บทที่ 117: กฎไม่มีที่สำหรับความรู้สึก
เหนือพื้นดิน เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนยืนประจำทิศเหนือใต้ของบ้านของหลี่เจียนคัง รถตำรวจหน้าคันถูกจอดอยู่ด้านนอก และเจ้าหน้าที่ทั้งหมดได้กางเทปกั้นเพื่อปิดล้อมพื้นที่
“ทำไมมันถึงเงียบแบบนี้?” หนึ่งในเจ้าหน้าที่มองลงไปในหลุมและถามอย่างเป็นกังวล “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”
ทั้งสองไม่ได้สนใจเสียงไซเรนที่ดังขึ้นในพื้นที่เลยแม้แต่น้อย เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งเม้มปากและส่ายศีรษะไปมา “ฉันไม่คิดอย่างนั้น…วิญญาณที่อยู่ในเขตไล่ล่านี้เป็นวิญญาณอาฆาตแน่นอน และมันก็ไม่มีทางที่จะเป็นภัยต่อเจ้าหน้าที่ขั้นนักล่าวิญญาณได้ อย่างมากที่สุดเขาก็อาจจะแค่ได้รับบาดเจ็บ….หัวหน้า!!”
ทั้งสองรีบทำความเคารพหัวหน้าของตนพร้อมเพรียงกันทันที เจ้าหน้าที่ที่ปิดล้อมพื้นที่อยู่เปิดทางให้กับผู้ที่เพิ่งมาใหม่ ชายสี่คนรีบเดินเข้าไปในพื้นที่ทันที และผู้ที่เป็นหัวหน้าของกลุ่มก็คือชายผมขาว สวมแว่นตาและสวมชุดปฏิบัติการสีขาว
“สถานการณ์ข้างในเป็นอย่างไรบ้าง?” เขาถามออกไปทันทีที่มาถึง
“รายงานครับ ความผันผวนของพลังงานลดลงแล้วครับ แต่พวกเรายังไม่ได้ลงไป”
“ดีมาก” ชายสูงวัยโบกมือ ดวงตาของเขาวาวโรจน์ “เมื่อต้นปีที่ผ่านมาผมได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการจำแนกประเภทของวิญญาณในการประชุมที่ตงไห่ ผมเสนอไปด้วยว่าพวกเขาควรจะใส่มันเข้าไปในหลักสูตรเบื้องต้น แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครสนใจ เพียงเพราะมีหลุดออกมาจากปากแก่ ๆ ของผมสินะ”
“แต่ผมมั่นใจว่าวิญญาณที่อยู่ในเขตไล่ล่านี้ จะต้องแตกต่างจากวิญญาณอาฆาตทั่วไปที่พวกเราเคยเจอ!”
“ห้ามไปรบกวนเขาเด็ดขาด ผมได้อ่านข้อมูลของ รหัส S9527 แล้ว ตราบใดที่เขาสามารถระบุตำแหน่งของวิญญาณตนนั้นได้ เขาจะต้องสามารถกำจัดมันได้อย่างแน่นอน และผมก็ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้จากเขาโดยตรง”
จากนั้นจึงหันหลังกับไปสั่งคนของตน “ปิดล้อมพื้นที่ซะ พวกเราจะรออยู่ที่นี่จนกว่าเขาจะกลับขึ้นมา ห้ามใครรบกวนเขาเป็นอันขาด ไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์ข้างล่างตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
………………………………..
“อึก ฮือออออ….ฮือออออ!” หลี่เจียนคังกำลังร้องไห้อย่างสุดหัวใจ หลังจากผ่านไปประมาณสิบนาที เขาก็หลับตาลงก่อนจะเอ่ยออกมาเป็นครั้งแรกหลังจากผ่านมานาน “ผม…ไม่มีทางออกไปจากที่นี่ได้โดยที่มีชีวิตอยู่ใช่ไหมครับ?”
ฉินเย่ยิ้มบาง ๆ “เจ้าไม่ควร”
“มีหลายครั้งที่ข้าสงสัยว่าเหตุใดศีลธรรม ค่านิยม และความซื่อสัตย์ของสังคมสมัยนี้ถึงพังทลายลงและสูญหายไป แต่แล้ว…ข้าก็ได้ข้อสรุป”
“มันก็เพราะว่า หากผู้ที่กระทำชั่วยังคงลอยนวล มันก็จะเติบโตเป็นเซลล์มะเร็งที่ไม่สามารถควบคุมได้อย่างไรล่ะ”
“เจ้ามันน่ารังเกียจยิ่งกว่าพวกนักต้มตุ๋นที่บังคับให้คนฆ่าตัวตายแล้วมาบอกว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์เสียอีก” ฉินเย่เอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าคือฆาตกรต่อเนื่องที่ส่งคน 30 ชีวิตไปนรกด้วยสองมือของตัวเอง….”
