บทที่ 11 ของที่ระลึกจากท่านยายเมิ่ง
กึก….ลูกบอลที่ถูกยันต์ผนึกไว้สั่นสะเทือนอยู่หลายครั้งก่อนจะกลิ้งมาหยุดอยู่ข้าง ๆ ฉินเย่ การเผด็จศึกฉับพลันเมื่อครู่ใช้เวลาเพียงไม่ถึงสามวินาที และพลังหยินรุนแรงที่ล้อมรอบร่างของฉินเย่ก็เริ่มสลายตัวสู่รอบด้าน ห้าวินาทีต่อมา ฉินเย่ก็กลับคืนสู่ร่างเดิม พร้อมกับเสื้อคลุมเครื่องแบบยมทูตของเขา
“นี่คือพลังอำนาจของราชันย์วิญญาณทั้ง 6 อย่างนั้นเหรอ?” เขาจ้องมองมือทั้งสองข้างของตัวเองด้วยความอัศจรรย์ใจ ไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้เขายังรู้สึกกดดันว่าตัวเองไม่มีทางจะเอาชนะอรากษสเลยแม้แต่น้อย แต่เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็เอาชนะนางได้ด้วยมือทั้งสองข้างของเขาเองงั้นหรือ? ช่องว่างพลังของพวกเขาห่างชั้นกันมากเกินไป ในความจริงแล้วมันกว้างมากจนมันจบลงก่อนที่เขาจะรู้ว่ามันเกิดขึ้นเสียอีก
นี่…ไม่ต่างจากการจับปิกาจูด้วยมาสเตอร์บอลเลยนะ มันง่ายเกินไปแล้ว…
ฉินเย่ก้มตัวลงเก็บลูกบอลผนึกขึ้นมา และหลังจากนั้นไม่นาน น้ำเสียงโกรธแค้นก็ดังขึ้นให้ได้ยิน “ไอ้หนู ต่อให้เจ้าจะครอบครองร่างของราชันวิญญาณทั้งหก แต่พลังเพียงแค่นั้นก็ไม่สามารถเอาชนะข้าได้! ข้า…มีข้อเสนอจะให้เจ้า หากครั้งนี้เจ้ายอมปล่อยข้าไป ข้าจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ซะ”
“ฮ่า ๆๆๆ” ฉินเย่หัวเราะและเก็บลูกบอลผนึกไว้ในกระเป๋าอย่างไม่สนใจนัก การปล่อยนางออกมาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จะเกิดอะไรขึ้นหากอรากษสะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง? ไม่ใช่ว่าเขาจะต้องใช้ชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์ด้วยความหวาดกลัวหรือไง? เขาอาจจะสามารถเป็นผู้ร้ายได้นาน 1,000 วัน แต่เขาจะปกป้องตัวเองจากพวกผู้ร้ายไปได้นานขนาดนั้นได้อย่างไร?
แม้ว่าการนำลูกบอลผนึกกลับไปด้วยอาจจะดูอันตราย แต่เขาก็ควรเก็บมันไว้ใกล้ตัวเพื่อที่จะได้รู้ทันทีหากเกิดอะไรขึ้น หรือถ้าจะพูดกันตามตรงก็คือ เขากลัวตาย
ใครก็ตามที่เข้ามาขวางทางการรอดชีวิตของนายน้อยคนนี้ต่างเป็นพวกตัวอันตราย!
