“หยานเอ๋อ” หลานเฉาหยัน (ลูกพี่ลูกน้อง) ยิ้มต้อนรับอย่างอบอุ่น “ยินดีต้อนรับกลับบ้าน จากนี้ไปเจ้าเป็นสมาชิกของบ้านสกุลหลาน หากผู้ใดกล้ารังแกเจ้า ก็บอกพี่ชายคนนี้ได้ ข้าจะจัดการมันเอง
“เช่นนั้น ข้าก็ต้องขอขอบใจพี่หยันมาก” ไป๋หยานยิ้มอย่างแจ่มใสขณะกล่าว ทำเอาเด็กหนุ่มหน้าแดงด้วยความเขินอายอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“นี่…” จู่ ๆ หลานเสี่ยวหยุนก็วิ่งมาด้านหน้าไป๋หยาน ท่าทางของนางดูหยิ่งยโสเล็กน้อย “เจ้าเป็นพี่สาวของไป๋จื่อใช่หรือไม่ ? ข้าขอบอกเจ้าก่อนนะว่า หากวันข้างหน้าข้าต้องต่อสู้กับนางอีก เจ้าห้ามเข้าข้างนางนะ”
หลานเสี่ยวหยุนอาจจะแลดูยโสโอหังไปบ้าง ทว่านางก็มิใช่คนนิสัยเลวร้ายอะไร นางมิได้ดูถูกดูหมิ่นไป๋หยานด้วยเหตุที่ไป๋หยานตั้งครรภ์ก่อนแต่งงาน หากแต่เป็นเพราะนางไม่ชอบไป๋จื่อจึงชอบทำอวดรู้ก็เท่านั้น
“เหตุใดข้าต้องเข้าข้างนางด้วยล่ะ ?” ไป๋หยานเบะปากพร้อมกับเอ่ยถามด้วยความสับสน
ครานี้กลายเป็นหลานเสี่ยวหยุนที่ต้องตกตะลึง “ก็เจ้าเป็นพี่สาวของนางมิใช่เหรอ ?”
หากไป๋หยานและน้องชายของนางไม่บอกความจริง คงไม่มีผู้ใดในโลกนี้รู้ว่าชีวิตของคนทั้งคู่ในบ้านสกุลไป๋นั้นทุกข์ทรมานมากเพียงใด ? เช่นนั้นจึงไม่แปลกเลยที่หลานเสี่ยวหยุนจะกล่าวเช่นนี้
หลานฮูหยินตบหน้าตักของตนเองเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ แล้วนางก็กล่าวเสียงดังว่า “ข้าลืมเล่าให้ทุกคนฟัง”
หลังจากนั้น หญิงชราก็เริ่มบรรยายรายละเอียดว่า ไป๋หยานอยู่ในบ้านสกุลไป๋อย่างทุกข์ระทมเพียงไร และหยูหรงก็เร่ขายเด็กสาวที่น่าเวทนาคนนี้เช่นไร ?
ครั้นได้ยินเรื่องราวที่เจ็บปวดเหล่านี้ เด็กทั้งสามของบ้านสกุลหลานต่างตกตะลึง พวกเขาไม่อยากจะเชื่อ ทั้งไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าจะมีใครที่ดุร้ายและอำมหิตถึงเพียงนี้
หลานเสี่ยวหยุนกับคนอื่น ๆ ถึงกับนิ่งอึ้ง พวกเขาไม่เคยคิดว่าจะมีผู้หญิงชั่วช้าเช่นนี้ในโลก
“หลานสาวที่น่าสงสาร” ตงรั่วหลาน (ป้าสะใภ้) พยายามเช็ดน้ำตาตนเอง “เหตุใดหลานไม่เคยเล่าให้พวกเราฟังบ้างเลย ว่าเจ้าถูกคนบ้านสกุลไป๋กลั่นแกล้งรังแกอย่างไร ? เซียวเอ๋อเอง ก็เหลือเกินจริง ๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี่เขาไม่เคยเอ่ยอะไรเกี่ยวกับความทุกข์ทนของพวกเจ้าสองคนพี่น้องเลย”
ตงรั่วหลานกล่าวตำหนิ ทว่าแววตาของนางกลับแลดูปวดร้าว ด้วยความเอ็นดูในตัวหลานสาว “เมื่อมารดาของเจ้าไม่ได้อยู่กับพวกเราแล้ว ก็ให้ป้าผู้นี้ดูแลเจ้าแทนเถอะนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตราบใดที่ยังอยู่ในบ้านสกุลหลาน เจ้าก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกขายให้ผู้ใดอีก”
