หลังจากกล่าวจบ ไป๋เซียวก็มองสองแม่ลูกด้วยสายตาอิดออด ก่อนจะหันหลังเดินออกจากเรือนอย่างไม่เต็มใจ
“อ๊า…”
หลังไป๋เซียวจากไปแล้ว ไป๋เสี่ยวเฉินก็ตบหน้าผากตนเองดังผลัวะ “ข้าลืมมอบของขวัญให้ท่านน้า ไว้ข้าค่อยให้เขาครั้งหน้าก็แล้วกัน”
ตั้งแต่ไป๋เสี่ยวเฉินมาถึงอาณาจักรหลิวฮั่ว เจ้าอันธพาลตัวน้อยก็ได้เตรียมของขวัญไว้ให้ไป๋เซียวแล้ว เขาตั้งใจจะมอบเป็นกำนัลสำหรับวันแรกพบ ทว่าเขากลับลืมเสียนี่
“เฉินเอ๋อ แม่จะอยู่ที่บ้านสกุลหลานอีกสองสามวัน เช่นนั้นหากป้าฮัวมา บอกนางให้ไปหาแม่ที่บ้านสกุลหลานด้วย“
ไป๋หยานขมวดคิ้ว นางมาถึงเมืองหลิวฮั่วได้ครู่ใหญ่แล้ว ทว่าน่าแปลกที่หอบุปผายังไม่ส่งคนมาพบนางเลย
*****
เวลาเดียวกันนี้ ภายในห้องหนังสือของบ้านสกุลไป๋ หยูหรงกำลังมองไป๋เฉิงเซียง นางยกน้ำชาให้สามีผู้เงียบขรึม พร้อมกล่าวว่า “ท่านพี่ ท่านอย่าหักโหมนักเลย พักผ่อนบ้างเถิด“
“หรงเอ๋อ เจ้าไปเตรียมของขวัญให้ข้าหน่อยสิ ข้าต้องไปเยี่ยมใครบางคน“
“ท่านพี่ ?” นัยน์ตาของหยูหรงเต็มไปด้วยความสับสนน้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความสงสัย
“ข้าได้ยินมาว่า เมื่อไม่นานมานี้เจ้าหอบุปผาคนใหม่ได้ซื้อคฤหาสน์ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของสำนักเงาจันทร์“
หยูหรงตกตะลึง นางมองสามีอย่างประหลาดใจ
นางเคยได้ยินเกี่ยวกับพรรคเงาจันทร์ และหอบุปผามาก่อน
หากมองเพียงผิวเผินพรรคเงาจันทร์ และหอบุปผาอาจดูคล้ายไร้อิทธิพล ทว่าแท้จริงแล้ว ทั้งสองล้วนมีฐานอำนาจเทียบเท่าราชสำนัก
พรรคเงาจันทร์คือพรรคซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นองค์กรมืดที่รับงานชั่วช้าทุกประเภท ทั้งไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธว่าพรรคนี้คือพรรคอันตรายที่มีชื่อเสียงเลื่องลือด้านการลอบสังหาร ขณะหอบุปผาคือสถานเริงรมย์ที่มากมายด้วยสตรีผู้มอบความบันเทิงให้บรรดาแขกเหรื่อ หากแต่สถานที่นี้คือแหล่งรวบรวมข้อมูลข่าวสารที่ยอดเยี่ยมที่สุดจากทั่วหล้า
ส่วนเหตุที่ไป๋เฉิงเซียงรู้ว่าคฤหาสน์หลังนี้ถูกเปลี่ยนมือ นั่นก็เป็นเพราะตอนแรกที่เขาซื้อบ้านสกุลไป๋ ก็ด้วยว่าบ้านหลังนี้ตั้งอยู่ใกล้กับพรรคเงาจันทร์ และเขาก็หวังที่จะใกล้ชิดสนิทสนมกับพรรคเงาจันทร์นั่นเอง หากผู้ใดจะคิดว่านับแต่ซื้อมา คนของพรรคเงาจันทร์กลับไม่เคยปรากฏตัวให้เห็นเลย แล้วมาวันนี้ยังเปลี่ยนมือไปเป็นของเจ้าหอบุปผาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยอีก
“ท่านพี่ ท่านว่าเราควรมอบสิ่งใดให้เป็นของกำนัลแก่เจ้าหอบุปผาดีล่ะ ? ” หยูหรงเข้าใจความสำคัญของเรื่องนี้ นางจึงเอ่ยถามอย่างเคร่งขรึม
“เจ้าตัดสินใจเองเถอะ ข้าเชื่อในการตัดสินใจของเจ้า“
ไป๋เฉิงเซียงยิ้มน้อย ๆ ทว่าทันทีที่เขากล่าวจบ ประตูห้องหนังสือพลันเปิดออก เด็กสาวผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา นางถลาเข้าสู่อ้อมกอดของเขา
“จื่อเอ๋อ เกิดอะไรขึ้น ?”