โดยปราศจากการรบกวนจากอรากษสะ ผีเสื้อดำที่สลายตัวและกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศก่อนหน้านี้ก็มารวมตัวกันอีกครั้ง และก่อตัวเป็นพายุสีหมุนสีดำที่พาฉินเย่มุ่งหน้ากลับสู่โลกมนุษย์
——————————-
หลายชั่วโมงต่อมา…ภายในร้านชีวิตหลังความตาย ร่างสองร่างยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะราวกับรูปปั้น ทว่าทันใดนั้น ร่างกายของท่านยายเมิ่งพลันสลายตัวเป็นเถ้าถ่านและกระจัดกระจายไปโดยรอบ ทิ้งไว้เพียงตะเกียงน้ำมันโบราณที่นางเคยใช้ในการเดินทางในนรก จากนั้นไม่นานร่างของฉินเย่ก็สั่นระริก ก่อนจะลืมตาขึ้นและสูดหายใจเข้าใจเต็มปอด
“แฮ่ก แฮ่ก…” ราวกับคนจมน้ำที่เพิ่งฟื้นคืนสติ ฉินเย่ยกมือขึ้นทาบอกและพบว่าหัวใจของเขายังคงเต้นอยู่ แขนขาของเขาเย็นชืด ราวกับว่าเขาเพิ่งฟื้นคืนชีพมาจากความตาย
ดูจากสภาพร่างกายในตอนนี้ มันจะดีที่สุดหากเขาไม่ลงไปที่นรกอีก ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่สามารถเดินผ่านสะพานกระดูกไปได้…
เอ้กอี๊เอ้กเอ๊ก!! เขากลับเข้ามาในเมืองตามเดิม และไก่ของเพื่อนบ้านก็เริ่มส่งเสียง ประกาศถึงการมาเยือนของเช้าวันใหม่ ประกายแสงแห่งรุ่งอรุณสาดส่องเข้ามาผ่านทางหน้าต่าง ปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดด้วยประกายแสงสีทองอันอบอุ่น
ฉินเย่รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นแห่งชีวิตที่กลับคืนมา อย่างไรก็ตาม เขาเพียงล้มตัวนอนอยู่ตรงนั้น ยกมือนวดคลึงขมับเบา ๆ ขณะดำดิ่งสู่ห้วงความคิดของตนเอง
มันเปลี่ยนไปแล้ว ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
เขาเปลี่ยนไปแล้ว ขณะที่โลกมนุษย์ที่เหลืออยู่กำลังเสี่ยงต่อการเกิดมหากลียุค และตอนนี้เขาก็พอจะพบคำตอบบางอย่างของคำถามที่ค้างคาใจของเขามานาน ทำไมโรงเรียนถึงมีประกาศแบบนั้น? ทำไมในอินเทอร์เน็ตถึงเต็มไปด้วยโพสต์ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ? ทว่าแม้เขาจะรู้คำตอบแล้ว แต่หนทางข้างหน้าก็ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เขารู้ว่าสิ่งแรกที่เขาจะต้องทำก็คือการจัดการกับความคิดของตัวเองและทำหัวให้โล่ง ไม่เช่นนั้นเขาก็จะยิ่งอ่อนไหวต่ออิทธิพลภายนอกมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เริ่มถาโถมเข้ามา
“อันดับแรก เราจะให้ใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของเราไม่ได้” เขารินชาสมุนไพรใส่ถ้วยขณะที่เอ่ยกับตัวเองเบาๆ “พวกวิญญาณร้ายจากนรกกำลังซ่อนตัวอยู่ในโลกมนุษย์ หากพูดอีกอย่างก็คือตอนนี้พวกมันไม่ต่างอะไรกับอาชญากร แล้วสิ่งที่อาชญากรหวาดกลัวที่สุดคืออะไรล่ะ?”
แน่นอนว่าคำตอบนั้นชัดเจนอยู่ในตัวอยู่แล้ว กฎหมาย ไงล่ะ
เขาเงยหน้ามองเพดานอย่างสิ้นหวัง “ส่วนเราเองก็ไม่ต่างจากผู้รักษากฎหมาย ศูนย์รวมแห่งความยุติธรรม เมื่อใดที่ตัวตนที่แท้จริงของเราถูกเปิดเผย อย่างมากที่สุด เราก็คงจะตายอย่างอนาถ ยิ่งกว่านั้นแหล่งความปลอดภัยที่ใหญ่ที่สุดอย่างคัมภีร์อัญเชิญราชันย์วิญญาณทั้ง 6 ก็ถูกใช้ไปแล้วด้วย แต่สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงลูกบอลผนึกโง่ ๆ ไร้ประโยชน์! ซึ่งตัวเราเองก็ไม่กล้าปามันทิ้งด้วยซ้ำ!”
ไม่ว่าเขาจะมองมุมไหน มันก็ดูเหมือนไร้ความหวังไปหมด เขาเคยสนุกสนานกับการใช้ชีวิตโดยละทิ้งซึ่งกิเลส และวางแผนสำหรับอนาคตเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ความฝันอันสวยงามของเขาเพิ่งแตกเป็นเสี่ยง ๆ ภายในไม่กี่วันที่ผ่านมา
ชีวิตของเรากำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายจริง ๆ สินะ…แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังไม่รวมความจริงที่ว่าเขาไม่สามารถตายได้….
“บางที…เราควรทำทีเป็นเมินเฉยกับเรื่องพวกนี้ไปเลยดีหรือเปล่า? ท่านยายเมิ่งได้จากไปแล้ว ดังนั้นขีดจำกัดสามวันก็อาจจะถูกลบออกไปแล้วเช่นกัน หากเราไม่สนใจมัน…เราก็อาจจะสามารถใช้ชีวิตเหมือนอย่างที่เคยใช้มาก่อนได้ก็ได้?”
“ช่างโง่เขลานัก” เสียงเย็นชาของอรากษสะดังก้องอยู่ภายในหูของเขา “ต่อให้เป็นยายเมิ่งเอง ก็ไม่สามารถกำหนดได้ว่าชีวิตของคนคนหนึ่งจะสิ้นสุดลงเมื่อใด ความเป็นและความตายคือส่วนหนึ่งของกฎแห่งธรรมชาติของสรรพสิ่งทั้งหลายที่ถูกกำหนดโดยหนึ่งในสมบัติพื้นฐานทั้งสามของนรก อย่างสมุดแห่งความเป็นตาย แม้ว่าการตรัสรู้ของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์จะสามารถทำลายสามสมบัติพื้นฐานจนแตกเสี่ยง ๆ และลดอานุภาพของพวกมันลง แต่นั่นก็ทำได้เพียงชะลอความตายให้ล่าช้าออกไปเท่านั้น ไม่สามารถลบล้างมันได้”
“…ช่างเป็นคำพูดที่มีประโยชน์เสียจริง”
อรากษสะกัดฟันกรอดขณะพูดต่อว่า “บันทึกของเจ้าแสดงให้เห็นว่าเจ้าเหลือเวลาอยู่บนโลกมนุษย์อีกเพียงแค่สามวันเท่านั้น การล่มสลายของนรกจะส่งผลกระทบต่อคนอย่างเจ้าผู้เป็น ‘พลเมืองของทั้งสองโลก’ เพราะเจ้ามีตัวตนอยู่ทั้งสองดินแดน โลกเบื้องล่างเป็นตัวแทนพลังหยิน ในขณะที่โลกมนุษย์เป็นตัวแทนพลังหยาง เมื่อใดก็ตามที่ทั้งสองภพเกิดการเสียสมดุล ตัวตนของเจ้าก็จะถูกคุกคามในทันที แม้ว่าชื่อของเจ้าจะไม่ได้อยู่ในสมุดแห่งความเป็นตาย ตั้งแต่แรกก็ตาม”
นางหยุดพูดครู่หนึ่งขณะพยายามข่มน้ำเสียงให้สงบลง “เจ้าหนู ข้อเสนอของข้าในตอนแรกยังคงอยู่ หากเจ้าปล่อยข้าไปตั้งแต่ตอนนี้ ข้าจะสอนวิธีการที่จะหลีกเลี่ยงหายนะพวกนั้นให้กับเจ้า ในความจริงแล้ว ข้าสามารถช่วยระบุตำแหน่งของเศษตราจ้าวนรกให้กับเจ้าได้ด้วยซ้ำ แค่เจ้ามีเศษเสี้ยวของเศษตราจ้าวนรกปกป้องเจ้าอยู่ เจ้าก็แทบจะมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไป…”
ทว่าก่อนที่นางจะพูดจบ ลูกบอลผนึกที่ขังนางเอาไว้…ก็ถูกโยนไปใต้เตียงนอนของฉินเย่เสียแล้ว
“ท่านพูดขอร้องคนอื่นโดยที่กัดฟันพูดแบบนั้นเนี่ยนะ? ดูตัวเองเสียบ้าง นี่คนเขียนออกแบบตัวละครของท่านมาให้โง่แค่ไหนกัน? แม้แต่เศษเสี้ยวการแสดงออกทางสีหน้าท่าทางของท่านล้วนห่วยแตก” ฉินเย่คิดครู่หนึ่งก่อนจะหยิบหนังสือที่มีชื่อว่า คู่มือการเป็นนักแสดง ออกมา โยนมันเข้าไปใต้เตียงตามหลังลูกบอลผนึกและเอ่ยว่า
“ด้วยความยินดี”
เมินเฉยต่อเสียงสบถที่ดังมาจากใต้เตียงของตนโดยสมบูรณ์
ฉินเย่เหลือบมองนาฬิกาของเขา ตอนนี้เป็นเวลา 05.10 น.
ในแต่ละวันจะมีช่วงเวลาสองช่วงที่เป็นที่รู้กันในชื่อของ ‘ชั่วโมงปีศาจ’ มันคือช่วงเวลาที่เหตุการณ์เหนือธรรมชาติเกิดขึ้นบ่อยครั้งที่สุด นั่นก็คือตอนเวลา 05.00 น.และ 18.00 น. ช่วงเวลาดังกล่าวคือช่วงเวลาที่พลังหยินและพลังหยางซ้อนทับกัน และมนุษย์ผู้ที่มีพลังหยินอยู่ในกายอย่างเข้มข้นกว่าปกติหรือเกี่ยวข้องกับไสยเวทย์จะสามารถมองเห็นและรับคุณไสยเข้าสู่ร่างได้
เขาขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ตอนนี้เป็นเวลาเช้าแล้ว และมันก็ไม่มีทางที่เขาจะสามารถอัญเชิญวิญญาณ หวังเจ๋อหมินมาได้อีกต่อไป นอกจากนี้ ตัวเขาเองก็ไม่ได้เรียนรู้ศาสตร์ของการอัญเชิญดวงวิญญาณมาด้วย เหลือเวลาอีกแค่สามวันเท่านั้น เขาไม่คิดว่าอรากษสะจะล้อเล่นในเรื่องนี้แม้แต่น้อย อีกความหมายหนึ่งก็คือเขาต้องระบุตำแหน่งของเศษตราจ้าวนรกชิ้นแรกให้ได้ภายในสามวันนี้! ไม่อย่างนั้นทุกอย่างก็จบ
ชายหนุ่มถอนหายใจยาวเหยียดก่อนจะเดินไปที่อีกด้านหนึ่งของเตียงและยกหมอนขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจนัก ภายใต้หมอนมีสมุดสีเหลืองเล่มหนึ่งวางอยู่บนเตียง “นี่นะเหรอสิ่งที่ยายเฒ่าทิ้งไว้ให้เรา?” ฉินเย่รู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก หากมองดูสถานการณ์ตอนนี้ การมอบคัมภีร์ลับที่วิชามากมายจะไม่เป็นประโยชน์มากกว่าหรือ?
เขาพลิกเปิดดูหน้าแรก “เด็กน้อย หากเจ้ากำลังอ่านสมุดเล่มนี้อยู่ นั่นหมายความว่าเจ้าได้เรียนรู้เกี่ยวกับความจริงของสรรพสิ่งแล้ว และข้า…”
ฉินเย่พลิกหน้ากระดาษด้วยสีหน้ายากที่จะคาดเดา
ไม่เลย ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ท่านรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้ข้ากำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบไหนอยู่? ข้าเพิ่งถูกท่านไล่ต้อนจนจนมุมต่างหาก แต่ท่านกลับอยากให้ข้ารู้สึกเห็นอกเห็นใจท่านเนี่ยนะ? ไม่มีวันเสียหรอก
ที่ข้าต้องการก็คือวิชาลับ! สมบัติลับ! อสูรวิเศษหรือไม่ก็ยักษ์จินนี่! ข้าไม่ได้สนใจเลยว่าท่านจะหายไปที่ไหน!
เมื่อเปิดมาหน้าที่สอง เขาก็พบข้อความอีกชุดหนึ่ง “ยายแก่คนนี้หวังให้เจ้าปฏิบัติต่อข้าอย่างเย็นชาและลืมสิ่งที่อยู่ในหน้าแรกไปเสีย ดังนั้นยายแก่คนนี้ขอกล่าวซ้ำอีกรอบหนึ่งแล้วกัน “เด็กน้อย หากเจ้าได้อ่านมาถึงตรงนี้ มันก็หมายความว่าเจ้าได้เรียนรู้เกี่ยวกับความจริงของสรรพสิ่งแล้ว และข้า…”
ฉินเย่พลิกหน้ากระดาษด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกอีกครั้งหนึ่ง
ในหน้าที่สาม “จงอย่าทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่คือครั้งสุดท้ายที่ยายแก่คนนี้กำลังจะพูด ข้าคงจะคิดถึงโลกนี้และงานที่ข้าได้ทำมาเป็นระยะเวลาหลายพันปี เจ้าหนู หากเจ้าอ่านถึงตรงนี้แล้ว มันก็หมายความว่าเจ้าได้เรียนรู้ความจริงของสรรพสิ่งแล้ว และข้า…”
ตุบ! ฉินเย่ปิดหน้าสมุดด้วยมือเพียงข้างเดียวทันที หลังสูดหายใจเข้าจนเต็มปอดและปรับอารมณ์ให้เป็นปกติได้แล้ว เขาก็มองดูสมุดในมืออีกครั้ง ด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงถึงอารมณ์ใด ๆ พลิกไปยังหน้าที่สี่
ในที่สุดนางก็เข้าประเด็นเสียที! ทำไมนักเขียนบางคนถึงชอบเขียนข้อความซ้ำแล้วซ้ำเล่ากัน? นางพยายามทำให้คำมันดูเยอะเหรอไง?
สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมกว่าขึ้น อย่างคำกล่าวที่ว่า ความรู้คือพลัง สิ่งที่เขากำลังอ่านอยู่คือรากฐานของการเป็นยมทูตมือใหม่แห่งนรก
อันที่จริง…เขาแอบหวังลึก ๆ ว่าตัวเองจะสามารถหาช่องโหว่ที่ทำให้เขาสามารถหนีไปจากเส้นตายที่จะถึงในอีกสามวันต่อจากนี้ได้ เพื่อที่เขาจะได้สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไป!
ในที่สุดข้อความในหน้าที่สี่ก็เข้าประเด็นเสียที ชื่อหัวข้อบ่งบอกถึงความหมายที่ชัดเจนในตัว “ระบบสำหรับการแบ่งระดับของยมทูตและภูตผี”
“เหล่าเจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่อยู่ในนรกจะถูกเรียกว่ายมทูต ยมทูตที่อยู่ระดับล่างสุดจะถูกเรียกว่า ยมเทพ พวกเขารับผิดชอบในการดูแลปกครองเรื่องระดับหมู่บ้าน ระดับต่อไปของยมทูตรู้กันในชื่อว่า นักล่าวิญญาณ ซึ่งรับผิดชอบดูแลปกครองเรื่องระดับตำบล ทั้งสองตำแหน่งนี้ถือว่าเป็นยมทูตระดับล่าง”
“ยมทูตระดับกลางจะถูกจำแนกหน้าที่ออกเป็นสองส่วน ส่วนแรก รับผิดชอบดูแลปกครองเรื่องระดับเทศมณฑล มีชื่อว่า ยมทูตขาวดำ ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งที่รับผิดชอบดูแลเรื่องระดับนครจะถูกเรียกว่า ตุลาการนรก”
“ยมทูตระดับสูงเองก็ถูกแบ่งหน้าที่ออกเป็นสองส่วนเช่นกัน ตำแหน่งแรกคือผู้ปกครองดูแลเรื่องระดับมณฑล จะถูกเรียกว่า ฝู่จวิน ขณะที่ผู้ดูแลเรื่องระดับประเทศก็คือ พระยม”
“เมื่อใครก็ตามที่ทำหน้าที่ในตำแหน่งพระยมมามากกว่า 500 ปี เขาก็อาจจะถูกรับเลือกให้เป็นจ้าวนรกโดย เหล่าพลเมืองของนรก ภายในนรกทั้งหมด มียมเทพทั้งสิ้น 1.2 ล้านตน นักล่าวิญญาณสองแสนสี่หมื่นตน ยมทูตขาวดำ 3.5 หมื่นตน ตุลาการนรก 1.2 พันตน ฝุ่จวินนรกเก้าสิบตน และพระยมสิบตน พระยมทั้งสิบยังมีชื่อเรียกว่าท่านอ๋องแห่งพระตำหนักทั้งสิบ ส่วนยมทูตที่อยู่ในระดับต่ำกว่าระดับยมเทพลงไปจะไม่มีถูกนับรวมไว้ในสำมะโนครัว จากการสำรวจครั้งล่าสุด มียมทูตระดับนี้อยู่ประมาณ 10 ล้านตน”
“นอกจากนี้ยังมีราชันย์วิญญาณทั้งหกทั้งหก นามว่า จ้าวอวิ๋น อิงปู้ หยางกุน ฟ่านไคว่ หรันหมิน และไป๋ฉี เหล่านี้คือเจ้าหน้าที่พิเศษที่ท่องไปในดินแดนต่าง ๆ เมื่อใดที่พวกเขาตรวจพบวิญญาณร้ายระดับสูง พวกเขาก็มีอำนาจในการกำจัดพวกมันในทันที” [1]
“แต่จงระวัง ไม่มีเจ้าหน้าที่ของนรกตนใดที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องในโลกมนุษย์ ใครก็ตามที่ฝ่าฝืนกฎเหล่านี้จะถูกทำโทษด้วยกฎธรรมชาติของโลกในชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าทัณฑ์สวรรค์ แม้นรกจะล่มสลาย แต่ทัณฑ์สวรรค์ยังคงอยู่! เจ้าต้องระวังกฎในข้อนี้ให้ดี”
ฉินเย่ชะงักไปในทันที หลังจากที่ได้อ่านเนื้อหาในหน้าที่สี่ ในที่สุดเขาก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับลำดับขั้นในนรกขึ้นมาบ้าง ขณะเดียวกันเขาก็ตระหนักได้แล้วว่าตัวตนของอรากษสะนั้นน่ากลัวเพียงใด นางเป็นผู้ปกครองดูแลเรื่องระดับมณฑล หนึ่งในตุลาการนรก 1.2 พันตน หรือหากพูดอีกแบบหนึ่งก็คือในบรรดาดวงวิญญาณที่อยู่ในนรกทั้งหมดพันล้านตน นางเป็นหนึ่งในวิญญาณระดับสูงกว่า 1.2 พันตน!
