีที่สุด”
ไป๋เสี่ยวเฉินเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจ ปกติแล้ว เขาก็ทําเรื่องไม่ดีอยู่เสมอ จากนั้นก็โยนบาปให้ เสี่ยวมี่ ทว่าตอนนี้มีคนรับบาปแทนแล้ว ไยเขาจะไม่ใช้ประโยชน์จากนางเล่า
เสี่ยวมี่อึ้ง “นี่ท่านกล่าวผิดไปหรือไม่ ? น่าจะเป็นท่านมากกว่าที่ถูกเลี้ยงมาด้วยอึด้วยฉี่ มิใช่ข้า !”
“ข้าพูดไม่ผิด ย้อนกลับไปเมื่อครั้งเรารับเจ้ามาดูแลแรก ๆ หม่ามีของข้ายังไม่ได้พบกับอาจารย์ตาทั้งสาม นางก็ได้แต่พาเราออกหาอาหารรอบ ๆ บ้าน หากแต่หม่ามี้ไม่อนุญาตให้เรากินสัตว์อสูรแถวนั้น ที่แย่ที่สุดก็คือเจ้า เจ้าชู้จี้จุกจิกไม่ยอมกินผลไม้หรือแม้แต่ผักใด ๆ ที่เราหามาได้ ทําให้ข้าไม่มีทางเลือกอื่น ข้าเลยเอาอให้เจ้ากิน “
ครั้นได้ยินเรื่องนี้ สีหน้าของเสี่ยวมี่พลันดําคล้ำ หัวใจของมันเย็นยะเยือก
โอ๊ะโอ… นี่ข้าควรทําเช่นไร
ข้าอยากจะเอาหัวมุดดิน
พวกท่านทําอย่างนั้นได้เช่นไร เพราะตอนนั้นข้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“เหตุใดข้าถึงจําไม่ได้เลยล่ะ ?” มุมปากเสี่ยวมี่กระตุกหลายครั้ง เสียงของมันราวกับจะร้องไห้
ในฐานะผู้สืบทอดเผ่าพันธุ์เสือขาวผู้ยิ่งใหญ่ มันตกต่ำถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ?
“ผู้ใดใช้ให้เจ้าโง่เง่าเล่า ? เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากินอะไร” ไป๋เสี่ยวเฉินกล่าว
ถึงตอนนี้เสี่ยวมี่ร้องไห้ออกมาจริง ๆ นี่ท่านคิดว่าสัตว์อสูรทุกตัวจะเหมือนท่านงั้นหรือ ? ที่รู้ทุกเรื่องตั้งแต่แรกเกิด ทั้งยังแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ตั้งแต่มีอายุเพียงสองเดือน ! ฮือออออ
ป่านนี้แล้วข้ายังแปลงร่างไม่ได้เลย ! ฮือออออ….
“อ่า…นี่ก็ดึกมากแล้ว หากยังไม่ลงมือ ป๊ะป่าวายร้ายนั่นต้องรังแกหม่ามีข้าอีกแน่”
ว่าแล้วไป๋เสี่ยวเฉินก็แหงนหน้ามองท้องฟ้า เขาย่นหน้าผาก ทันทีที่เห็นว่าไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเขา เขาก็รีบเดินไปที่กําแพงอย่างระมัดระวัง
หลังจากพิงหลังแนบกําแพง สายตาของไป๋เสี่ยวเฉินก็ไปหยุดที่ต้นไม้ใกล้ ๆ กําแพง
ครั้งนี้ ข้าไม่ต้องคลานลอดผ่านรูสุนัขอีกแล้ว !
“ไปเลย เสี่ยวมี่”
เขาให้เสี่ยวมี่ปืนขึ้นไปบนกิ่งไม้ จากนั้นเขาก็แปลงร่างเป็นสุนัขจิ้งจอกขนสีขาวราวหิมะ กระโดดตามขึ้นไปบนต้นไม้ไต่ไปกระทั่งถึงยอด
หลังจากกระโดดอีกครั้ง ทั้งสองก็ลงจากกําแพงได้
ร่างเล็ก ๆ ของไป๋เสี่ยวเฉินลงมาถึงพื้นอย่างมั่นคง เขาตบอุ้งเท้าอ้วนกลมดังฟุบ ๆ แววตาของเขาฉายประกายเจ้าเล่ห์
“เสี่ยวมี่ เจ้าแยกไปทางนั้นไว ๆ”
เสี่ยวมี่ตัวสั่นเทา หากอ๋องคังรู้เรื่องนี้ จบเห่แน่ !
แต่ครั้นนึกถึงนายน้อยของมัน เสี่ยวมี่ก็ได้แต่กัดฟัน ควบทะยานไปอีกทางหนึ่ง
ย้อนกลับไปที่คฤหาสน์โบราณ
ใต้ต้นเถาว
มือของชายหนุ่มยึดต้นเถาชั่วแน่น ท่าทางของเขาแลดูคุกคามหญิงงามที่ไร้ตําหนิด้านล่าง
เส้นผมสีเงินยวงของเขาปล่อยสยายอย่างมีเอกลักษณ์
” ท่านอ๋อง แย่แล้ว !”
ในขณะที่ริมฝีปากสีแดงของชายหนุ่มเกือบจะได้ประทับลงบนริมฝีปากของไป๋หยาน เสียงเอะอะโวยวายก็ดังขึ้น
ชั่วอึดใจนั้น ใบหน้าของชายหนุ่มพลันอับเฉา แววตาของเขาหม่นหมอง ขณะกวาดมองคนที่เข้ามาขัดจังหวะ
“เกิดอะไรขึ้น ?”
องครักษ์ตัวสั่น เขาทรุดกายลงคุกเข่า “ทูลท่านอ๋อง ตําหนักถูกไฟไหม้ไฟไหม้หมดทั้งตําหนัก ข้าน้อยสั่งให้ทุกคนพยายามดับไฟ ทว่าไฟนั้นรุนแรงมาก กระทั่งเราไม่อาจควบคุมได้”
“ฮืม ?”
จุดไฟเผาตําหนักข้า ?
ไม่มีผู้ใดในเมืองนี้กล้าทําเช่นนี้ !
ทันใดนั้นเอง นัยน์ตาเรียวคมของทั้งพลันหันกลับไปที่ไป๋หยาน ริมฝีปากของเขายกยิ้ม