หยูฮูหยินไม่คิดเลยว่า จากกันแค่เพียงหกปี เด็กสาวผู้นี้จะกลายเป็นคนดื้อรั้น และน่าชิงชังได้ถึงเพียงนี้ นางรู้สึกโมโหเป็นกำลัง กระทั่งน้ำตาไหลพรั่งพรูออกมา
“ข้านี่มันโง่จริง ๆ เอาแต่ห่วยใยลูกหมาป่า*เช่นเจ้ามานานหลายปี ที่สุดแล้วกลับต้องมาพบกับความอกตัญญูเช่นนี้ เอาล่ะ เฉิงเซียง ในเมื่อบุตรสาวของเจ้าไม่อยากให้ข้าอยู่บ้านสกุลไป๋ เช่นนั้นข้าก็จะไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ !”
*ลูกหมาป่า หมายถึงคนเนรคุณ
นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน ไป๋เฉิงเซียง กตัญญูต่อป้าของเขาไม่ต่างจากมารดาผู้ให้กำเนิด ครั้นได้ยินเสียงร้องห่มร้องไห้ของหญิงชรา เขาก็ยกเท้าเตะเข่าของไป๋หยานทันที
“คุกเข่าคำนับขอโทษท่านยายของเจ้าเดี๋ยวนี้ !” ไป๋หยานปรายตามองการกระทำนั้นอย่างเย็นชา ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบปลายเท้าของไป๋เฉิงเซียง
ไป๋เฉิงเซียงจึงเตะเพียงอากาศที่ว่างเปล่า นั่นทำให้ความโมโหของเขาเพิ่มทวีคูณขึ้นเป็นสองเท่า “ไป๋หยาน วันนี้หากเจ้าไม่ต้องการขอโทษข้าก็ไม่เป็นไร ทว่าอย่างไรเสียเจ้าก็ต้องขอโทษท่านแม่ และท่านยายของเจ้า เจ้าต้องคุกเข่าบนพื้น จนกว่าพวกเขาจะยกโทษให้เจ้า ! “
“ไป๋เฉิงเซียง หากข้าบอกว่าเมื่อหกปีก่อน ไป๋รั่ววางแผนทำร้ายข้า ส่วนมารดา และยายของนางก็ขายข้าให้ไปเป็นอนุภรรยาของเจ้าบ้านสกุลเฉียน นั่นคือเหตุที่ว่าไยข้าต้องหนีจากไป เช่นนี้แล้วท่านยังบังคับให้ข้าขอโทษพวกนางอีกกระนั้นหรือ ?”
ไป๋หยานกล่าวเช่นนี้ เจตนาเพื่อให้ไป๋เฉิงเซียงรู้ตัวว่าเขาโหดร้ายกับนางมากเพียงใด
ทว่าถ้อยคำถัดมาของไป๋เฉิงเซียงก็ทำให้นางเข้าใจลึกซึ้งถึงคำกล่าวที่ว่า “ทันทีที่มีแม่เลี้ยงก็จะมีพ่อเลี้ยงตามมาด้วย“
“ไป๋หยาน โอ้…ไป๋หยาน ข้าผิดหวังในตัวเจ้าจริง ๆ เหตุใดเจ้าจึงกลายเป็นคนเลวเช่นนี้ไปได้ ? รั่วเอ๋อดีกับเจ้ามากเพียงใด เหตุใดเจ้ายังบอกว่านางวางแผนให้ร้ายเจ้า ? หรงเอ๋อกับท่านยายรัก และเอ็นดูเจ้าราวกับลูก ราวกับหลานแท้ ๆ ทว่าเจ้ากลับตอบแทนพวกนางด้วยการเนรคุณ”
แววตาของไป๋เฉิงเซียงเต็มไปด้วยความผิดหวัง แท้ที่จริง ทันทีที่เขาได้ยินว่าไป๋หยานกลับมาในวันนี้ จิตใจของเขาก็ปรากฏประกายแห่งความหวังขึ้นทันที
หากเพียงนางคุกเข่า ยอมรับผิดต่อหน้าเขา เขาก็จะอภัยให้นาง
คาดไม่ถึงว่า หญิงสารเลวนี่ไม่เพียงแต่จะไม่รับผิด นางยังใส่ร้ายคนอื่นเป็นการแก้ตัวอีกด้วย !
“ใครก็ได้ เอาไม้พลองวินัยประจำตระกูลมาให้ข้าที !” ใบหน้าของไป๋เฉิงเซียงแลดูเข้มขึ้น ขณะกล่าวคำอย่างเคร่งขรึม “ไป๋หยาน ที่ข้าตีเจ้า ก็เพื่อตัวเจ้าเอง หาไม่แล้วเจ้าก็จะไม่รู้จักกลับตัวกลับใจ !”
แววตาของไป๋หยานเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ข้าจะรอดูสิว่าผู้ใดกล้าแตะต้องข้า“
ถ้อยคำของนางแผ่กลิ่นอายที่ทรงพลังอย่างยิ่ง กระทั่งทำให้ยามผู้กำลังเดินเข้าประตูมาถึงกับตัวแข็งทื่อยืนนิ่ง ณ บริเวณทางเข้า ทิ้งไป๋เฉิงเซียงให้ยืนใกล้กับจุดศูนย์กลางของความกดดันนั้นแต่เพียงลำพัง จนแทบจะหายใจไม่ออกชั่วครู่หนึ่ง !
“เจ้ามัวทำสิ่งใดอยู่ เอาไม้พลองวินัยมาให้ข้า ข้าจะสอนบทเรียนให้เด็กเนรคุณคนนี้ !” เพียงไม่นานไป๋เฉิงเซียงก็กัดฟัน ก่อนจะตวาดออกมาด้วยความโกรธ
ขณะที่ยามกำลังจะดำเนินการตามคำสั่ง เด็กหนุ่มในอาภรณ์ขาวก็เข้ามาขวางทางของยามไว้
“เซียวเอ๋อ… เจ้ามาที่นี่ทำไม ?” ครั้นไป๋เฉิงเซียงเห็นเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตู ทีท่าของชายวัยกลางคนก็ดูดีขึ้นกว่าตอนแรกเล็กน้อย หากแต่ก็ยังหน้านิ่วคิ้วขมวดขณะเอ่ยถาม
เด็กหนุ่มไม่ตอบ เพียงแต่เดินเงียบ ๆ เข้าไปด้านใน เขาเดินเข้าไปหาไป๋หยาน ท่าทางของเขาแลดูเย็นชา เย็นชาไม่ต่างกับก้อนน้ำแข็งที่ไร้ความรู้สึก กระทั่งเสื้อผ้าของเขาก็คล้ายจะมีไอเย็นแผ่ปกคลุมอยู่
“ท่านเคยกล่าวว่า ท่านได้ขับไล่นางออกจากบ้านสกุลไป๋แล้ว นั่นย่อมหมายความว่า ท่านไม่อาจใช้ไม้พลองวินัยประจำตระกูลเราลงโทษนางได้อีก” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเย็นยะเยือก นับแต่เขาเดินเข้ามา เขาไม่มองหน้าไป๋หยานเลยแม้แต่น้อย
ขณะที่ไป๋หยานเองก็เอาแต่มองตามเขาทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ในสายตาของนาง เด็กหนุ่มไร้เดียงสาคนเดิมได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ยามนี้เขากลายเป็นคนเฉยเมยอีกทั้งเย็นชาอย่างมาก นั่นยิ่งทำให้นางรู้สึกสะเทือนใจ…
หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้าไม่รู้ว่าน้องชายของข้าต้องพบเจอสิ่งใดบ้าง ไยเด็กที่แสนใจดี และอ่อนโยนเช่นนั้น จึงกลับกลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจเช่นนี้ไปได้
***จบบท เนี่ยนะผู้ที่เรียกตนเองว่า…พ่อ (3)***