แต่ราวกับคาดการณ์เรื่องนี้มาก่อน สีหน้าของหลี่เจียนคังเปลี่ยนเป็นนิ่งสงบ จากนั้น เขาก็แย้มยิ้มออกมา
น้ำตาและน้ำมูกยังคงไหลอย่างไม่หยุดหย่อน รอยยิ้มของเขาในเวลานี้น่าเกลียดเป็นอย่างมาก
“ผะ ผมก็แค่…อยากจะอยู่กับครอบครัวของผม….”
ด้วยฉากหลังของห้องที่เต็มไปด้วยเลือด เสียงที่เอ่ยออกมานั้นฟังดูโศกเศร้าและน่าขนลุก “คนรุ่นคุณคงจะไม่มีแนวคิดเดียวกับพวกเรา…แต่ในรุ่นผม ครอบครัวคือทุกสิ่งสำหรับเรา…ไม่มีสิ่งไหนที่ยิ่งใหญ่และสำคัญไปกว่าครอบครัวของตัวเอง…”
คำพูดพวกนี้เป็นเหมือนกับกุญแจ ทันทีที่เขาเอ่ยจบ ชายวัยกลางคนก็หลับตาลงอีกครั้ง ราวกับดีใจที่ได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการของชีวิต
แปลก
ผู้คนส่วนใหญ่มักจะเรียนรู้ได้ในตอนใกล้ตายเท่านั้นว่าพวกเขาควรปล่อยสิ่งใดไป
มือทั้งสองข้างสั่นเทาขณะที่เอื้อมมือไปที่เข็มขัดของตัวเอง หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็หยิบซองบุหรี่ออกมาและจุดมัดด้วยความพยายามมหาศาล
ยิ่งกลิ่นของนิโคตินในอากาศรุนแรงขึ้นเท่าไหร่ หลี่เจียนคังก็ดูสงบลงมากเท่านั้น เขาเงยหน้ามองเพดานอย่างเหม่อลอย “ผมแต่งงานกับภรรยาของตัวเอง ซงเจียฝางเมื่อนานมาแล้ว แต่เราทั้งคู่ก็ยังไม่มีลูกจนกระทั่งพวกเราอายุประมาณ 37 ปี และเด็กคนนั้นก็คือหลี่เฉิง”
“เรา…ให้ความสำคัญกับเขา…เรารักเขามาก มากจริง ๆ…” เขาคีบบุหรี่ด้วยนิ้วมือที่สั่นเทาของตัวเอง มันเหมือนกับว่าเขากำลังระลึกการตัดสินใจของพวกเขาในตอนนั้น การที่พวกเขาทั้งคู่ตัดสินใจที่จะออกไปทำงานทั้งคู่ เพื่อที่พวกเขาจะสามารถสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้สำหรับการเลี้ยงดูลูกของตัวเอง แต่ช่างน่าเศร้านัก เป็นเพราะเหตุผลนี้เองที่ทำให้พวกเขาถึงได้พลาดวัยเด็กของผู้เป็นลูกชาย และมันก็นำมาสู่สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้
อีกฝ่ายล้วงมือเข้าไปในหาบเสื้อ ก่อนจะยกมีดขึ้นมาและแทงเข้าที่หน้าอกอย่างแรง เลือดมากมายก็หลั่งไหลออกมาจากบาดแผลไม่หยุด มือที่สั่นเทาค่อย ๆ ยกบุหรี่ขึ้นมาอีกครั้ง “ใครจะไปรู้…หลังจากผ่านสิบปีของการทำงาน ในที่สุดพวกเราก็พอจะมีเงินเก็บ…แต่เสี่ยวเฉิงก็กลายเป็นแบบนี้ไปเสียแล้ว…”
“ผมไม่เคยคิดเลยว่าทุกอย่างจะจบลงแบบนี้” น้ำตายังคงรินไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างอย่างต่อเนื่อง
ในเวลานี้หลี่เจียนคังดูเหมือนกับหมาป่าแก่ใกล้ตายที่ร้องโหยหวนอย่าโศกเศร้า “ทำไมกัน…ผมแค่อย่างจัดหาสิ่งแวดล้อมดีๆให้กับเขา หลังจากทั้งหมดที่พวกเราได้เสียสละ…หลังจากทั้งหมดที่พวกเราได้ทำลงไป…ทำไมทุกอย่างถึงจบลงแบบนี้?!!”
