ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] – ตอนที่ 114: กฎของยมโลก (1)

บทที่ 114: กฎของยมโลก (1)

สิบนาทีต่อมา ทั้งสองก็นั่งอยู่ในบาร์แห่งหนึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แน่นอนว่ามีกุ้งหม่าล่าเครฟิช [1] ที่โด่งดังตั้งอยู่ด้วย

ตัวร้านตั้งอยู่ไม่ห่างจากถนนเทียนซีที่ 4 มากนัก อันที่จริงมันห่างไปเพียงหนึ่งถนนเท่านั้น แต่ความแตกต่างระหว่างถนนทั้งสองสายนั้นมีมากราวกับกลางวันและกลางคืน ถนนเทียนซีที่ 4 นั้นเป็นย่านมืด ๆ สลัว ๆ ในขณะที่ถนนสายถัดไปนั้นส่องสว่าง เต็มไปด้วยเสียงเพลงและผู้คน แม้ว่าจะเป็นเวลากลางคืนแล้วก็ตาม

ร้านที่ซุนคังเหลียงพามานั้นตั้งอยู่ในทำเลที่ดีพอสมควร แม้ว่าเวลาจะเป็นเวลาตีหนึ่งกว่าแล้ว แต่ก็ยังเต็มไปด้วยลูกค้ามากมาย ตัวร้านเองก็ถูกตกแต่งค่อนข้างดี หน้ากากงิ้วเสฉวนจำนวนมากถูกติดไว้บนผนัง ในขณะนี้ ฉินเย่และซุนคังเหลียงมีหม้อไฟหม้อหนึ่งตั้งอยู่ตรงหน้า กุ้งตัวสีแดงลอยอยู่ในจานที่ถูกโรยด้วยต้นหอม พริก และเครื่องเทศหลายชนิด ส่งกลิ่นหอมเชื้อเชิญน่ารับประทานเป็นอย่างมาก

ภายในห้องอาหารส่วนตัวที่แสนหรูหราแห่งนี้มีแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น แต่กลับไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว

ในตอนนี้ฉินเย่ไม่ได้รู้สึกอย่างทานอะไรทั้งนั้น เขาหมุนถ้วยน้ำชาในมือตัวเองอย่างเหม่อ ๆ ในขณะเดียวกัน ซุนคังเหลียงเองก็กำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ในใจเช่นกัน ตั้งแต่ที่ฉินเย่ปรากฏตัวขึ้น เขาลอบสังเกตเด็กหนุ่มตรงหน้ามาตลอด

อีกฝ่ายดูน่าจะอายุไม่ถึง 20 ด้วยซ้ำ

แต่กลับมีความอดทนมากถึงเพียงนี้ หากพูดกันตามตรง แววตาของฉินเย่ดูลึกล้ำอย่างน่าประหลาด…

ชายวัยกลางคนค่อนข้างประหลาดใจกับความคิดที่ผุดขึ้นมาภายในหัวของตน แต่เมื่อได้สังเกตอย่างใกล้ชิด เขาก็ยืนยันข้อสงสัยก่อนหน้านี้ของตัวเอง

ใช่แล้ว มันลึกล้ำจริง ๆ

แม้ว่าภายนอกฉินเย่จะดูเหมือนเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งทั่วไป เขาไม่ได้แกล้งพยายามทำตัวเหมือนผู้ใหญ่ แต่เขากลับให้ความรู้สึกเหมือนคนที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากมายนับไม่ถ้วน ทั้งสีหน้าและการกระทำของเขานั้นล้วนออกมาจากใจจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียงหัวเราะหรือความรู้สึกโกรธเกลียด สิ่งเหล่านั้นถูกเผยออกมาผ่านใบหน้าของเขาทั้งหมด มันแทบจะเหมือนกับว่า….

เขาคือศูนย์รวมของความจริงใจ?

