ไป๋เฉิงเซียงคลายคิ้วที่ขมวด ทว่าความโกรธของเขายังยากที่จะขจัดให้หายไปได้
“ฮึ ก็ได้ หากแต่ไป๋เซียวต้องไปนั่งสำนึกผิดที่หอบรรพชน หลังจบงานเลี้ยงแล้ว ข้าค่อยจัดการกับเด็กเหลือขอนั่นอีกที”
สิ่งที่หยูหรงกล่าวมานั้นถูกต้อง หากไป๋เฉิงเซียงกระทำรุนแรงกับเด็กหนุ่มในตอนนี้ ผู้อื่นจะต้องมองว่าเขาเป็นบิดาใจร้ายที่ทำร้ายบุตรของตนเอง
หากทว่าเมื่องานเลี้ยงเลิกลาแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจผู้ใดอีกต่อไป
*****
ทางด้านไป๋เซียว ภายหลังออกมาจากบ้านของไป๋หยาน เขาก็ยังมิได้กลับบ้านของตนเองในทันที ไป๋เซียวไปเยี่ยมบ้านสกุลหลาน เพื่อแจ้งท่านยายให้ทราบถึงความต้องการของไป๋หยาน เมื่อเสร็จภารกิจเขาจึงกลับบ้านสกุลไป๋
แน่นอนว่า ทันทีที่เขาก้าวผ่านประตูบ้าน ไป๋เซียวก็ได้รับแจ้งจากบ่าวรับใช้ว่า เขาต้องไปคุกเข่าสำนึกผิดที่หอบรรพชน หากเป็นเมื่อก่อนแล้ว เขาจะต้องต่อต้านคำสั่งนี้ ทว่าด้วยอารมณ์ในตอนนี้ของเขา เขาเพียงยิ้มเยาะไม่กล่าวคำใด จากนั้นเขาก็เดินไปที่หอบรรพชน
ในความคิดของเขา การไปนั่งคุกเข่าในหอบรรพชนยังจะดีเสียกว่า การต้องเผชิญหน้ากับคนบ้านสกุลไป๋
เพียงผ่านมาได้ไม่กี่วัน ข่าวการจัดงานเลี้ยงต้อนรับไป๋หยานของบ้านสกุลหลานก็แพร่สะพัดอย่างกว้างขวาง ตระกูลผู้มีอำนาจทั้งหลายต่างก็ได้รับเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้
แน่นอนว่า ในฐานะอดีตคู่หมั้น หนานกงอี้เองก็ได้รับทราบข่าวนี้ เขาคิดว่าอย่างไรเสียบ้านสกุลหลานจะต้องส่งเทียบเชิญให้เขาเป็นแน่ ทว่ากระทั่งถึงคืนวันงาน เขาก็ยังไม่ได้รับเทียบเชิญ
“องค์รัชทายาท…”
น้ำเสียงอ่อนหวานบาดใจดังขึ้นจากด้านหลัง ครั้นหนานกงอี้กลับมารู้สึกตัว และรู้ว่านางเป็นใคร เขาก็ดึงหญิงสาวเข้าสู่อ้อมกอดอย่างนุ่มนวล “ที่รักของข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าไป๋หยานกลับมาแล้ว ?”
