“ท่านอ๋อง” ครั้นเห็นความโกรธที่ปิดไม่มิดในแววตาของตี้คัง ไป๋จื่อก็รีบลุกขึ้นจากที่นั่งของนางทันที “เมื่อหกปีก่อน ไป๋หยานตั้งครรภ์ก่อนแต่งงาน ทั้งยังหนีไปกับชายที่ไม่มีสกุลรุนชาติ ทำให้คนสกุลไป๋ทุกคนต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง“
ไป๋จื่อไม่ต้องการให้ตี้คังเหมารวมว่านางเป็นเช่นเดียวกับไป๋หยาน ซึ่งนั่นอาจทำให้ราชสำนักไม่พึงพอใจรับนางเข้าวัง
หากแต่ที่ตลกก็คือตี้คังไม่เคยเห็นไป๋จื่ออยู่ในสายตา ทั้งไม่เคยรู้จักไป๋จื่อเลยแม้แต่น้อย
“ชายไร้สกุลรุนชาติ ?” ตี้คังหัวเราะอย่างเย็นชา
ไป๋จื่อไม่ทันสังเกตเห็นใบหน้าที่ค่อย ๆ ดำคล้ำ และเย็นเยือกลงเรื่อย ๆ ของอ๋องคัง นางยังคงพูดโพล่งต่อไปว่า “เมื่อหกปีก่อน บนถนนสายเก่า ไป๋หยานมีความสัมพันธ์กับชายไม่มีหัวหนอนปลายเท้าคนหนึ่ง บังเอิญว่า ไป๋รั่ว พี่สาวของข้าไปพบเข้าระหว่างที่คนทั้งคู่กำลังมีสัมพันธ์สวาทกัน ด้วยเหตุนี้นางจึงหนีออกจากบ้าน“
“โอ้ ?” ตี้คังเลิกคิ้ว น้ำเสียงของเขายิ่งดุร้ายมากขึ้น “นั่นหมายความว่า เจ้าเคยเห็นหน้าชายไม่มีหัวนอนปลายเท้าผู้นั้นด้วยใช่หรือไม่ ?”
ยามที่พูดถึงลักษณะของชายผู้นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่า “ชายไม่มีหัวนอนปลายเท้า” ตี้คังตั้งใจเน้นเสียงเป็นพิเศษ นัยน์ตาของเขาพลันเปล่งประกายอันตรายแดงวาบ
อย่าว่าแต่ไป๋จื่อที่มิได้ออกไปด้วยเลย แม้แต่ไป๋รั่วเองก็ยังไม่เคยเห็นคนผู้นั้น ทว่าในเวลานั้น เพื่อที่จะให้ร้ายไป๋หยาน นางจึงไม่เอ่ยความจริงเรื่องนี้ออกมา
“แน่นอนว่า ข้าเคยเห็นชายไร้สกุลผู้นั้น เขามิได้หล่อเหลา เทียบกับองค์รัชทายาทไม่ได้เลย ข้าก็ไม่รู้ว่า ด้วยเหตุใดไป๋หยานถึงได้ตกหลุมรักชายน่ารังเกียจน่าขยะแขยงผู้นั้นได้”
ยามนี้ไป๋จื่อตั้งใจเพียงจะใส่ร้ายพี่สาวของตน นางละเลยกลิ่นอายที่แปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงรอบ ๆ กายของตี้คังชายในฝันของทุกผู้คน ความกดดันเพิ่มทวีมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่ฝูงชนก็ยังต้องถอยกลับ …
ทันใดนั้นเอง เสียงเยาะเย้ยก็ดังมาจากด้านนอกห้องโถง ทำให้ไป๋จื่อกระโดดโหยงด้วยความตกใจ
“เมื่อครู่ ข้าถามว่า เหตุใดห้องจัดเลี้ยงจึงอึดอัดกระทั่งแทบหายใจไม่ออก ทั้งยังเหม็นเน่าอีกต่างหาก อ้อ ! ที่แท้เป็นเพราะเจ้ามาเยือนนี่เอง ท่านพ่อ ไยท่านจึงปล่อยให้นางโสโครกผู้นี้มาที่นี่ ปากเหม็น ๆ ของนางทำให้บ้านของเราเหม็นเน่าไปหมดแล้ว