ท่ามกลางความเงียบที่ปกคลุมทั้งคู่ ในหัวเขาพยายามคิดหาวิธีว่าจะขอร้องเด็กหนุ่มตรงหน้านี้อย่างไร แต่แล้วเขาก็ต้องล้มเลิกความคิดทั้งหมด สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจที่จะใช้วิธีเรียบง่ายและจริงใจที่สุดแทน

“พวกเราจับตาดูภาพจากกล้องวงจรปิดในร้านกาแฟหมายเลข 4 มาเป็นเวลาสักพักแล้วครับ” รอยยิ้มบนใบหน้าเลือนหายไป พร้อมกับยื่นซองบุหรี่ให้กับฉินเย่ แม้เขาไม่ใช่คนสูบบุหรี่จัด แต่มันก็ยังติดเป็นนิสัยที่ต้องมีซองบุหรี่อยู่ติดตัวอยู่ตลอดเวลา

ฉินเย่เพียงพยักหน้าเบา ๆ เป็นการตอบรับ

“ผมรู้ถึงการมาถึงของคุณตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้ว หลังจากที่ได้ฟังบทสนทนาระหว่างคุณและหลี่เจียนคัง ผมก็ไปรอคุณอยู่ที่หน้าถนนทันที แต่ต้องขอโทษด้วยที่ผมไม่มีความกล้าเพียงพอที่จะก้าวเข้าไปเหยียบถนนเส้นนั้น ไม่ทราบว่าผมควรจะเรียกคุณว่าอย่างไรดี?”

“ฉิน” ฉินเย่เอ่ยนิ่ง ๆ “แต่ก่อนที่คุณจะถามคำถามมากมายของคุณ ผมเองก็มีคำถามเช่นกัน”

“เชิญครับ”

ฉินเย่ยังคงเล่นกับถ้วยน้ำชาของตัวเอง “คุณรู้เรื่องของหน่วยสอบสวนพิเศษได้อย่างไร? แล้วคุณรู้ข้อมูลเกี่ยวกับพวกเขามากแค่ไหน? และใครเป็นคนบอกเรื่องนี้กับคุณ?”

ซุนคังเหลียงฉีกยิ้มอย่างเป็นมิตร “คุณฉินครับ กำแพงมีหู ประตูมีช่อง มันย่อมมีคนที่รู้เรื่องมากกว่าคนอื่น ๆ อยู่เสมอ”

“และบังเอิญว่าท่านประธานของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เถิงหลงก็ได้อันดับที่ 349 ของผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในแผ่นดินจีน 500 อันดับแรก เขาคือผู้ที่เอ่ยเตือนทุกคนในที่ประชุมคณะกรรมการบริหารทุกคนว่าควรให้ความเคารพกับคนของหน่วยสอบสวนพิเศษ ไม่ว่าพวกคุณจะอายุเท่าไหร่หรือเพศอะไร หรือต่อให้คุณจะเป็นเด็กอายุสิบขวบก็ตาม”

ฉินเย่จ้องมองภาพสะท้อนของตัวเองในถ้วยชา

นี่เป็นเรื่องของผลประโยชน์อย่างไม่ต้องสงสัย

จุดประสงค์หลักของเขาในการมาที่เมืองไดซานนั้นไม่ใช่เพื่อรักษาตำแหน่งอาจารย์ดีเด่น แต่…มันคือเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับบริษัทนายทุนรับเหมาก่อสร้าง!!

คำถามเมื่อครู่นี้ของฉินเย่อาจจะดูเหมือนไม่มีจุดหมาย แต่ความจริงของเรื่องนี้ก็คือเขากำลังตรวจสอบถึงตำแหน่งของอีกฝ่าย ชื่อและตำแหน่งของซุนคังเหลียงไม่ได้แสดงถึงความสำคัญของเจ้าตัวมากนัก ผู้จัดการแผนกในบริษัทขนาดเล็กอาจจะเป็นใครก็ได้ ในขณะที่หัวหน้าแผนกในบริษัทใหญ่ ๆ นั้นจะต้องถูกแต่งตั้งด้วยตัวของผู้เป็นประธานบริษัทเอง [2] ในเรื่องนี้ คำตอบของซุนคังเหลียงนั้นเป็นที่น่าพึงพอใจอย่างมาก เนื่องจากมันตอบคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจของเขาได้อย่างดี

ตอนนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าคนตรงหน้านี้เองก็น่าจะเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เถิงหลงด้วยเช่นกัน

