หนานกงหยวนลุกจากบัลลังก์ในทันที สีหน้าท่าทางของเขาแลดูไม่ดีนัก “เกิดอะไรขึ้น ?”
ทันทีที่กล่าวจบ หัวใจของเขาแทบหยุดเต้น
ด้วยเหตุที่ลำแสงสีเงินยวงพวยพุ่งลงมาจากฟากฟ้า พร้อมกับเสียงคำรามของหมาป่า
บุรุษที่แสนสง่างามผู้นั้นนั่งบนบัลลังก์ ราวกับราชาผู้อยู่เหนือคนทั่วหล้า ราชาแห่งแผ่นดิน ผู้ซึ่งเป็นที่ภาคภูมิของทุกสรรพชีวิต
เส้นผมสีเงินยวง ปลิวสยายตามแรงลมอย่างอิสระ บุรุษในอาภรณ์สีม่วงงามสง่า กระทั่งไม่อาจใช้ความงามใดในโลกมาเปรียบเปรย
ดวงตาเฉียงเรียวคมเปล่งประกายแห่งความองอาจ ทว่าปรากฏแสงแห่งความกระหายเลือดวาววับในแววตา ริมฝีปากแดงเพลิงโค้งขึ้นเล็กน้อยคล้ายจะยิ้ม
เพียงทว่า…
ในรอยยิ้มนั้น แฝงด้วยเจตนาสังหาร ภายใต้เจตนาสังหารที่เข้มข้นนั้น ก็ทำให้ผู้คนอดมิได้ที่จะก้มศีรษะลง
“อ๋องคัง ท่านมาที่นี่ด้วยเหตุใด ?” หนานกงหยวนเปลี่ยนอารมณ์จากเดิมทีที่เริ่มกริ้ว บัดนี้กลับเปลี่ยนเป็นความประหลาดใจ จากนั้นเขาก็เหลือบไปมองหลี่กงกงผู้ซึ่งกำลังนอนกองอยู่บนพื้น เขาถึงกับขมวดคิ้ว
เจ้าขันทีโง่เง่าผู้นี้ไปกระตุ้นอะไรอ๋องคังเทพแห่งความตายกระนั้นหรือ ?
หมาป่าร่อนลงมาสู่ท้องพระโรง จากนั้นก็หมอบลงกับพื้น บุรุษผู้นั่งบนบัลลังก์ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ ก่อนจะก้าวเดินลงมา
เขาไพล่มือไว้ข้างหลังข้างหนึ่ง ขณะแผ่กลิ่นอายเย็นยะเยือกไปทั่ว
“เหตุใดข้าจึงมาที่นี่ ? ท่านไม่รู้จริง ๆ กระนั้นหรือ ?”
ขุนนางทุกคนต่างนิ่งงัน เรื่องที่ฮ่องเต้ชื่นชมอ๋องคังมากนั้นมิใช่ความลับของเหล่าข้าราชสำนักเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม การที่อ๋องคังกล้ากล่าววาจาเช่นนี้เบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ นับเป็นครั้งแรกที่บรรดาขุนนางเหล่านี้ได้เห็น …
หนานกงหยวนขมวดพระขนงจนพระนลาฏย่น พระพักตร์แลดูไม่สบพระทัยเท่าไหร่นัก ทว่าเขาก็ไม่กล้าแสดงออก ทำได้เพียงแย้มสรวล พร้อมกับซ่อนพระอารมณ์ที่แท้จริงของตนไว้
“อ๋องคังไม่เคยเข้าร่วมประชุมข้อราชการช่วงเช้าเลย การที่ท่านมาในวันนี้ หรือมีผู้ใดทำให้ท่านขุ่นเคือง ? “
ตี้คังเงยหน้าขึ้นมองหนานกงหยวน “ตกลงนี่ท่านรู้หรือไม่รู้กันแน่ ? หากท่านมิใช่ผู้อนุญาต เหตุใดฮองเฮาของท่านจึงกล้าจัดการอภิเษกให้ข้า ?”
กระไรนะ ?
หนานกงหยวนตกพระทัย กระทั่งพระพักตร์เปลี่ยนสี ในพระอุระเต็มไปด้วยความกริ้ว
นางหญิงเฮงซวยผู้นั้นกล้าจัดการเรื่องอภิเษกให้อ๋องคัง !