ไป๋หยานรู้สึกเหมือนมีกระแสอบอุ่นไหลเวียนอยู่ในหัวใจ นางพบว่าการมีครอบครัวอยู่เคียงข้างนางนั้น ดีกว่าการอยู่เพียงลำพังในโลกอ้างว้างนี่เป็นไหน ๆ
หลานเสี่ยวหยุนกลับมารู้สึกตัว ตอนนี้ท่าทีที่หยิ่งผยอง และโอหังของนางเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิด “ข้าขอโทษจริง ๆ พี่ไป๋หยาน ข้าไม่รู้มาก่อนว่าคนบ้านสกุลไป๋ทำให้พี่ต้องทรมานมากถึงเพียงนี้ อย่ากังวลเลย หากคราวหน้าเราพบไป๋จื่ออีก เราจะร่วมมือกันจัดการนาง”
“บ้านสกุลไป๋ทำเกินไปจริง ๆ !” น้ำเสียงของหลานเฉาหยันบ่งบอกถึงความโกรธ “พวกเขาเก็บสินสอดทองหมั้นของท่านป้าไปหมด ยังกล้าพูดว่าพี่น้องของเรากินล้างกินผลาญอีกกระนั้นหรือ ? ทั้งยังกล้าขายนางอีก ! เช่นนี้แล้วตระกูลหลานของเราไม่มีวันอภัยให้เป็นแน่”
แม้แต่หลานเฉาหลิงที่สงบ และนิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานานก็ยังอดมิได้ เขาเอ่ยออกมาว่า “ท่านแม่ ท่านย่า ข้าเห็นด้วยกับน้องรอง น้องไป๋หยานต้องผ่านความเจ็บปวดรวดร้าวมามากนัก เราไม่สามารถปล่อยเรื่องนี้ไปง่าย ๆ ทั้งเพื่อตัวนาง และเพื่อศักดิ์ศรีของคนตระกูลหลาน เราต้องเรียกร้องความเป็นธรรม
“เอาล่ะ ในเมื่อพวกเจ้ามีมติเห็นพ้องกัน เช่นนั้นเรา … “
หลานฮูหยินผู้ชราใช้มือตบโต๊ะพลางกล่าวออกมา ทว่าไป๋หยานกลับกล่าวขัดจังหวะนางเสียก่อน “ท่านยาย ข้ามีแผนแก้แค้นในใจแล้ว ลำพังข้าเองสามารถจัดการปัญหานี้ได้”
ครั้นได้ยินถ้อยคำดังกล่าว หญิงชราก็ถอนหายใจอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย ก่อนจะตบหลังมือหลานรักเบา ๆ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ต่างกระซิบว่า “ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว ข้าก็เคารพการตัดสินใจของเจ้า อย่างไรก็ตามหากเจ้าประสงค์ความช่วยเหลือใด ๆ เจ้าต้องมาหาเรา ยามนี้เจ้าอยู่ในความดูแลของเราแล้ว ข้าไม่อาจทนเห็นเจ้าต้องทนทุกข์ทรมานเช่นที่เคยเป็นมาอีก”
แม้ว่าบ้านสกุลหลานของพวกเขา จะต้องมีปัญหากับราชสำนัก พวกเขาก็ยอม !
“ท่านแม่” ตงรั่วหลานค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ นางพยายามปรับอารมณ์ให้กลับคืนสู่ปกติ ก่อนจะกล่าวว่า “แขกส่วนใหญ่ได้มาถึงแล้ว เหตุใดเราไม่ออกไปต้อนรับพวกเขาก่อนล่ะ ?”
ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้ารับเบา ๆ นางดึงมือไป๋หยานให้ลุกขึ้นเดินไปพร้อมกับนาง “หยานเอ๋อ ไปกันเถอะ วันนี้บ้านสกุลหลานของเราจะแสดงให้โลกเห็นว่าเจ้าเก่งกาจเพียงไร ?”
***จบบท งานเลี้ยงอาหารค่ำ (5)***