ตำแหน่งของอีกฝ่ายไม่ได้ต่ำหรือสูงเกินไป และมันก็เพียงพอแล้วต่อจุดประสงค์ของเขา

การเลือกทำงานกับคนที่มีความสำคัญมาก แต่ก็ง่ายต่อการดึงดูดความสนใจของผู้คนด้วยเช่นกัน ฉินเย่ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการแข่งขันของพวกนายทุน

แต่บางครั้งหากพวกเขาสองคนมีผลประโยชน์ต่อกันทั้งสองฝ่าย นั่นก็ไม่เป็นปัญหาหากเขาจะลองร่วมมือด้วย และจากประสบการณ์หลายปีของฉินเย่บอกว่า รายละเอียดสำคัญต่าง ๆ จะหลุดออกมาก็ตอนที่อีกฝ่ายต้องการให้เขาอะไรบางอย่าง

เพราะ…ฉินเย่ยังต้องการรู้ด้วยว่าบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เถิงหลงนั้น เกี่ยวข้องกับถนนเทียนซีที่ 4 อย่างไร

“คุณต้องการที่จะรื้อถอนถนนเทียนซีที่ 4 อย่างนั้นเหรอ” แม้ว่าฉินเย่จะอยู่ในสภาวะอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก แต่เขาก็พยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อที่จะปลุกวิญญาณของตัวเองขึ้นมา “ผมเห็นแผนการจัดการแล้ว พื้นที่ทั้งหมดประมาณ 25 ตารางกิโลเมตร นับว่าเป็นโครงการที่ใหญ่พอสมควร และเรื่องของหลี่เจียนคังก็เป็นอุปสรรคเพียงอย่างเดียวที่ขัดขวางการรื้อถอนของพวกคุณสินะ?”

ซุนคังเหลียงได้เตรียมตัวที่จะเปิดเผยทุกอย่างให้กับฉินเย่ได้รู้อยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ชายวัยกลางคนก็ยังผงะไปกับคำถามที่ตรงไปตรงมาของอีกฝ่าย อย่างไรก็ตาม สัญชาตอันเฉียบคมของเขาก็บอกเขาว่า อย่าพูดจาอ้อมค้อมกับคนตรงหน้าเป็นอันขาด แม้ว่าวิธีอื่นจะทำให้เขามีโอกาสต่อรองมากกว่า ซึ่งแบบนั้นต้องไม่ใช่ตอนที่ฉินเย่กำลังอารมณ์ไม่ดีแบบนี้

“ใช่ครับ…คุณฉิน พวกเราจะสามารถดำเนินงานรื้อถอนต่อได้ก็ต่อเมื่อหลี่เจียนคังย้ายออกไปแล้ว แต่นั่นยังไม่นับว่าเป็นปัญหาเสียทีเดียว ปัญหาที่แท้จริงนั้นอยู่ที่เรื่องอื่น”

“คุณอาจจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่ทุกครั้งที่เราจะดำเนินงานรื้อถอน เราจะต้องสร้างถิ่นฐานใหม่ให้กับผู้ที่อยู่ในบริเวณที่ถูกรื้อถอนเสียก่อน มันคือการตั้งถิ่นฐานใหม่ในถิ่นฐานเดิม แต่…หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับหลี่เจียนคัง คุณคิดว่าคนอื่น ๆ จะยอมเป็นเพื่อนบ้านกับเขาอีกหรือครับ?”

“ผู้คนต่างก็หวาดกลัวกับสิ่งที่อยู่ภายในบ้านของเขาเป็นอย่างมาก พวกเขาต่างกลัวว่าวันใดวันหนึ่งหลี่เฉิงจะกลับมาบ้าน และพวกเขาไม่สามารถนึกภาพของตัวเองว่าจะสามารถเป็นเพื่อนบ้าน กับคนที่อาจซ่อนตัวลูกชายผู้ซึ่งเป็นฆาตกรเอาไว้ได้ ผู้คนที่ยังอาศัยอยู่บนถนนเทียนซีที่ 4 ล้วนเป็นเพื่อนบ้านของหลี่เจียนคังทั้งนั้น ตามแผนการของเรา พวกเขายังคงต้องเป็นเพื่อนบ้านของหลี่เจียนคังในที่อยู่ใหม่ที่จัดให้ แต่พวกเขาเกือบทุกคนได้ยืนเงื่อนไขในการย้ายถิ่นฐานกับเราว่า พวกเขาไม่ต้องการที่จะอยู่ใกล้หลี่เจียนคังอีกแล้ว”