หลานเสี่ยวหยุนที่เพิ่งเดินเข้ามา เห็นไป๋จื่อเล่าเรื่องราวฉอด ๆ ไม่หยุด เมื่อพบกับศัตรูของนางอีกครั้งหลังจากไม่ได้พบกันเสียนาน มีหรือที่นางจะทนนั่งเฉย ๆ โดยไม่ทำสิ่งใดเลย ความเกลียดที่ลุกโชนดังเพลิงในใจของนาง ทำให้นางกล่าววาจาประชดประชันที่ร้ายกาจเหล่านั้นออกมา
ชั่วขณะนั้นเอง สายตาของผู้คนต่างก็เบนไปจับจ้องสตรีที่ยืนอยู่เคียงข้าง หลานเสี่ยวหยุนแทน
ช่างงามสง่าเหลือเกิน งามหาใดเปรียบ
“สายลมพัด เส้นผมเงางามสะบัดสยายพลิ้วตามแรงลม อาภรณ์สีแดงช่างงามสมสวยบาดใจ จนข้าเผลอไผลมิอาจละสายตา”
ใบหน้าอันงดงามของนางดึงดูดใจ กระทั่งไม่อาจละสายตาได้ นัยน์ตาคู่นั้นของนางเล่าก็แวววาวสดใส ดั่งจะเก็บเกี่ยวหัวใจ และวิญญาณของทุกผู้คน รอยยิ้มหวาน ๆ ช่างบาดจิต ราวกับต้องมนตร์เสน่ห์ ทำเอาหัวใจทุกคนแทบจะหยุดเต้น
หนานกงอี้จ้องมองเขม็ง ก่อนหน้านี้ แม้ไป๋หยานจะได้ชื่อว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของอาณาจักร หากแต่นางก็ผอมบาง ทั้งยังตัวเล็กมาก เมื่อเทียบกับยามนี้เรียกได้ว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
กล่าวได้ว่าก่อนหน้านั้นไป๋หยานคือสาวงามอันดับหนึ่งในอาณาจักร ทว่าบัดนี้นางคือสาวงามอันดับหนึ่งในปฐพี
ครั้นไป๋จื่อเห็นสายตาของบรรดาชายหนุ่มที่ต่างจับจ้องมองไป๋หยานเป็นตาเดียว ต่อให้นางไม่ใส่ใจ นางก็คงไม่โง่ถึงขนาดไม่รู้ไม่เห็น เช่นนั้นนางจึงกัดฟัน และกำหมัดแน่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เมื่อนางสังเกตเห็นสายตาของตี้คังที่พุ่งเป้าไปยังไป๋หยาน หัวใจของไป๋จื่อพลันคันยุบยิบ ราวกับมีมดหลายตัวรุมกัด นางเจ็บปวดกระทั่งแทบคลั่ง
“ท่านอ๋อง !” ไป๋จื่อกัดฟันกล่าว “นางคือพี่สาวคนโตของข้าที่สูญเสียพรหมจรรย์ไปเมื่อหกปีก่อน“
ไป๋จื่อพยายามย้ำเตือนอ๋องคังว่า ไป๋หยานไม่ใช่สาวพรหมจรรย์ สตรีเช่นนางไหนเลยจะเข้าตาเขา ?
ท่านอ๋อง ?
ไป๋หยานขมวดคิ้ว พลางหันหน้าไปตามเสียงของไป๋จื่อ ทันทีที่นางเห็นเขา ใบหน้าที่หล่อเหลา ทว่าแลดูอันตรายนั่น นางก็ตกใจ และเผลอหลุดปากออกมาว่า
“ท่านมาทำอะไรที่นี่ !
“เหตุใดข้าถึงมาที่นี่ เจ้าน่าจะรู้ดีกว่าผู้ใด” รอยยิ้มกว้างระบายเต็มใบหน้าของตี้คัง
***จบบท แบบนี้แหละที่ข้าชอบ (1)***