“ไม่ใช่ว่าพวกเราฝากความไว้ใจไว้กับการเลี้ยงดูที่ศูนย์รับเลี้ยงเด็กหรอกหรือ?! พวกเรายอมจ่ายเงินจำนวนมาก เพราะเชื่อใจชื่อเสียงจอมปลอมนั่นของพวกเขา!!”
“ทุกอย่าง! ฉันทำเพื่อเขาทุกอย่าง….อ๊ากกกก!!” เขาเริ่มร้องไห้อีกครั้งขณะที่ต่อยไปที่กำแพงด้วยความเจ็บปวด เหมือนกับเทียนที่ตั้งอยู่ท่ามกลางสายลม
ฉินเย่ยังคงนิ่งเงียบ
ในชีวิตของเขา เขาได้เห็นโศกนาฏกรรมเช่นนี้มามากมายนับไม่ถ้วน และเขาก็รู้ดีว่าการกระทำของพ่อแม่นั้นมีอิทธิพลต่อลูก ๆ
วัตถุไม่สามารถเติมเต็มช่องว่างทางจิตใจของคนได้
“ตอนที่ผมรู้ว่าเขาทำอะไรลงไป ผมไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้พลั้งมือฆ่าเขาได้…” ริมฝีปากของเขาเปิดและปิดราวกับคนใกล้ตายที่พยายามหอบอากาศหายใจอย่างอ่อนแรง “แต่…ผมก็ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้”
“เขาคือลูกชายคนเดียวของผม…เขาคือความหวังของตระกูล…สมาชิกครอบครัวเพียงคนเดียวที่ผมเหลืออยู่ ผมแค่อยากให้ครอบครัวของตัวเองได้ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างสงบสุข….ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวิชานี้จะเป็นการสร้างปีศาจเจียงซือ ตะ…แต่ทันทีที่ผมเห็นพวกเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง….อึก…”
เขาแย้มยิ้มอย่างมีความสุข “มันเหมือนกับ…เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
“มันเหมือนกับว่าเรื่องทั้งหมดนั้นเป็นเพียงแค่ฝันร้าย”
“ผมทำมันได้ยังไง? ผมจะสามารถขังคนที่ตัวเองรักไว้ในสถานที่แบบนี้ได้ยังไง?”
ฉินเย่ยังคงเงียบ เขาปล่อยให้หลี่เจียนคังได้มีวินาทีแห่งการสำนึกผิดเป็นครั้งสุดท้าย นี่คือความเมตตาที่เขาสามารถมอบให้อีกฝ่ายได้
หลี่เจียนคังไม่ได้เอ่ยอะไรอีก มันเหมือนกับว่าคำพูดทั้งหมดนี้ได้กลืนกินเรี่ยวแรงทั้งหมดในร่างไป เขาเอนหลังพิงกับผนังเพื่อพยุงร่างของตนให้ยังคงยืนอยู่ได้ จากนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างเศร้า ๆ พร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน “ผมคงจะถูกตัดสินให้ต้องรับโทษจากนรกทั้ง 18 ขุม…ผมยอมรับโทษนี้แต่โดยดี”
ฉินเย่จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย “ในเมื่อเจ้าปรารถนาที่จะได้อยู่กับครอบครัวของตัวเอง ข้าจะทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของเจ้าสมหวังเอง”
ฟึ่บ!
ด้วยการตวัดกระบี่ในมือเบา ๆ ฝาโลงของโลงศพทั้งสองถูกเปิดออกพร้อมกัน สิ่งที่นอนอยู่ด้านในดูเหมือนจะถูกกระตุ้นด้วยบางสิ่งบางอย่าง จังหวะการหายใจของพวกมันถี่ระรัว ตามมาด้วยกลิ่นเหม็นของเลือดที่กระจายไปในอากาศราวกับกระแสน้ำที่ซัดสาด
หลี่เจียนคังคือผู้ที่ปล่อยหลี่เฉิงออกมาก่อนหน้านี้ และหลี่เฉิงก็ได้กลับมาซ่อนอยู่ในโลงศพของตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ร่างของเด็กชายแทบจะไม่มีสติสัมปชัญญะเลยด้วยซ้ำ และโลงศพก็เป็นเพียงที่พักพิงเดียวที่ปลอดภัยของเขา แต่กลิ่นเลือดและเนื้อสดก็ได้กระตุ้นความหิวโหยของเขา จนข่มความหวาดกลัวที่มีต่อฉินเย่ไปจนหมด
ใบหน้าของหลี่เจียนคังซีดเผือด เขารู้ทันทีว่าในอีกไม่ช้านี้เขาจะต้องชดใช้บาปกรรมที่ได้ก่อเอาไว้
“ตอนแรกข้าคิดที่จะเก็บวิญญาณของเจ้าและตัดสินโทษให้เป็นคนงานในยมโลกสักพันปี แต่…” ฉินเย่เหลือบไปมองวิญญาณทั้ง 30 ดวงที่บัดนี้สะอื้นไห้และตัวสั่นเทาขณะคุกเข่าและโค้งคำนับตัวเอง “แต่ผู้เสียหายกว่า 30 ตนที่นี่คงไม่เห็นด้วยกับข้าเป็นแน่…”
โฮกกกก!!! ทันใดนั้นเอง ปีศาจเจียงซือที่ฉินเย่เคยเผชิญหน้าในทางเดินที่มืดมิดก่อนหน้านี้ก็กระโดดออกมาจากโลงศพที่มีขนาดเล็กกว่า
“พรึ่บ….” กลุ่มก้อนพลังหยินสีขาวอมเขียวฟุ่งออกมาจากเขี้ยวอันแหลมคมทั้งสองข้าง ใบหน้าของอีกฝ่ายบิดเบี้ยว น้ำลายไหลเยิ้มจนทำให้เสื้อที่สวมอยู่เปียกโชก ท้องของมันร้องเสียงดังขณะที่มันมองไปรอบ ๆ ตัวก่อนจะร้องออกมาอย่างหวาดกลัวเมื่อเห็นฉินเย่ แต่แล้วมันก็รีบละสายตาแล้วไปมองที่ร่างที่สั่นเทาของหลี่เจียนคังแทน
หลังจากสองวินาทีแห่งความลังเลผ่านไป มันก็เริ่มเดินตรงไปหาหลี่เจียนคัง รูปลักษณ์ที่แปลกประหลาดของมันทำให้แทบจะไม่เหลือเค้าโครงของหลี่เฉิงคนเก่าอีกต่อไป แสงไฟสลัว ๆ ภายในห้องทำให้เห็นเงาที่น่าสะพรึงกลัวทอดยาวออกมาจากร่าง น้ำลายของมันหยดลงพื้นขณะที่มันอ้าปากกว้างจนตอนนี้มีขนาดจากหูข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่ง มันพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะแย้มยิ้มออกมา แต่รอยยิ้มดังกล่าวกลับดูน่ากลัวมากกว่ารอยยิ้มแห่งความดีใจ “พ่อ…พ่อ…”
หลี่เจียนคังกัดริมฝีปากล่างของตนอย่างแรงจนมีเลือดซิบออกมา สีหน้าของเขาในตอนนั้นดูเหมือนกับกระต่ายน้อยที่กำลังจนมุม ขณะที่สายตาทำได้เพียงมองหมาป่าตัวใหญ่เดินเข้ามาใกล้ตน
“เจ้ากลัวทำไมเล่า?” ฉินเย่ยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่ง “นี่ลูกชายของเจ้าไม่ใช่หรือ? ลูกชายสุดที่รักที่เจ้าเลี้ยงดูฟูมฟักมาด้วยการคร่าชีวิตไปมากกว่า 30 ชีวิตอย่างไรเล่า….”
“พ่อ….พ่อ….” ส่วนหัวของเจียงซือดูเหมือนจะไม่มีส่วนที่เป็นกระดูกเลยสักนิด มันบิดไปมาขณะที่เอ่ยอย่างเอื่อย ๆ ว่า “ผม…อยากกิน…เนื้อ…”
หลี่เจียนคังกัดฟันแน่นและหลับตาลงทันที จากนั้นจึงรวบรวมความกล้าทั้งหมดและตะโกนด้วยความหวาดกลัว “ไม่!!”
เสียงที่ตะโกนออกไปนั้นดังอย่างไม่น่าเชื่อ และมันก็ดังก้องอยู่ภายในห้องที่มืดและเย็นชืดแห่งนี้ เจียงซือตรงหน้าแน่นิ่งไปทันที
“พ่อ…” ลิ้นสีแดงเข้มของมันห้อยลงมาถึงพื้น และมันก็อ้าปากออกกว้างอย่างที่ไม่สามารถจินตนาการได้ “งั้น…พ่ออร่อยไหม…”
โฮกกกก!!! ในวินาทีต่อมา ปากขนาดใหญ่ของมันก็พุ่งเข้าหาศีรษะของหลี่เจียนคังทันที!