ฉินเย่พยักหน้าเบา ๆ บ่งบอกว่าเขาเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จากนั้นจึงถามว่า “แสดงว่าพวกเขาต้องการให้หลี่เจียนคังย้ายออกก่อนถึงจะยอมตอบตกลงอย่างนั้นเหรอ?”

“ใช่ครับ…” ซุนคังเหลียงหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “ตราบใดที่หลี่เจียนคังยังคงไม่ย้ายออกไป เพื่อนบ้านของเขาทุกคนก็จะไม่ยอมตอบตกลง ในขณะเดียวกัน เงื่อนไขที่หลี่เจียนคังยื่นต่อบริษัทของเราก็คือหากเราสามารถแก้ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวของเขาได้ เขาก็ยินดีที่จะรับค่าชดเชยและย้ายไปอยู่ที่อื่นเอง แต่ถ้าเราไม่สามารถทำได้ เขาก็ยืนยันว่าตัวเองจะไม่ยอมย้ายไปไหนจนกว่าตัวเองจะตาย”

ฉินเย่ขมวดคิ้วยุ่ง

มีบางอย่างผิดปกติ?

ตอนที่เขาพูดเมื่อครู่นี้ เรารู้สึกเหมือนกับมีความคิดบางอย่างแวบเข้ามาในหัว แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็ว

ซุนคังเหลียงเอ่ยต่อ “พวกเราได้ทำการรื้อถอนและพัฒนาพื้นที่ทั่วทั้งแผ่นดินจีน และเราก็รู้ดีว่าคนพวกนี้ไม่ได้เห็นแก่เงิน แต่เราก็ไม่มีวิธีที่จะช่วยเหลือเขาในเรื่องนี้จริง ๆ ครับ!”

“พระสงฆ์แปดในสิบรูป นักพรตเต๋าและผู้ฝึกตนจำนวนมากที่เราได้จ้างมาต่างเป็นพวกนักต้มตุ๋นทั้งสิ้น! ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าหลี่เจียนคังกำลังคิดอะไรอยู่ นักต้มตุ๋นพวกนี้ไม่มีค่าพอที่จะจ้างมาเลยด้วยซ้ำ แต่เขาก็ยังทำ…เอ่อ คุณฉินครับ?”

จู่ ๆ ฉินเย่ก็ลุกขึ้น

เขารู้แล้ว…

ความคิดก่อนหน้านี้ที่แวบเข้ามาในหัว…เขาเข้าใจแล้ว!

“คุณลองพูดมันอีกทีสิ” ฉินเย่กระแทกโต๊ะด้วยฝ่ามือทั้งของข้างเสียงดัง แล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของซุนคังเหลียง “ช่วยพูดสิ่งที่คุณเพิ่งพูดออกมาอีกครั้งที”

ชายวัยกลางคนกะพริบตาปริบ ท่าทางของฉินเย่ทำให้หัวใจที่สิ้นหวังของเขาถูกเติมเต็มด้วยความหวังอีกครั้ง

บางที…

เด็กหนุ่มที่ดูประหลาดคนนี้…อาจจะมีทางแก้ปัญหานี้ได้?

เขาจัดระเบียบความคิดของตัวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่อธิบายทุกอย่างด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม “พวกเราได้ทำการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก บางคนก็เรียกตัวเองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญซึ่งอาศัยอยู่ที่ถนนแห่งผู้ล่วงลับ บางคนก็เรียกตัวเองว่าเทพธิดาหรือร่างอวตารของเทพเจ้า และอื่น ๆ อีกมากมาย เรามักจะเชิญพวกเขามาเพื่อทำการอวยพรให้โครงการของเราประสบความสำเร็จในทุก ๆ ครั้งที่เปิดการก่อสร้างใหม่ ดังนั้นผมจึงเห็นคนพวกนี้มามากพอสมควร ซึ่งผมขอบอกตามตรงว่าผมหมดความเชื่อถือต่อคนพวกนี้แล้ว”