แม้แต่เราเองซึ่งเป็นฮ่องเต้ ยังไม่กล้ากระทำเช่นนั้นเลย !
“ส่งคนไปเชิญเสด็จฮองเฮามาที่นี่ !” หนานกงหยวนกริ้วอย่างแท้จริง แม้แต่สุรเสียงของเขาก็ยังฟังเย็นชา ยามมีกระแสรับสั่ง
ขุนนางทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงความโกรธเคืองในพระสุรเสียง ต่างก็ก้มศีรษะลง ไม่กล้ากล่าวคำใดออกมาอีก
เพียงชั่วอึดใจ ขันทีอีกคนก็เดินนำฮองเฮาผู้งามสง่าเข้ามา หนิงไต้เดินตามขันทีผู้นั้นเข้ามาอย่างแช่มช้า
นางเห็นหลี่กงกงผู้ซึ่งยังไม่สามารถลุกขึ้นจากพื้นได้ แล้วนางก็มองไปที่ด้านหลังของอ๋องคัง ทันใดนั้นเองหัวใจของนางพลันเต้นตูมตาม
“ถวายบังคม ฝ่าบาทเพคะ”
หนิงไต้ถอนสายตา นางเดินเยื้องกรายมาหยุดเบื้องหน้าพระสวามี ก่อนจะย่อเข่าลงเล็กน้อยทักทายตามมารยาท “ไม่ทราบพระองค์ทรงมีพระประสงค์สิ่งใดจึงมีกระแสรับสั่งให้หม่อมฉันเข้าเฝ้าเพคะ“
พระพักตร์ของหนานกงหยวนยามนี้กริ้วจัด “ฮองเฮา ข้าได้ยินมาว่าเจ้าจัดการอภิเษกให้กับอ๋องคังกระนั้นรึ ?”
ครั้นได้ยินเช่นนั้น หนิงไต้ก็เงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ นางเม้มปากแน่น ก่อนจะกล่าวตอบออกมาว่า “ถูกต้องแล้วเพคะ หม่อมฉันเห็นว่าอ๋องคังอยู่เพียงลำพังมานานหลายปี ซึ่งนั่นมิใช่เรื่องง่ายเลย เช่นนั้นหม่อมฉันจึงตั้งใจแบ่งเบาภาระของอ๋องคัง โดยจัดการให้บุตรสาวจากบ้านสกุลไป๋ ไป๋จื่อถวายตัวเป็นชายาของเขา ไป๋จื่อนั้นไม่เพียงแต่งดงาม นางยังเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม ทั้งยังมากด้วยน้ำใจ คู่ควรกับอ๋องคังเป็นอย่างยิ่ง”
ครั้นหนานกงหยวนได้ยินก็ยิ่งมีโทโส “ฮองเฮาดูเหมือนว่า ที่ผ่านมาเราจะตามใจเจ้ามากเกินไปแล้ว“
“ฝ่าบาท !” หนิงไต้คุกเข่าลงด้วยความหวาดกลัว “ทรงมีพระเมตตา หม่อมฉันไม่มีทางเลือกจึงต้องกระทำเช่นนั้น อ๋องคังใกล้ชิดกับไป๋หยาน สตรีผู้นั้นมิใช่สาวพรหมจรรย์ นางมิคู่ควรกับตำแหน่งพระชายา ทว่าหม่อมฉันไม่อาจแยกอ๋องคังกับไป๋หยานได้ หม่อมฉันจึงให้ไป๋หยานแต่งเข้าเป็นพระสนมในตำหนักอ๋องคังแทน พวกนางทั้งสองต่างก็เป็นพี่น้องกันก็คงจะช่วยกันปรนนิบัติอ๋องคังได้เป็นอย่างดี เช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดกระนั้นหรือ ? “
ถ้อยคำของนางฟังราวกับว่า การกระทำทั้งหมดนั้น เป็นไปเพื่อช่วยรักษาชื่อเสียงของราชวงศ์รวมถึงตี้คัง หาใช่ความเห็นแก่ตัวของนางเองไม่
***จบบท ไป๋หยานคือสตรีของข้า (1)***