ฉินเย่ปิดเปลือกตาลง
โหดเหี้ยมอย่างนั้นหรือ?
เขาไม่คิดอย่างนั้น
บาปที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจอาจเป็นสิ่งที่พอจะให้อภัยได้ แต่ต้องไม่ใช่กับบาปอันชั่วร้ายที่ตนตั้งใจให้มันเกิดขึ้นเช่นนี้
คิดว่าหลี่เจียนคังในเวลานี้เป็นเพียงคนอ่อนแอคนหนึ่งหรือไม่? นี่เป็นโศกนาฏกรรมในครอบครัวหรือเปล่า? หรือว่าคิดว่าการกระทำของฉินเย่นั้นไร้ซึ่งมนุษยธรรม?
ถ้าเช่นนั้น…แล้วอีก 30 ชีวิตที่กำลังร้องไห้และคุกเข่าอยู่บนพื้นนี่ล่ะ?!
แต่อย่างไรก็ตาม ฉินเย่กลับไม่ได้ยินเสียงกัดของกระดูกที่แหลกละเอียดอย่างที่ตนคาดเอาไว้ในตอนแรก
กลับกันที่ด้านหลังพลัน มีอีกเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นอย่างแผ่วเบา “ละลูก…ไม่…รักดี….ลูกไม่รักดี”
ฉินเย่ลืมตาขึ้นอย่างตกตะลึง และเขาก็เห็นร่างร่างหนึ่งที่ข่มความหวาดกลัวที่มีต่อฉินเย่และพุ่งออกมาจากโลงศพอีกโลงหนึ่ง
มันเป็นร่างที่ถูกปกคลุมไปด้วยขนสีเข้มและผมเผ้ากระเซอะกระเซิง แต่สภาพศพของเจียงซือตัวนี้กลับดูน่ากลัวกว่าร่างของเด็กชายเป็นอย่างมาก มันเต็มไปด้วยบาดแผลที่เกิดจากมีด เห็นได้ชัดเลยว่าร่างตรงหน้าเคยเป็นผู้หญิงรูปร่างอวบอ้วนตอนที่นางยังมีชีวิตอยู่ และตอนนี้ ร่างดังกล่าวก็พุ่งมาอยู่ด้านหลังของหลี่เฉิงและคว้าผมของหลี่เฉิงไว้ด้วยแขนซ้าย ในขณะที่ยัดแขนขวาของตัวเองเข้าปากหลี่เฉิง ป้องกันไม่ให้เด็กชายกัดเข้าไปที่ศีรษะของหลี่เจียนคัง
ฉินเย่ตกตะลึง
ทว่าก่อนที่เขาจะได้ตอบสนองอะไร เสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวของหลี่เฉิงก็ทำให้พื้นที่เขายืนอยู่สั่นไหว “ปล่อย…!! บอกให้ปล่อย!!!”
“หิว…ผมหิว!! ผมจะกิน…จะกินเขา!!”
“มะ…แม่…แม่ไม่…ไม่รักผมแล้วเหรอ…ทำไม…ไม่ให้ผมกิน…ขอผมกินเขา!”
มันร้องออกมาอย่างสุดเสียงขณะที่กลิ้งลงไปกับพื้น ปีศาจเจียงซือเป็นสิ่งที่มีพลังมหาศาล พื้นที่โดยรอบสั่นสะเทือน กองกระดูกกระจัดกระจายไปทั่วเมื่อปีศาจเจียงซือสองตัวฉีกกระชากร่างกันเอง
“นาง…ยังมีคงสติอยู่อย่างนั้นหรือ?” ฉินเย่มองเจียงซือทั้งสองตนอย่างเหลือเชื่อ
“นั่นไม่ใช่สติ แต่มันคือสัญชาตญาณ” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาของอาร์ทิสอ่อนลง “ร่างของนางจำได้ว่าผู้ชายคนนี้ปฏิบัติกับตัวเองอย่างดี และเจียงซืออีกตนก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของตัวเอง…เพราะความทรงจำที่ถูกลูกชายของตนฆ่าตายถูกฝังลึกอยู่ภายในจิตใจ การป้องกันไม่ให้เกิดภาพลูกฆ่าพ่อจึงเป็นความต้องการสุดท้ายของนางในขณะที่เสียชีวิต”
“ไม่ใช่วิญญาณทุกตนที่เป็นวิญญาณร้าย และมันก็ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่มีมนุษยธรรม…”