คนทั่วไปที่ได้พบเห็นต่างคิดไปว่า ไป๋หยานเพียงแค่สมถะขึ้น เนื่องจากการตายของมารดา หากแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าความจริงที่ซ่อนอยู่นั้นจะล้ำลึกกว่าที่คิดกันมากนัก
“พวกเจ้าอย่าได้ฟังถ้อยคำไร้สาระของนาง !” ไป๋จื่อไม่เสแสร้งแสดงตัวเป็นคนดีอีกต่อไป นางเท้าสะเอวพลางกล่าวออกมาด้วยความโกรธ “เสียแรงที่ข้าเมตตาช่วยปกป้องนาง นางยังกล้ากล่าววาจาใส่ร้ายท่านแม่ของข้า ไม่แปลกใจเลยที่ครานั้นนางกล้ากระทำเรื่องผิดศีลธรรม !” ไป๋จื่อกำหมัดแน่น ขณะส่งสายตาจ้องมองไปในทิศทางที่ไป๋หยานเดินจากไป
เจ้ากลับมาด้วยเหตุใด ? ยามนี้พี่สาวของข้าเป็นถึงพระชายาเอก อีกทั้งองค์รัชทายาทก็ยังหลงนางมาก ที่นี่ไม่มีที่เหลือพอสำหรับเจ้าแล้ว !
*****
การกลับมาของไป๋หยานในครั้งนี้ นางมิได้มาแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ทว่าตรงกันข้าม นางจงใจตกเป็นเป้าสายตาผู้คนมากสุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ทุกคนรับรู้ว่านางกลับมาแล้ว !
ไป๋เฉิงเซียงเองก็ตื่นตกใจกับเรื่องนี้ กระทั่งต้องรีบกลับบ้าน ทันทีที่เขากลับมาถึงบ้านสกุลไป๋ เขาก็เรียกประชุมคนในบ้าน จากนั้นก็ส่งคนไปตามไป๋หยานมาทันที
ทว่ารอเป็นนานแสนนาน ร่างงามก็มิปรากฏตัว กระทั่งเขาเริ่มจะหมดความอดทน หญิงสาวในอาภรณ์แดงจึงเยื้องกรายเข้ามาอย่างช้า ๆ ภายใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้าที่ส่องสว่างอยู่ภายนอก ชุดสีแดงที่สวยงามยิ่งขับเน้นให้ผู้สวมใส่งดงาม และเปี่ยมเสน่ห์มากยิ่งขึ้น หากเทียบกับร่างผอมแห้งก่อนหน้านี้แล้ว เรือนร่างของนางยามนี้แลดูสมส่วน ผมสลวยดุจแพรไหมกระจายไปทั่วแผ่นหลัง ลำคอของนางก็ขาวระหงราวหยกเนื้อดี เมื่อเห็นเช่นนี้ หยูหรง (แม่เลี้ยง) ที่นั่งถัดจากสามีของตนก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น หัวใจของหยูหรงเต็มไปด้วยความริษยา และยิ่งเจ็บปวดราวโดนเข็มทิ่ม
ส่วนตัวของหยูหรงเองนั้น นางได้ให้กำเนิดบุตรสาวสองคน ทว่ารูปลักษณ์ของทั้งสองก็ไม่อาจงดงามเทียบเท่านางแพศยาผู้นี้ โชคดีที่สวรรค์ยังมีเมตตา มอบเพียงรูปร่างหน้าตาที่งดงามให้ไป๋หยาน หากแต่สุขภาพร่างกายกลับอ่อนแอไม่ต่างจากขยะ หาไม่แล้วรั่วเอ๋อบุตรสาวคนโตของนางคงไม่มีทางที่จะได้อภิเษกสมรสกับองค์ชายรองหรอก
“หยานเอ๋อ…เจ้ากลับมาแล้วหรือ ?” หากแต่ไม่ว่าภายในใจของนางจะคิดเช่นไร บนใบหน้าของหยูหรงก็ยังคงมีรอยยิ้มเสแสร้งอยู่เสมอ “นับเป็นเรื่องดีที่เจ้ากลับบ้านเสียที เจ้ารู้หรือไม่ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ บิดาของเจ้าเป็นห่วงเจ้ามากเพียงใด เจ้าควรยอมรับผิดเสีย และก็ขอให้ท่านพ่ออภัยให้เจ้า“
“หรงเอ๋อ…เจ้าไม่ต้องพูดดีกับบุตรสาวอกตัญญูคนนี้หรอก” ไป๋เฉิงเซียงคำรามลั่นออกมาทันที “ไป๋หยาน คุกเข่าต่อหน้าข้าเดี๋ยวนี้ !”
คุกเข่า ?
ไป๋หยานยิ้มเย้ยหยันให้กับคำสั่งนั้นอย่างเย็นชา ก็ขนาดตอนที่นางไปเยี่ยมท่านอาจารย์ทั้งสาม พวกเขายังไม่กล้าให้นางคุกเข่าคารวะ แล้วคนอย่างไป๋เฉิงเซียงมีคุณสมบัติใด ?
“ข้าไม่ผิด เช่นนั้นข้าไม่จำเป็นต้องยอมรับผิดใด ๆ ทั้งสิ้น“
นางกลับมายังบ้านสกุลไป๋นี่ เพียงเพื่อมาพบไป๋เซียว…น้องชายของนาง ส่วนคนอื่น ๆ ในบ้านหลังนี้นั้น นางมิได้มีความรู้สึกใดนอกเสียจากความเกลียดชัง
“โอหัง… !” ไป๋เฉิงเซียงตวาด พร้อมกับตบโต๊ะเสียงดังลั่น เขาลุกขึ้นยืน สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความเจ็บปวด “เจ้ารู้หรือไม่ว่า เจ้านำความอับอายขายหน้ามาสู่ตระกูลของเรามากเพียงใด ? หากมิใช่เป็นเพราะหรงเอ๋อมารดาของเจ้าขอร้องไว้ ข้าคงจะตัดเจ้าออกจากสกุลไป๋ของเราไปนานแล้ว ! “
“ท่านพี่ ท่านอย่ากล่าวอีกเลย” หยูหรงรีบดึงแขนเสื้อของสามีด้วยท่าทางที่ดูน่าสมเพช “ข้าเป็นเพียงแม่เลี้ยงของนางเท่านั้น ไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใดล้วนไม่ดีพอสำหรับนาง ตรงกันข้ามข้ายังถูกตำหนิ เพราะเข้าไปยุ่งเรื่องของนางอีก“
ไป๋เฉิงเซียงยิ่งโกรธเกรี้ยว เขาปัดมือหยูหรงออก “นางไม่สำนึกในความผิดของตนด้วยซ้ำ มีประโยชน์ใดที่เจ้าจะคอยพูดแก้ต่างให้กับนาง ? ไป๋หยาน… เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านยายของเจ้าเสียใจกระทั่งเป็นลม ส่วนท่านแม่ของเจ้าก็ร้องไห้เพราะเจ้าทุกวัน ! ทว่าเจ้ากลับไร้หัวใจเช่นนี้ ! นับแต่นี้ไปตระกูลไป๋ไม่มีที่ว่างสำหรับคนเลือดเย็นเช่นเจ้าอีก ! “
ไป๋หยานเพียงหัวเราะเสียงต่ำ “ข้าไม่ทราบว่า ท่านยายที่ท่านกล่าวถึง จะหมายถึงท่านยายที่บ้านสกุลหลานหรือไม่ ? แต่หากเป็นหญิงชราที่อยู่เบื้องหน้าข้านี้ ข้าไม่ทราบว่านางเป็นยายของข้าตั้งแต่เมื่อใด ? ส่วนมารดาของข้า นางก็จากโลกนี้ไปนานแล้ว !”
***จบบท เนี่ยนะผู้ที่เรียกตนเองว่า…พ่อ (2)***