หนานกงอี้สัมผัสได้ทันทีว่าร่างของภรรยาแข็งทื่อขึ้นทันใด หัวใจของเขาพลันเครียดเกร็งด้วยความเจ็บปวด “ข้ารู้ว่ายามที่เจ้าอาศัยอยู่ในบ้านสกุลไป๋ เจ้าเต็มไปด้วยความคับข้องใจมากมาย ทว่าไม่ต้องกลัวสิ่งใดแล้ว หากข้ายังอยู่ ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถทำร้ายเจ้าได้อีก”
“ฝ่าบาท” ไป๋รั่วก้มหน้าลง จากนั้นก็เริ่มร่ำไห้ “นิสัยของไป๋หยานทั้งดุร้าย ทั้งเหี้ยมโหด และยิ่งนางทั้งรักทั้งหลงในตัวฝ่าบาท ไม่มีทางที่นางจะให้อภัยหม่อมฉัน ที่หม่อมฉันแย่งพระองค์มาจากนาง”
“รั่วเอ๋อ เจ้ากล่าวอันใดไร้สาระ เจ้าจะแย่งข้ามาจากนางได้อย่างไร ? เราต่างก็รักกัน ไป๋หยานไม่มีสิทธิ์กล่าวเช่นนั้น” หนานกงอี้นิ่วหน้า เห็นได้ชัดว่า เขาไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีนักต่ออดีตคู่หมั้น “ยิ่งไปกว่านั้น ยามนี้สถานะของเจ้าก็คือพระชายาเอกขององค์รัชทายาท ทั้งยังเป็นพระมารดาของลูกข้า เว้นแต่ฮองเฮาท่านแม่ของข้าแล้ว ก็ไม่มีสตรีใดเหนือไปกว่าเจ้า อีกทั้งหลินเอ๋อลูกของเราก็วาสนาสูงส่ง เหตุใดเจ้าต้องกลัวเกรงนาง ? “
“หาใช่เช่นนั้นไม่” ไป๋รั่วแสร้งยิ้มอย่างขมขื่น พร้อมกับส่ายศีรษะอย่างแรง
“หม่อมฉันรู้จักนิสัยของไป๋หยานดีที่สุด เมื่อนางรู้ว่านางอยู่ในฐานะเสียเปรียบ นางมักจะชอบกล่าววาจาบิดเบือนความจริง อีกทั้งนางไม่เคยลังเลเลยที่จะกล่าวโทษคนในตระกูลหม่อมฉัน เช่น เมื่อนางเสียความบริสุทธิ์ นางก็พยายามใส่ร้ายหม่อมฉัน หาว่าหม่อมฉันเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ ยังมีอีกเรื่อง ครั้งที่นางหนีออกจากบ้านเมื่อหกปีก่อน นางก็บอกว่า เป็นเพราะมารดาของหม่อมฉัน พยายามจะขายนาง ตั้งแต่เล็กจนโตนางมักจะโยนความผิดให้ผู้อื่นเสมอ”
ครั้นหนานกงอี้ได้ยินถ้อยคำโป้ปดหลอกลวงเหล่านี้ ใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ คล้ำลง นัยน์ตาของเขาพลันร้อนแรงด้วยความโกรธ
“ที่รักของหม่อมฉัน … ” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ไป๋รั่วก็กุมมือของชายหนุ่มอย่างรักใคร่ “หม่อมฉันไม่สนใจหรอกว่าโลกจะกล่าวถึงหม่อมฉัน เช่นไร หม่อมฉัน สนใจเพียงฝ่าบาทคิดกับหม่อมฉัน และโอรสของเราเช่นไรเท่านั้น ตราบใดที่ฝ่าบาทยังเชื่อมั่นในตัวหม่อมฉัน นั่นก็เพียงพอแล้ว”
ด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมด้วยความรัก ทำให้ใบหน้าอันมืดมนของหนานกงอี้ค่อย ๆ คลี่คลายลง “รั่วเอ๋อ ข้าจะไม่เชื่อเจ้าได้อย่างไร ? และจะไม่เชื่อบ้านสกุลไป๋ได้เช่นไรกัน ? ไป๋หยานเป็นคนเลวทรามต่ำช้า เจ้านั้นทั้งอ่อนโยนทั้งแสนใจดี แน่นอนว่าทุกคนในอาณาจักรย่อมต้องเชื่อเจ้า ผู้ใดจะเชื่อว่าบ้านสกุลไป๋จะขายลูกของตนเอง ไร้สาระ … “
หนานกงอี้ยิ้มเหยียดหยัน ก่อนจะเอ่ยวาจาส่อเสียดประชดประชัน “บ้านสกุลไป๋ออกจะร่ำรวย จะขาดเงินทองกระทั่งต้องขายนางเชียวหรือ ? ทั้งนางก็มิใช่สาวพรหมจรรย์ ข้าคิดว่า ไม่น่าจะมีผู้ใดยอมเสียเงินแม้จะเพียงแค่สองสามเหรียญ เพื่อแลกกับตัวนาง”
“สวามี …”
เสียงของไป๋รั่วละลายหัวใจของหนานกงอี้กระทั่งอ่อนระทวย เขามองหญิงสาวที่ซุกหน้าแนบอกตน เอ่ยกล่าวเบา ๆ อย่างอ่อนโยนว่า “รั่วเอ๋อ อีกไม่นานข้าจะต้องไปเยือนบ้านสกุลหลาน”
***จบบท งานเลี้ยงอาหารค่ำ (3)***