ไป๋รั่วเงยหน้าขึ้นมองหนานกงอี้ แววตาของนางแลดูตึงเครียดเล็กน้อย หลังจากได้ยินประโยคดังกล่าว“หม่อมฉันคิดว่า พระองค์คงมีพระประสงค์จะพบไป๋หยานใช่หรือไม่เพคะ ? อย่างไรเสียไป๋หยานก็เป็นสตรีที่งดงามที่สุดในอาณาจักรของเรา หากพระองค์มีพระประสงค์จะรับนางเป็นสนม หม่อมฉันก็ไม่คัดค้านเพคะ”
“รั่วเอ๋อ เจ้าใจดีเกินไป” หนานกงอี้จูบหน้าผากนาง แม้ในใจของเขาจะยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่บ้างก็ตามที “อย่าห่วงเลย ข้าไม่มีวันชายตามองหญิงที่สูญเสียพรหมจารีไปแล้วเช่นนั้นหรอก และข้าไม่มีวันปล่อยให้นางมาทำให้เจ้าเสียใจอีก ข้าเพียงอยากเห็นสภาพอันน่าหดหู่ของนาง หลังจากไม่ได้พบกันนานหลายปีมากกว่า ! เวลากว่าห้าปีที่ผ่านมานี้คงทำให้นางทรุดโทรมลงไปไม่น้อย
ในครานั้นแม้ไป๋หยานจะแลดูผอมบาง ทว่าก็มิได้ผอมแห้งซีดเซียว ในทางกลับกัน นางกลับงามมาก ผิวของนางแวววาว ขาวกระจ่างเฉกเช่นผิวที่มีสุขภาพดีมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ นางต้องดูแลลูกแต่เพียงลำพัง ต้องมีสภาพความเป็นอยู่ที่น่าสังเวช ความงามของนางย่อมจะมลายหายไปไม่เหมือนไข่มุกที่เปล่งประกายงดงามเฉกเช่นเคย
ครั้นได้ยินคำปลอบประโลม ไป๋รั่วก็ตอบกลับพร้อมยิ้มรับ “เช่นนั้น หม่อมฉันจะรอพระองค์กลับมา … “
หนานกงอี้จุมพิตแก้มไป๋รั่ว ก่อนจะลงจากเตียง ขณะที่ไป๋รั่วเองก็ชม้ายชายตาให้อย่างมีเสน่ห์
หนานกงอี้ตะโกนสั่งออกไปว่า “พวกเจ้า ไปเตรียมรถม้าให้ข้า ข้าจะไปเยี่ยมบ้านสกุลหลาน !”
การที่บ้านสกุลหลานไม่ส่งเทียบเชิญข้า คงเป็นเพราะไม่อยากให้ไป๋หยานต้องรื้อฟื้นความเจ็บปวดกับรักครั้งเก่า หากเป็นเช่นนั้น ข้ายิ่งต้องไปเยี่ยมบ้านสกุลหลาน !
ข้าจะทำให้ไป๋หยานเข้าใจถึงผลของการทรยศข้า !
*****
บ้านสกุลหลาน
ภายนอกประตูใหญ่ มีรถม้าหรูหราจำนวนมากมายจอดเนืองแน่นบนท้องถนน
นับแต่ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานล้มป่วย นี่ก็เป็นเวลานานมากแล้วที่บ้านสกุลหลานขาดชีวิตชีวา ทว่าแขกพวกนี้มิได้มาที่นี่เพื่อร่วมงานเลี้ยง พวกเขาปรารถนามาเห็นบ้านสกุลหลานเป็นตัวตลกมากกว่า
คุณหนูสกุลไป๋ซึ่งตั้งครรภ์ก่อนแต่งงาน แม้แต่บ้านสกุลไป๋เองยังรังเกียจนางอย่างมาก ทว่าบ้านสกุลหลานกลับยกย่องนางราวกับนางเป็นสมบัติอันล้ำค่า ทั้งยังจัดงานเลี้ยงต้อนรับนางอีก นี่ไม่ถือเป็นเรื่องน่าขันครั้งใหญ่ของอาณาจักรนี้หรอกหรือ ?
ขณะนั้นเอง บริเวณด้านหลังของห้องโถงใหญ่แห่งบ้านสกุลหลาน คนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนว้าวุ่นขณะมองไปที่ประตู แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ไม่นานหลังจากนั้น ร่างในอาภรณ์สีแดงงดงามก็ก้าวออกมา ปรากฏสู่สายตาของทุกคนท่ามกลางแสงจันทร์กระจ่าง ความงามของนางยากที่จะหาใดเปรียบ เส้นผมราวแพรไหมปล่อยระแผ่นหลัง ไม่ต่างกับกับสายน้ำตกที่ไหลรินเอื่อย ๆ ยามเย็น
“หยานเอ๋อ เจ้าออกมาแล้ว มา มา มานั่งกับยาย” ฮูหยินผู้เฒ่าตบเบา ๆ บนเก้าอี้นุ่ม ๆ เบื้องหน้านาง เอ่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ไป๋หยานไม่มีทีท่าเคอะเขินแต่อย่างใด นางเดินอย่างสง่างามเข้าไปหา ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ ท่านยายของนาง
“เอาล่ะ ข้าจะแนะนำให้เจ้าได้รู้จัก” หญิงชราลูบหลังมือหลานสาว
“คนนี้ ก็คือลูกพี่ลูกน้องของเจ้า เขาอายุมากกว่าเจ้า ชื่อหลานเฉาหลิง เขามีอายุยี่สิบหกปีกว่า ๆ แล้ว ส่วนน้องชายของเขาที่อยู่ตรงนั้นอายุพอ ๆ กับเจ้า มีชื่อว่าหลานเฉาหยัน ช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งคู่ไม่ได้อยู่ที่บ้านสกุลหลาน นั่นจึงเป็นเหตุว่าไยเจ้าถึงไม่พบพวกเขากระทั่งถึงวันนี้ ส่วนลูกพี่ลูกน้องคนสุดท้ายของเจ้านั่นชื่อ หลานเสี่ยวหยุน ก่อนหน้านี้นางได้รับบาดเจ็บ จึงถูกส่งไปพักรักษาตัวนอกเมือง ที่นางกลับมาก็เพราะเป็นความต้องการของยาย”
หลานเฉาหลิงยิ้มพร้อมกับแย้งว่า “ท่านย่า ท่านไม่จำเป็นต้องบรรยายละเอียดถึงเพียงนั้นก็ได้ แม้ว่าน้องสาวจะไม่ค่อยได้ติดต่อกับครอบครัวของเรานัก ทว่าพวกเราก็ยังคงเป็นครอบครัวเดียวกัน ไหนเลยนางจะไม่รู้จักชื่อของพวกเรา ?”
“ฮ่าฮ่า เจ้าพูดถูก ย่าก็ลืมไป” ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะอย่างมีความสุข นางตบหลังมือไป๋หยานเบา ๆ อีกครั้ง “หยานเอ๋อ ยายสับสนไปหน่อย แท้จริง ยายไม่จำเป็นต้องแนะนำพวกเขาเลย เพราะเจ้าคงจะจำพวกเขาได้อยู่แล้ว”
ไป๋หยานยิ้มโดยไม่กล่าวคำใด เพราะแม้ในใจของนางจะเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ ของบ้านสกุลหลานอย่างถ่องแท้ ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบปะทุกคนด้วยตนเอง
***จบบท งานเลี้ยงอาหารค่ำ (4)***