นายท่านอาวุโสบ้านสกุลหลานยังคงนิ่งไม่ไหวติง เขาทำราวกับไม่ได้ยินคำรายงานของสาวใช้ ทว่าอย่างไรก็ตามปลายหางตาของเขากลับเหลือบแลมองประตูทางเข้าอย่างเห็นได้ชัด
ภายใต้แสงเจิดจ้าของดวงตะวัน ร่างอันงดงามของไป๋หยานพลันปรากฏต่อสายตาของพวกเขา
หลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าไป๋หยานจะไม่เคยย่างก้าวเข้ามาในบ้านสกุลหลานเลย ทว่าหลานหยูก็เคยมีโอกาสได้เห็นหลานสาวของตนอยู่หลายครั้ง
ครานั้น ไป๋หยานรูปร่างผอมบาง ตัวเล็ก ทั้งดูเป็นเด็กขี้ขลาด นางมักจะหลบอยู่ข้างหลังไป๋เซียวซึ่งตัวเตี้ยกว่านางเสมอ นางไม่กล้าแสดงตัวเท่าใดนัก
ทว่าหญิงสาวที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าเขายามนี้ แม้รูปร่างของนางจะยังคงผอมบาง หากแต่เขาก็ไม่พบความขลาดกลัวในตัวของนางเลยแม้แต่น้อย
หลานหยูทอดถอนใจ ดูท่าหลานสาวของเขาจะเปลี่ยนไปมาก นับแต่ออกจากบ้านสกุลไป๋ เขาไม่เคยคิดเลยว่าช่วงเวลาแค่ 6 ปีจะทำให้คนเปลี่ยนแปลงไปได้มากมายถึงเพียงนี้
“ฮึ !” ท่านผู้เฒ่าหลานกวาดสายตาไปทางไป๋หยาน พลางกล่าวอย่างเย็นชาขึ้นว่า “ผู้ใดบอกให้เจ้าพาหญิงผู้นี้มาหาข้า ข้าไม่อยากเห็นหน้านาง !“
หลานฮูหยินผู้เฒ่ามองสามีด้วยแววตาดุดันก่อนจะกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะออกไปพร้อมกับหยานเอ๋อเสียตอนนี้เลย ! ข้าไม่อยากให้หลานสาวของข้าต้องมาฟังเสียงโวยวายของเจ้าทันทีที่นางมาถึง !
กล่าวจบ หลานฮูหยินผู้เฒ่าก็หันหลังกลับ มือของนางโอบไป๋หยานให้เดินไปกับนาง “หยานเอ๋อ ไปกันเถอะ อย่าไปสนใจตาแก่คนนี้เลย !“
“เจ้า … ” ท่านผู้เฒ่าอ้าปากค้าง พร้อมกับไอแค่ก ๆ หอบตัวโยน และเช่นเคย หลานหยูรีบวิ่งไปลูบหลังของชายชราอย่างว่องไว
ชายชราค่อยทุเลาความโมโห ใบหน้าของเขาแดงก่ำขณะกล่าวว่า “เฮอะ เอาเถอะ ! ไหน ๆ นางก็กลับมาแล้ว หากข้าไล่นางไป ชาวบ้านจะว่าเอาได้ ว่าข้าใจดำ ! ข้าจะฝืนใจให้นางอยู่ที่นี่ต่อไปก็แล้วกัน”
เหตุใดหลานฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่รู้จักนิสัยของสามีตนเอง นางเพียงแค่แสดงละครว่าจะออกไปก็เท่านั้น หากไม่ทำเช่นนี้ ตาเฒ่าจอมรั้นของนางก็ไม่ยอมเลิกใส่หน้ากากตีหน้ายักษ์เสียที
“หยานเอ๋อ ท่านตาของเจ้าน่ะ ปากอย่างใจอย่าง เมื่อครู่ตอนที่รู้ว่าเจ้ากลับมา เขาก็รีบเรียกยายเฒ่าซุนให้ไปรับเจ้าทันที ทว่าตอนนี้พอเจ้ามาถึงที่นี่ เขากลับแสร้งตีหน้าดุ อีกทั้งยังขับไล่ไสส่งเจ้า”