“แต่หลี่เจียนคังกลับไม่ปฏิเสธคนพวกนี้เลยแม้แต่คนเดียว ขอแค่พวกเขารับงานนั้น เขาก็พร้อมที่จะอ้าแขนรับ โดยที่เขาแทบจะไม่ปริปากพูดเกี่ยวกับเหตุการณ์ประหลาดนั้นเลย….อ้อ! แต่มีครั้งหนึ่งครับ ผมได้ยินมาว่าหน่วยสอบสวนพิเศษได้ส่งคนมาที่นี่ และนั่นก็ทำให้ผมยอมเข้ามาที่ถนนเทียนซีที่ 4 อย่างตื่นเต้นเป็นครั้งแรก แต่น่าเสียดายที่หลี่เจียงคังปฏิเสธความช่วยเหลือของพวกเขา”

ฉินเย่ยกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย “เหตุผลล่ะ?”

ซุนคังเหลียงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ตอนนั้น ผมคิดว่าเขาพูดประมาณว่า…พวกเขามีหลักฐานยืนยันตัวตนไม่พอ เขาเลยไม่เชื่อใจพวกเขา”

เพียงแค่นั้น…

ในที่สุดชิ้นส่วนของปริศนาก็เริ่มรวมเข้าด้วยกัน เด็กหนุ่มหมุนตัวและเตรียมจะเดินไปที่ทางออกทันที “เตรียมค่าจ้างไว้ให้เรียบร้อย แล้วพรุ่งนี้เช้า เรื่องทุกอย่างจะจบลง”

“คุณพูดจริงเหรอครับ?!” ซุนคังเหลียงลุกพรวดและสูดหายใจเข้าลึก ๆ ดวงตาของเขาลุกโชนราวกับอยู่ในกองไฟ “หากคุณสามารถจบเรื่องบ้า ๆ พวกนี้ได้…ทางเราจะต้องตอบแทนคุณด้วยตัวเลขที่น่าพอใจแน่นอนครับ!”

ปัง… บานประตูปิดลง

ฉินเย่ยืนอยู่ด้านนอกของตัวอาคาร สางนิ้วมือไปตามเส้นผม ขณะที่ประกายของจิตสังหารปรากฏขึ้นในส่วนลึกของแววตา

“เรื่องทั้งหมดเป็นอย่างนี้นี่เอง… อย่างนี้นี่เอง…”

“พวกเจ้า…กล้ามากจริง ๆ ที่มาท้าทายอำนาจยมทูตของข้า….”

“ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้…ก็จงอย่าโทษข้าที่จะเก็บเกี่ยววิญญาณของเจ้าก็แล้วกัน!”

เขาไม่คิดจะปกปิดตัวตนของตัวเองอีกต่อไป สิบนาทีต่อมา เด็กหนุ่มปรากฏตัวขึ้นที่หน้าบ้านของหลี่เจียนคังอีกครั้ง

ประตูบ้านถูกเปิดออกเบา ๆ และถูกปิดลง ฉินเย่กวาดสายตามองดูความมืดที่อยู่โดยรอบ จากนั้นจึงพูดออกมาเสียงดัง “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังมองดูข้าอยู่จากที่ไหนสักแห่ง”

“ข้าให้เวลาเจ้าห้าวินาทียอมจำนนซะ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะต้องเสียใจ หากข้าหาเจ้าเจอด้วยตัวของข้าเอง”

ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ

“ห้า…สี่ สาม สอง หนึ่ง….ดี” ทันทีที่ฉินเย่นับถอยหลังเสร็จ พลังหยินจำนวนมากก็ระเบิดออกมาจากร่าง เขาเปลี่ยนเป็นร่างยมทูตอย่างรวดเร็ว ภาพของเขาในเวลานี้ราวกับวิญญาณที่ผุขึ้นมาจากขุมนรก