ไป๋เฉิงเซียงเอ็นดูบุตรสาวผู้นี้มาก เขาไม่เพียงแต่ไม่ตำหนิที่จู่ ๆ นางก็พรวดพราดเข้ามา ทั้งยังสอบถามนางอย่างอ่อนโยนอีกด้วย
“ท่านพ่อ” ไป๋จื่อเงยหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา “ไป๋เซียวไปติดพันแม่ม่ายลูกติด ! ทั้งวันนี้เด็กสารเลวลูกของนังผู้หญิงคนนั้นก็กลั่นแกล้งข้าด้วย ทั้ง ๆ ที่ไป๋เซียวเองก็รู้ หากแต่เขาก็ยังเข้าข้างเด็กเหลือขอนั่น ! เห็นหน้าข้าหรือไม่ ? ที่บาดเจ็บนี่ ก็เป็นเพราะพวกเขานั่นแหละ !“
ครั้นไป๋เฉิงเซียงเห็นรอยข่วนบนใบหน้าของบุตรสาวสุดที่รัก เขาก็โมโหอย่างที่สุด เขากล่าวว่า เซียวเอ๋อ ! กล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร เขากลับมาถึงเมื่อใด ให้มาพบข้าทันที !”
นัยน์ตาของไป๋จื่อวาววับอย่างเหี้ยมโหด เพียงคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ นางก็อยากจะฉีกเด็กสารเลวนั่นออกเป็นชิ้น ๆ แล้ว
“ส่วนเด็กสารเลวนั่น ! ท่านพ่อ ท่านต้องจับมันมาให้ข้า ข้าจะตอบแทนมันอย่างสาสมเลย !“
“ไม่ต้องกังวล พ่อจะจัดการเรื่องนี้ให้เจ้าเอง” ใบหน้าของไป๋เฉิงเซียงเขียวคล้ำ เขากำหมัดแน่นด้วยความโกรธ
เขาเองก็ไม่ได้ชอบใจไป๋เซียวมานานแล้ว หากมิใช่เป็นเพราะเด็กเนรคุณนั่นเป็นบุตรชายเพียงผู้เดียวของเขาแล้วล่ะก็ เขาก็คงจะไม่ตามใจบุตรชายคนนี้มานานหลายปีหรอก
ทว่าตอนนี้เด็กนั่นกลับเข้าข้างคนนอก ช่วยกันรังแกน้องสาวของตนหากเขาไม่ให้บทเรียนที่รุนแรงกับเด็กนั่นเสียบ้าง เขาก็ไม่ควรเป็นคนสกุลไป๋ !
“ท่านพี่ ใจเย็น ๆ ก่อน” หยูหรงลูบอกสามี เพื่อให้เขาผ่อนคลาย“เซียวเอ๋อ อย่างไรเสียก็เป็นบุตรชายของท่าน ตอนนี้ไป๋หยานกลับมาแล้ว ทั้งบ้านสกุลหลานก็กำลังจะจัดงานเลี้ยงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า นอกจากนี้ไป๋เซียวก็คงต้องไปร่วมงานด้วย หากมีคนเห็นเขาได้รับบาดเจ็บ คนอื่นจะไม่เข้าใจท่านผิดกระนั้นหรือ ?”
***จบบท งานเลี้ยงอาหารค่ำ (2)***