บทที่ 181 : นายน้อยสํานักเวชโอสถ
”นายน้อย… ” น้ำเสียงของผู้เฒ่าฟังดูอัดอั้นตันใจ “ครั้งที่คุณหนูหายตัวไป นางก็อยู่ในวัยเดียวกันนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นนาง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นอารมณ์ของชายวัยกลางคนก็เปลี่ยนเป็นหดหู่อีกครั้ง
ใช่แล้วแม่หนูคนนั้นดูอย่างไรอายุก็ไม่น่าเกินยี่สิบ ไม่มีทางเป็นคนที่เขาคิดแน่
“ทว่าหากมิใช่นางเหตุใดพวกนางทั้งสองถึงได้เหมือนกันเช่นนี้ เจ้าไปตรวจสอบภูมิหลังของนางมาให้ข้าที ข้าต้องการข้อมูลของนางไม่เกินพรุ่งนี้ ! แค่ก ๆๆ ….”
เมื่อหลายปีก่อนน้องสาวของเขาหายตัวไปเขาไม่มีข้อมูลใด ๆ มากพอที่จะเป็นความหวังว่าจะหานางพบได้เลย
หลังจากกล่าวจบชายวัยกลางคนก็เริ่มไออย่างรุนแรง เขายกมือขึ้นปิดปากแน่น และครั้นเขาแบมือออก บนมือของเขาก็ปรากฏรอยเลือดเปื้อนสองจุด
”นายน้อย… ” ชายสูงวัยรู้สึกปวดร้าวใจ “เราควรกลับไปที่สำนักเวชโอสถก่อน อย่างน้อยที่สุดเราก็ยังมีหมอปรุงยาหลายคนอยู่ที่สำนัก พวกเขาน่าจะช่วยรักษานายน้อยได้ ไหนจะท่านเจ้าสำนักอีก…”
ชายวัยกลางคนส่ายศีรษะพร้อมกับยิ้มอย่างขมขื่น”ข้ารู้ว่าหลายปีมานี้ ด้วยโรคภัยไข้เจ็บของข้า ทำให้ข้าไม่อาจออกจากสำนักเวชโอสถ นี่ข้าก็เหลือเวลาอีกไม่กี่ปี ข้าเพียงอยากใช้เวลาที่เหลือทำตามแต่ใจบ้าง…”
หากไป๋หยานยังอยู่ที่นี่เพียงอาศัยชื่อของ “สำนักเวชโอสถ” นางคงจะสามารถระบุตัวตนของชายผู้นี้ได้
บนแผ่นดินใหญ่นี้มีสามสำนักใหญ่ซ่อนเร้นอยู่
นั่นก็คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สำนักเวชโอสถ และตำหนักเซียนพยับหมอก
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์มีชื่อเสียงในเรื่องของการมากด้วยผู้มีวรยุทธในขณะที่ตำหนักเซียนพยับหมอกเลื่องลือในด้านลึกลับ ส่วนสำนักเวชโอสถก็มีชื่อเสียงทางด้านมีหมอปรุงยาจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่ที่นั่น
ยกเว้นพวกไม่ยอมใครบางจำพวกเช่นอาจารย์ทั้งสามของไป๋หยานหรือหมอปรุงยาอื่น ๆ ที่หัวแข็ง
แน่นอนว่าคนพวกนี้ไม่ใช่ประเภทที่จะสามารถรวมกลุ่มกับคนอื่นได้ หมอปรุงยาจากสำนักเวชโอสถค่อนข้างจะหยิ่งยโสเป็นอย่างมาก ทั้งที่ความแข็งแกร่งของพวกเขาด้อยกว่าคนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทว่าพวกเขากลับพยายามกดหัวหมอปรุงยาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ทุกครั้งที่มีการประชุมหมอปรุงยาอาจารย์ทั้งสามของนางก็ต้องมีอาการหงุดหงิดโมโหแทบทุกครั้งไป ด้วยเหตุนี้อาจารย์ทั้งสามแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์จึงสาบานว่า พวกเขาจะค้นหาศิษย์ที่มีพรสวรรค์เก่งกาจสักคน เพื่อเอาชนะพวกหมอจากสำนักเวชโอสถให้จงได้
เช่นนั้นพวกเขาจึงรับไป๋หยานไว้เป็นศิษย์….
”แค่กๆ !” ชายวัยกลางคนไอขึ้นอีกครั้ง ร่างกายของเขาอ่อนแอราวกับแค่เพียงสายลมก็สามารถทำให้เขาล้มลงได้ เขาพร้อมที่จะสิ้นใจได้ตลอดเวลา
ชายชรารีบหยิบยาออกมาเขาเอ่ยกล่าวพร้อมสายตาห่วงใย “นายน้อย ท่านกินยานี่ก่อนเถอะ อย่างน้อยก็…”
ก่อนที่ชายชราจะทันกล่าวจบชายวัยกลางคนก็ผลักมือของชายชราออกพร้อมกับยิ้มมุมปาก “สำหรับข้าแล้ว หากต้องอยู่อย่างเจ็บปวด สู้ตายเสียยังจะดีกว่า”
”นายน้อย..คุณหนูก็หายตัวไปคนหนึ่งแล้วท่านยังมาทำเช่นนี้ ท่านเจ้าสำนักจะไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพังกระนั้นหรือ ? นอกจากนี้ เรายังไม่พบตัวคุณหนูเลย… ”
ชายชรากล่าวอย่างขมขื่น
ชายวัยกลางตัวสั่น“ใช่แล้ว ตราบใดที่ข้ายังหาตัวนางไม่พบ ข้าจะตายไม่ได้…เช่นนั้นส่งยานั่นมาให้ข้า ข้าต้องมีชีวิตอยู่ ข้าต้องมีชีวิตอยู่จนกว่าจะได้พบนาง”
ที่สำคัญเด็กสาวคนนั้นอาจเกี่ยวข้องกับนางก็เป็นได้
*****
แน่นอนว่าไป๋หยานไม่รู้เรื่องที่ชายทั้งสองสนทนากันเลยแม้แต่น้อย
ทันทีที่นางไปถึงที่เกิดเหตุนางก็เห็นไป๋เฉิงเซียงกำลังต่อสู้กับผู้คุ้มกฏซ้าย
”พี่ใหญ่”ครั้นเห็นร่างที่คุ้นเคย นัยน์ตาของไป๋เซียวก็สว่างไสวขึ้นมาทันที
”เซียวเอ๋อพี่มาช้าไป เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง ? ” น้ำเสียงของนางฟังดูเสียใจขณะกล่าวคำ
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ตอนที่ผู้คุ้มกฏขวาไปหานาง ฮัวหลัวก็เพิ่งบอกนางว่าหมอตำแยที่รู้ความจริงทั้งหมดนั่นตายเสียแล้ว นางกระหายอยากรู้ความจริง จึงออกไปข้างนอก ทำให้ผู้คุ้มกฏขวาไม่อาจพบนางที่คฤหาสน์โบราณ
ครั้นหวนคิดถึงเรื่องที่หมอตำแยตายอย่างประหลาดและเรื่องที่ไป๋เซียวโดนคุกคาม ภายในใจของไป๋หยานก็ถูกเพลิงแห่งความโกรธเผาไหม้ สายตาเย็นชาของนางหันไปทางผู้คุ้มกฏซ้ายผู้ซึ่งกำลังต่อสู้กับไป๋เฉิงเซียง
”เกาอี้ถอยไป !”
***จบบทนายน้อยสำนักเวชโอสถ***