ทว่าตอนนี้ อีกฝ่ายกลับนอนอย่างอนาถอยู่ใต้เตียงของเขา…
แย่แน่ เมื่อใดก็ตามที่เรามีโอกาส เราจะต้องพาตัวเองออกห่างจากนางให้ได้
หลังจากคิดเช่นนั้น ฉินเย่จึงอ่านต่อ
“ผีและวิญญาณในนรกเองก็ถูกแบ่งออกเป็นหกระดับเช่นกัน จากระดับ S ไปจนถึงระดับ E ระดับต่ำสุดคือระดับ E หมายถึงวิญญาณแรกเกิดที่มีอายุเพียงห้าปี วิญญาณที่อายุ 50 ปีขึ้นไปคือวิญญาณระดับ D วิญญาณอายุ 100 คือวิญญาณระดับ C วิญญาณอายุ 300 ปีคือวิญญาณระดับ B ส่วนวิญญาณอายุ 500 ปีคือวิญญาณระดับ A และสุดท้ายสุดท้ายดวงวิญญาณที่มีอายุกว่าล้านปีและราชันย์วิญญาณจะถูกจัดเป็นวิญญาณระดับ S ด้วยความสามารถของเจ้าในตอนนี้ ข้าขอแนะนำว่าเจ้าควรรีบหนีไปให้เร็วที่สุดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับวิญญาณระดับ D”
“เมื่อผีพวกนี้ถูกเจ้าสยบได้ พวกมันจะถูกผนึกไว้ในลูกบอลผนึกวิญญาณโดยอัตโนมัติ…”
ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายอย่างเข้าใจ ลูกบอลผนึก…นี่คือชื่อของเจ้าโปเกบอลลูกนี่สินะ?
เขาเอ่ยออกมาก่อนอ่านต่อ “ผู้ที่จะสามารถเปิดลูกบอลผนึกได้จะมีเพียงผู้ที่ผนึกพวกมันเท่านั้น ในทุก ๆ ร้อยปี ตุลาการนรกจะเป็นผู้ส่งมอบลูกบอลผนึกให้กับพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ด้วยตนเองเพื่อนำไปเผาทำลาย…”
ทันใดนั้นเองความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของจิตใจของเขา เขาพยายามจะจดจำความคิดนี้ไว้แต่มันก็ไร้ประโยชน์ ฉินเย่ขมวดคิ้วเข้าหากันอยู่ครู่หนึ่ง แต่เขาก็ยังไม่อาจจำความคิดนั้นได้อยู่ดี
เด็กหนุ่มส่ายหน้าและอ่านต่อ น่าแปลก…เนื้อหาทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้ดูเหมือนจะเผาไหม้ตัวเองเข้าไปในสมองของเขาแม้เขาจะอ่านมันผ่าน ๆ ก็ตาม และหลังจากพลิกเปิดไปหลายหน้า เขาก็ต้องชะงักอีกครั้ง
“ผู้เป็นอมตะ”
[1] บุคคลเหล่านี้ล้วนเป็นบุคคลที่สำคัญมากในประวัติศาสตร์จีน อย่างเช่น จ้าวอวิ๋นที่เป็นหนึ่งในยอดขุนพลรองจากหลิวเป่ยในยุคสามก๊ก ขณะที่ไป๋ฉีคือหนึ่งในขุนพลกังฉินของยุคเรียดก๊กที่สังหารนักโทษไปมากกว่าแสนคน