ผมสีขาวของเขาปลิวไหวไม่เป็นทรง เสื้อคลุมสีดำที่กระพืออย่างรุนแรง ใบมีดขาวซีดของกระบี่ปีศาจมีความยาวเป็นครึ่งหนึ่งของส่วนสูงของเขา ฉินเย่ชักกระบี่ออกมาจากฝักและกระแทกบริเวณปลายของมันลงกับพื้นอย่างแรง ส่งผลให้เกิดรอยแยกแพร่กระจายไปทั่วราวกับใยแมงมุม

กลุ่มก้อนพลังหยินสีดำบริสุทธิ์หลั่งไหลออกมาจากแขนเสื้อและรูทวารทั้งเจ็ด ราวกับว่าพวกมันคืองูที่เลื้อยไปมาอย่างน่ากลัว ยมทูตมาถึงแล้ว วิญญาณทุกตนก็ต้องก้มหัวถอยไป เสียงกรีดร้องด้วยความกลัวดังขึ้นในความมืดก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย

“อาร์ตี้ เจ้าสามารถเปลี่ยนดวงตาของข้าให้เห็นเพียงมนุษย์ได้หรือไม่?” ฉินเอ่ยขึ้นขณะที่กวาดสายตาไปรอบ ๆ อย่างใจเย็น

“ง่ายมาก” นกกระเรียนกระดาษบินมาอยู่ด้านหน้าของเขาและหมุนตัว “เรียบร้อย”

ในสิบนาทีต่อมา รูม่านตาของฉินก็เปลี่ยนจากสีขาวซีดเป็นสีแดงเข้ม เขามองรอบ ๆ อีกครั้ง ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ “เป็นอย่างที่คิด…”

“เขาไม่ยอมแพ้จนถึงที่สุดจริง ๆ นะ…” ฉินเย่กระชับมือที่จับด้ามกระบี่ของตนแน่นก่อนจะแทงมันลงไปบนพื้นด้วยแรงทั้งหมดที่มี “หลี่เจียนคัง!”

ตู้ม!!!

บริเวณพื้นที่เด็กหนุ่มยืนอยู่แตกออก เผยให้เห็นโครงสร้างแข็งแรงที่อยู่ข้างใต้อีกที

ในเวลาเดียวกัน เจ้าหน้าที่สองคนจากหน่วยสอบสวนพิเศษประจำเมืองไดซานที่กำลังปฏิบัติหน้าที่เฝ้าระวังอยู่ต่างก็เบิกตากว้างอย่างตกตะลึง

“ช่างทรงพลังจริง ๆ….” หนึ่งในนั้นอ้าปากค้างพร้อมกับดวงตาที่เป็นประกายวาววาบ “นั่นไง…เขาลงมือแล้ว! ในที่สุดเขาก็ลงมือแล้ว!”

นี่คือสิ่งเดียวที่พวกเขาสามารถมองเห็นในตอนนี้ คลื่นพลังปราณขั้นนักล่าวิญญาณที่ทรงพลังกระเพื่อมไหวราวกับเกลียวคลื่นขนาดใหญ่ที่แพร่กระจายออกไปในรัศมีร้อยเมตรรอบ ๆ บ้านของหลี่เจียนคัง ส่งผลให้ต้นไม้โดยรอบโอนเอนไปมาอย่างบ้าคลั่ง!

“ขะ เขา…เขาเจออะไรบางอย่างแล้วเหรอ? หรือว่าเขาไขปริศนาที่อยู่เบื้องหลังเขตไล่ล่าแห่งนี้ได้แล้ว?” เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งจ้องไปที่บ้านของหลี่เจียนคังตาไม่กะพริบขณะที่เอ่ยออกมาอย่างตื่นตระหนก

“นั่นเป็นไปไม่ได้…แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับสูงของเมืองไดซานก็ยังไม่สามารถทำลายเขตไล่ล่านี้ได้…”

ทว่าฉินเย่ก็ได้ตอบข้อสงสัยภายในใจของพวกเขาด้วยการกระทำของตัวเอง

กระบี่เล่มยาวของเขาเปล่งประกายราวกับหิมะบริสุทธิ์ กลบเกลื่อนพลังหยินของเขาให้เป็นพลังปราณ ฉินเย่ยังคงกวัดแกว่งกระบี่ของตนลงกับพื้นอย่างบ้าคลั่ง ส่งผลให้รอยแตกบนพื้นขยายใหญ่ขึ้น และรากฐานของมันก็จมลงเรื่อย ๆ!

