สายลมโดยรอบพัดเย็นขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งที่ยังเป็นช่วงเวลาบ่าย กระทั่งทำให้องครักษ์ถึงกับตัวสั่นเทา
“ท่านอ๋อง !“
ไป๋จื่อลุกขึ้นจากพื้น พลางตบกระโปรงของตนเองเพื่อปัดสิ่งสกปรกออก นางยืนบิดมุมเสื้อของตนอย่างเขินอาย “เมื่อครู่ ข้าไม่ทันเห็นท่านอ๋อง ต้องขออภัยที่ข้าหยาบคาย โปรดอภัยให้ข้าด้วย “
อาจเป็นเพราะน้ำเสียงที่มีเสน่ห์ อีกทั้งเขินอายนั้น ในที่สุดตี้คังก็หันไปมองเด็กสาว
“เจ้าเป็นใคร ?”
เสียงของชายหนุ่มฟังคล้ายข่มขู่คุกคาม ทั้งยังเจือความเย็นเยือกเล็กน้อย นั่นทำให้ไป๋จื่อนิ่งงันคล้ายคนโง่งม
“ท่าน ท่านอ๋อง …เรา – เราเคยพบกันในงานเลี้ยงคืนก่อนนั้น และข้าก็คือคู่หมั้นของท่าน”
เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นใคร ?
คราแรกเขามีท่าทีเย็นชา ทว่าหลังจากได้ยินคำตอบ แววตาของเขาก็แสดงความรู้สึกประหลาดใจออกมาแทน
“หยานหยานน้อย นี่เจ้าเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตามาใหม่หรือไร ?” ริมฝีปากแดง ๆ ของตี้คังยกโค้งราวยิ้มเยาะ “ทว่าน่าเสียดาย ที่ข้ายังคงชอบรูปลักษณ์เดิมของเจ้ามากกว่า … โฉมหน้าใหม่นี้ เกรงว่าจะทำให้ข้าหวาดกลัวกระทั่งไร้สมรรถภาพ“
แค่ก แค่ก !
องครักษ์ที่มาพร้อมกับเขา แทบจะระงับความขบขันเมื่อได้ยินคำกล่าวของอ๋องคังมิได้ พวกเขากลั้นหัวเราะจนสำลัก หากพวกเขาไม่รู้จักนิสัยของอ๋องคังเป็นอย่างดี ในวันนี้พวกเขาก็คงจะถูกทักษะการแสดงที่ยอดเยี่ยมของเจ้านายหลอกให้หลงเชื่อไปแล้ว
ฟุ่… แม่นางไป๋จื่อผู้นี้จะอย่างไรเสีย นางก็งดงามไม่ต่างจากบุปผางาม หากคาดไม่ถึงท่านอ๋องกลับมองว่ารูปลักษณ์ของนางนั้นน่าหวาดกลัวจนทำให้หมดสมรรถภาพได้ !
“ท่านอ๋อง … ” ไป๋จื่อเม้มริมฝีปากแน่น พลันหยาดน้ำก็เริ่มเอ่อคลอในดวงตา “ท่านจำคนผิดแล้ว ข้ามิใช่ไป๋หยาน ข้าคือไป๋จื่อ“
ไป๋หยานนางแพศยานั่นอีกแล้ว
ข้าไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดท่านอ๋องถึงได้ชื่นชอบนางแพศยานั่นนัก ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย !
ทว่านั่นก็ไม่สำคัญ ในเมื่อฮองเฮาทรงให้การสนับสนุนข้า ข้าไม่คิดว่าท่านอ๋องจะกล้าอภิเษกกับนาง
ตี้คังมีสีหน้าเครียดขึ้นทันที นัยน์ตาเรียวคมจ้องมองไป๋จื่อผู้เศร้าโศกอย่างเย็นชา ประกายแสงประหลาดฉายวาบจากส่วนลึกของดวงตา
“เจ้ามิใช่หยานเอ๋อน้อย ?” ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้นอย่างมุ่งร้ายแลดูน่าสยดสยอง “เช่นนั้นเจ้ากล้าดีอย่างไร จึงสวมรอยเป็นคู่หมั้นของข้า พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ที่สวมรอยเป็นราชนิกูลต้องโทษสถานใด ?
“ทูลท่านอ๋อง” องครักษ์ผู้หนึ่งกล่าวตอบอย่างนอบน้อม “โทษหนักสุดคือประหารชีวิต อย่างเบาก็คือถูกคุมขังในคุก !“
แอบอ้างเป็นราชนิกูล
ไป๋จื่อเบิกนัยน์ตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ ริมฝีปากของนางสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว “ไม่ ข้ามิได้สวมรอย ! ข้ามีราชโองการของฮองเฮา ฮองเฮามีพระเสาวนีย์ให้ข้าเป็นชายาของท่าน ท่านไม่สามารถฝ่าฝืนพระเสาวนีย์ของพระนางได้ !“
“ฮองเฮากระนั้นรึ ?” รอยยิ้มของตี้คังนั้นแลดูเย็นชา อีกทั้งโหดร้าย “ฮองเฮาถูกเนรเทศไปอยู่ตำหนักเย็นแล้ว ราชโองการของนางยังมีความหมายใดอีกงั้นรึ ?”
บูม !
ไป๋จื่อรู้สึกราวศีรษะระเบิด ใบหน้าของนางซีดขาวไร้ซึ่งสีเลือด
นางซวนเซแทบจะล้ม ทว่าท้ายสุดนางก็พยายามยึดต้นไม้ที่ใกล้ที่สุด อาศัยต้นไม้ช่วยให้นางทรงตรงอยู่ได้
“ไม่ … ข้าไม่เชื่อ ! จู่ ๆ ฮองเฮาจะถูกเนรเทศไปตำหนักเย็นได้อย่างไร ? ท่านโกหกข้า !“
ครั้นกล่าวจบประโยค หัวใจของนางก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ หยาดน้ำใส ๆ พลันรินไหลราวกับหยาดฝน
นางไม่มีทางเชื่อ ยามนี้นางก็ไม่ต่างกับคนที่ปีนขึ้นถึงยอดเขาจากนั้นก็พลัดร่วงตกลงมา หากเรื่องนี้เป็นจริงแล้ว เช่นนั้นการแต่งงานของนางล่ะ ?
“ส่งนางไปที่กรมราชทัณฑ์” ตี้คังเชิดหน้า ทั้งเย็นชา ทั้งไร้ปรานี “จากนั้นก็ประจานให้ทั่วโลกได้รู้ว่าไป๋จื่อสวมรอยเป็นคู่หมั้นของข้า ! แท้จริงข้าตั้งใจจะให้ประหารพวกนางเก้าชั่วโครตด้วยซ้ำ ! แต่เห็นแก่หยานเอ๋อน้อย ข้าจะปล่อยบ้านสกุลไป๋ไปสักครั้ง หากยังมีครั้งต่อไป สมาชิกในบ้านสกุลไป๋จะไม่เหลือรอดแม้สักคน ! “
ไป๋จื่อไม่อาจทรงตัวได้อีกต่อไป หลังจากได้ยินถ้อยคำดังกล่าว ร่างของนางก็ซวนเซแล้วทรุดลงไปนั่งกับพื้น นางกัดริมฝีปากของตน นัยน์ตาเต็มไปด้วยความแค้นเคือง
***จบบท ไป๋จื่อกลายเป็นตัวตลก***