หญิงชราอธิบายให้ไป๋หยานรับรู้ พร้อมรอยยิ้มที่ระบายเต็มใบหน้า นางไม่อยากให้หลานสาวเข้าใจผิด และหนีออกจากบ้านสกุลหลานไปเผชิญความยากลำบากอีก เพียงหลานสาวของนางกลับมา นางก็สบายใจขึ้นมากแล้ว
“ท่านลุง ข้าขอดูอาการป่วยของท่านตาหน่อยจะได้หรือไม่ ?” ไป๋หยานหันไปหาหลานหยู พร้อมเอ่ยถาม
หลานหยูนิ่งอึ้ง ทว่าเขาก็ไม่เสียเวลาคิดมากนัก เขาพยักหน้า พร้อมกล่าวว่า “เจ้าเข้ามาดูได้ตามสบาย ท่านพ่อล้มป่วย เราเองก็พยายามรักษากระทั่งจนปัญญาแล้ว … “
ครั้นหลานหยูกล่าวจบ ไป๋หยานเองก็ไม่รอช้า นางรีบเดินเข้าไปหาท่านผู้เฒ่าที่เตียง ภายหลังจากตรวจอาการคร่าว ๆ นางก็วิเคราะห์ได้ว่า
“ร่างกายของท่านตาทรุดโทรมมาก อวัยวะภายในของท่านกำลังจะหมดสภาพลงอย่างช้า ๆ หากมิได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ท่านอาจจะอยู่ได้ไม่เกินสองถึงสามปี“
หลานหยูใจเต้นแรง เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มระคนแปลกใจ “เป็นเช่นที่เจ้าว่ามาจริง ๆ ข้าเคยพาซินแสมาตรวจอาการท่านพ่อ พวกเขาล้วนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันไม่ต่างกับเจ้า ทั้งยังบอกว่ามีเพียงยาเม็ดจิตวิญญาณขั้นสี่เท่านั้นที่สามารถช่วยท่านพ่อได้ ทว่าเราจะหายาที่มีมูลค่าสูงเช่นนั้นได้อย่างไร ? ต่อให้เป็นคลังหลวงก็ยังมีเพียงไม่กี่เม็ด… “
เมื่อหลายปีก่อน บ้านสกุลหลานอาจสามารถซื้อยาเม็ดจิตวิญญาณอันล้ำค่า กระทั่งส่งให้เป็นของหมั้นหมายของหลานเยี่ย ทว่ายานั่นก็เป็นเพียงยาเม็ดจิตวิญญาณขั้นสาม แม้ว่ายาเม็ดจิตวิญญาณขั้น 3 และขั้น 4 จะต่างกันเพียง 1 ขั้น หากแต่ราคานั้นกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว
นอกจากนี้ หมอยาที่สามารถปรุงยาเม็ดจิตวิญญาณขั้น 4 ได้ ทั่วเมืองหลิวฮั่วนี้ก็มีเพียงไม่กี่คน
ไป๋หยานมองหลานหยู ก่อนจะหันไปมองท่านผู้เฒ่า และฮูหยินผู้เฒ่า นางขยี้จมูกตนเองอย่างเขิน ๆ ก่อนจะกล่าวว่า
“โชคไม่ดีเลย ถึงข้าจะมียาเม็ดจิตวิญญาณขั้นสี่อยู่ก็จริง ทว่ามันเป็นยาที่อาจารย์ของข้าเป็นผู้ปรุงกลั่นขึ้นในระหว่างการฝึกฝน เช่นนั้นประสิทธิภาพของยาก็อาจจะธรรมดา ๆ ไม่นับว่าดีเลิศนัก หากแต่ก็น่าจะสามารถช่วยรักษาอาการท่านตาได้”
***จบบท ยาเม็ดจิตวิญญาณขั้นสี่ (2)***