หนึ่งเมตร สามเมตร ห้าเมตร…สิบเมตร!

แกร็กก…..รอยแตกบนพื้นขายวงกว้างขึ้นแผ่ขยาย จนกลายเป็นรอยแตกขนาดใหญ่ในท้ายที่สุด และด้วยการแกว่งกระบี่ในมืออีกครั้ง ในที่สุดเขาก็มาถึงระดับความลึก 12 เมตร จากนั้น….โคร่ม!!

ฉินเย่ตวัดกระบี่ของเขาลงที่พื้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ แทนที่จะเจาะไปยังฐานที่แข็งแกร่งของพื้นดินด้านล่าง มันกลับสร้างรูขนาดใหญ่ที่มีความกว้างประมาณ 20 ตารางเมตรแทน!

ด้วยแสงจันทร์ที่ส่องแสงสลัว เศษซากไม้และก้อนกรวดจำนวนมากตกลงไปในรูที่ส่งกลิ่นเหม็นเปรี้ยวของเนื้อเน่า ตรงกลางของรูคือร่างของชายสวมเสื้อคลุมยาวสีดำ สวมหมวก และถือไม้เท้ายืนอยู่ตรงกลาง และกำลังจ้องมองเพดานด้านบนด้วยสายตาตะลึงงัน

ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่งลงมา ชายผมขาวที่มีรูม่านตาสีแดงเคลือบนัยน์ตาดำ สวมชุดโบราณสีเข้มกำลังลอยลงมาจากฝากฟ้า พร้อมกับกลุ่มพลังหยินที่ไหลเวียนอย่างบ้าคลั่งอยู่รอบ ๆ และชายผู้นั้นก็กำลังจ้องมองมาที่เขา!

มันเหมือนกับการจุติของยมทูตขาวดำ!

“อ่า….ดูเหมือนจะอยู่กันทั้งครอบครัวเลยนะ…” ฉินเย่เลียริมฝีปากของตัวเอง พร้อมกับพื้นหลังที่เป็นดวงจันทร์สีขาวซีด เขาชี้กระบี่ของตนไปยังด้านล่าง ตรงไปที่ร่างของชายผู้ซึ่งยืนอยู่กลางห้อง แม้ว่าการกวัดแกว่งของกระบี่นั้นจะดูนุ่มนวลยิ่ง แต่ผู้ฟังกลับเหมือนได้ยินเสียงร้องอันน่าสังเวชดังแว่วเข้าหูมาอย่างน่าขนลุก ราวกับเป็นการประกาศการมาถึงของนักล่าวิญญาณแห่งนรกภูมิ

“ด้วยคำพิพากษาจากนรก เหล่าวิญญาณทั้งปวงจงสูญสิ้น!”

[1] ภาพกุ้งหม่าล่าเครฟิช

[2] วัฒนธรรมในองค์กรของจีนนั้นแตกต่างจากประเทศอื่น ๆ การสร้างความสัมพันธ์ (connections) นั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับบริษัทใหญ่ ๆ นี่คือเหตุผลว่าทำไมผู้เขียนถึงบอกว่าผู้จัดการแผนกของบริษัทใหญ่นั้นมีแนวโน้มที่จะรู้จักกับประธานของบริษัท

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

ฉินเย่เด็กหนุ่มมัธยมปลายที่ไม่มีวันแก่ เพราะกิน “เห็ดเทียนสุ่ย” เข้าไปทำให้มีชีวิตอยู่ระหว่างสองโลก เป้าหมายในชีวิตของเขาเพียงต้องการมีชีวิตเล่นเกมอยู่ไปวัน ๆ เท่านั้น แต่ดูเหมือนนรกจะไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องของเขา เมื่อนรกถึงกาลอวสาน ผีร้ายออกอาละวาดบนโลกมนุษย์ ทำให้ฉินเย่ที่เป็นยมทูตคนสุดท้ายต้องรับหน้าที่จ้าวนรกเพื่อพิทักษ์โลกใบนี้!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset