บทที่ 12 เงื่อนไขของอรากษสะ
“ผู้เป็นอมตะ โอกาสที่จะเกิดขึ้นมีเพียงหนึ่งในหนึ่งร้อยล้าน เป็นการเกิดขึ้นที่เห็นได้เฉพาะเมื่อบุคคลหนึ่งกินเห็ดของไท่สุ่ย หรือที่รู้จักกันในชื่อว่าเห็ดเทียนสุ่ย หากกินเข้าไปคนคนนั้นจะมีร่างที่มีชื่อเรียกว่า ร่างนิพพาน”
“เมื่อคนคนนั้นกินเห็ดไท่สุ่ยเข้าไป ก็จะมีโอกาสห้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่เขาจะสูญเสียการควบคุมจิตใจและกลายเป็นอสุรกายไร้จิตใจ และโอกาสอีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือก็คือเขาจะได้ร่างนิพพาน หากคนคนนั้นโชคดีพอที่จะไม่ตายหลังกินเห็ดเทียนสุ่ยเข้าไป เขาก็จะมีชีวิตเป็นอมตะ และได้รับโอกาสกลับชาติมาเกิดโดยอัตโนมัติในทุกครั้งที่เขาตาย โดยเขาจะไม่ต้องลงไปที่นรก แต่จะมีชีวิตใหม่ในช่วงเวลาที่อยู่ระหว่างสิบปีจนถึงหนึ่งร้อยปีในภายภาคหน้า แต่เขาก็จะลืมความทรงจำที่เคยมีในอดีตไปเช่นกัน”
ดวงตาของฉินเย่จับจ้องที่หน้าบันทึกของยายเมิ่ง อีกแล้ว…ความรู้สึกของการรู้แจ้งเหมือนก่อนหน้านี้…ราวกับว่าเนื้อหาในหน้ากระดาษได้สลักอยู่ในใจของเขา เมื่อเป็นเช่นนั้น ฉินเย่ก็อ่านเนื้อหาต่อไปเป็นเวลายี่สิบนาทีเต็ม ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนในที่สุด เป็นเช่นนี้เองสินะ!
ในบรรดาข้อมูลนับไม่ถ้วนที่ทิ้งไว้ให้เขา มันมีวิธี…วิธีที่สามารถเปลี่ยนคำสาปการตายในสามวันจริง ๆ และคำเตือนเกี่ยวกับอดีตเจ้าหน้าที่ระดับมณฑลที่นอนอยู่ในลูกบอลผนึกใต้เตียงของเขา!
“ในเมื่อเจ้าทำลายคัมภีร์เรียกราชันย์วิญญาณชั้นหกของข้า เจ้าก็ต้องรับใช้ข้าเพื่อเป็นการชดใช้!” ฉินเย่ไม่ได้บอกกล่าวข้อเสนอของเขาในทันที แต่กลับจงใจรออยู่ครึ่งชั่วโมงก่อนจะหมอบลง และหยิบเจ้าหน้าที่ระดับมณฑลผู้เหมือนจะง่วนอยู่กับการเรียนรู้ที่จะเป็นนักแสดงออกมาจากใต้เตียง
“ไอ้หนู…ข้าขอให้เจ้าต้องตายอย่างอนาถ! ข้าจะรอเจ้าอยู่ในนรก…เมื่อใดที่เจ้าตาย ข้าจะพิพากษาวิญญาณของเจ้าให้ต้องโทษขี้ผึ้งน้ำมันมนุษย์![1]” ทันทีที่ฉินเย่หยิบลูกบอลผนึกออกมาจากใต้เตียง เสียงสบถสาปแช่งเป็นชุดก็ดังหลั่งไหลใส่เขา
ฉินเย่โยนลูกบอลผนึกขึ้นกลางอากาศเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยขึ้น “ยายเมิ่งได้ทิ้งของบางสิ่งไว้ให้ข้า”
ลูกบอลผนึกเงียบไปในทันที
“และข้าเพิ่งค้นพบว่าผู้ที่กินเห็ดเทียนสุ่ยเข้าไปจะพิเศษที่ตรงไหน”
อรากษสะยังคงเงียบกริบ
“ยิ่งกว่านั้นข้ายังรู้มาด้วยว่าลูกบอลผนึก จะถูกส่งมอบให้กับพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ในทุก ๆ หนึ่งร้อยปีเพื่อถูกเผาทำลาย ต้องยอมรับเลยว่า…มันเป็นนโยบายที่ไม่เลว”
“เจ้าต้องการจะพูดสิ่งใดกันแน่?” อรากษสะพึมพำเสียงเย็น
“อย่าเพิ่งร้อนใจสิ ข้าเพียงอยากจะอธิบายสมมติฐานของข้าให้เจ้าฟังเสียก่อน ข้าจะอธิบายให้ฟัง แล้วเจ้าก็ฟังและบอกให้ข้ารู้ในตอนท้ายว่า เจ้าคิดว่าสมมติฐานนั้น…น่าสนใจหรือไม่ ดีไหม?”
โดยไม่รีรอการตอบสนองของอรากษสะ เด็กหนุ่มก็พูดต่อในทันที “อันดับแรก ทุก ๆ ปีมีคนในเมืองจีนตายไปกี่คน? ข้าจำได้ว่ามีคนเคยกำหนดไว้ที่ประมาณห้าล้านคน ดังนั้นใน 100 ปี จะมีคนตายทั้งหมดกี่คนกัน? 500 ล้านอย่างไรล่ะ ลูกบอลผนึก 500 ล้านลูกติดอยู่กับร่างของคนคนเดียวน่ะหรือ? เรื่องเช่นนี้ต้องรู้ถึงหูของยมทูตระดับฝู่จวินจริง ๆ หรือ? ฝู่จวินเหล่านี้มีเวลามากขนาดนั้นได้อย่างไรกัน?”
อรากษสะยังคงเงียบ ด้วยเหตุผลบางประการ ภายในใจนางพลันบังเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นมา
“จะต้องมีอะไรอย่างอื่นที่ทำให้การกระทำสุดโต่งนั้นเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาได้ มันน่าจะเป็นอะไรได้ล่ะ? ข้าลองใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้ในเรื่องนี้แล้ว และมันก็คือ…” ฉินเย่ยิ้มบางขณะเหลือบมองลูกบอลผนึก “การแตกดับของวิญญาณบนสะพานนรก”
“แล้วข้าก็ยังลองคาดเดาต่อไปว่าฝู่จวินจะต้องได้รับภารกิจพิเศษดังกล่าว เพราะยมทูตตนอื่น ๆ ที่มีตำแหน่งต่ำกว่าพวกเขาย่อมไม่มีทางแม้กระทั่งจะเข้าไปในดินแดนพุทธะที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์สร้างขึ้นด้วยซ้ำ! ใช่หรือไม่? แม้แต่เจ้า ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นถึงวิญญาณระดับตุลาการนรก…จุ๊ ๆๆ เจ้ากลับทำได้เพียงหลบซ่อนตัวในร่องหุบเหว ที่อยู่ห่างออกไปจากสะพานแห่งความจนใจหาที่หลบภัยเพื่ออยู่รอด และความจริงก็คือ แม้แต่บุคคลสำคัญของนรกอย่างยายเมิ่งเองก็ยังไม่กล้าข้ามสะพานแห่งความจนใจและเข้าสู่นครวิญญาณเฟิงตูเลยถูกไหม?”
“สมมติฐานเจ้ามีแต่เรื่องไร้สาระเช่นนี้งั้นหรือ?”อรากษสะพึมพำเสียงเย็น แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น นางก็ไม่อาจรู้ตัวเลยว่าอารมณ์ของนางอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่ ๆๆ” ฉินเย่กระดิกนิ้ว “เราจะพูดถึงส่วนที่สองของสมมติฐานของข้ากัน และมันก็เป็นเหตุผลว่าเหตุใดข้าถึงไม่รู้สึกถึงการปฏิเสธใด ๆ บนสะพานแห่งความจนใจเลย!”
ทันใดนั้นเอง ฉินเย่ก็รู้สึกว่าลูกบอลผนึกในมือได้หยุดเคลื่อนไหวไป ไม่มีริ้วการสั่นสะเทือนแม้แต่น้อย ราวกับว่าอรากษสะได้ตายไปอย่างฉับพลัน
“เจ้ากลัวขึ้นมาแล้วหรือ? ข้าเพิ่งจะนึกออกเองนะ ก่อนหน้านี้ยายเมิ่งเคยบอกเรื่องนี้ไว้เหมือนกัน ว่าคนคนหนึ่งที่มีร่างกายเป็นอมตะอย่างข้า สามารถสัมผัสกับวัตถุใด ๆ ก็ได้ ไม่ว่าพวกมันจะเป็นหยินหรือหยางตามธรรมชาติ แต่โชคร้ายสำหรับเจ้า ที่แม้พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์จะเอาชนะเจ้าได้ในทุกเมื่อ แต่พระองค์กลับไม่เป็นอันตรายต่อข้าเลยไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ตาม”
“พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ข้ามีความสามารถที่จะเดินทางเข้าไปในนครวิญญาณเฟิงตูเมื่อไหร่ก็ได้ที่ข้าต้องการ เรื่องนี้ถูกหรือไม่?”
เงียบกริบ
“ฮี่ ๆๆ ผู้คนต้องเรียนรู้ที่จะเคารพข้าตอนที่พูดกับข้าด้วย เจ้าเป็นสิ่งที่ข้าใช้ตำราเรียกราชันผีชั้นหกแลกมา แล้วเรื่องนั้นน่ะ มันก็เป็นไพ่ตายแค่หนึ่งเดียวที่ข้ามีด้วย” ฉินเย่ตำหนิ
ทันใดนั้นลูกบอลผนึกก็สั่นไหวอย่างรุนแรง พร้อมกับ อรากษสะคำรามขบเคี้ยวฟัน “เจ้ากำลังจะพูดอะไรกันแน่?!!”
รอยยิ้มของฉินเย่หุบลง และเขาก็หรี่ตามองลูกบอลผนึกอย่างพินิจพิจารณา “สิ่งที่ข้ากำลังพูดอยู่ก็คือ…ลูกบอลผนึกนี้จะผนึกตัวเองตราบเท่าที่ข้ามีชีวิตอยู่ และถ้าหากข้าเลือกที่จะลงมือเดินทางสู่นรกอีกครั้งและโยนเจ้าแทบเท้าของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ เจ้าคิดว่าอะไรจะเกิดกับตัวเจ้ากันล่ะ?”
“หืมม? ว่าอย่างไรล่ะท่านอดีตเจ้าหน้าที่ระดับมณฑลที่รักผู้เพิกเฉย?”
ความเงียบสงัดเกิดขึ้นอีกครั้ง ฉินเย่ไม่พูดอะไรต่อ เขาโยนลูกบอลผนึกขึ้นกลางอากาศอย่างขี้เล่น ที่แน่ใจก็คือ ยายเมิ่งพูดถูก…เมื่อเขาได้ถอดหน้ากากปกปิดตัวตนที่แท้จริงของเขาออก เขาก็ตระหนักว่าหัวใจของเขาทั้งสกปรกและแปดเปื้อน…
“ก็ลองดูสิ” อีกหลายวินาทีต่อมา อรากษสะก็แค่นเสียงใส่เขา “ข้าเป็นอดีตตุลาการนรกไม่ว่าเจ้าจะมองอย่างไรก็ตาม พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ไม่มีความสามารถในการล้างบางข้าได้ อีกอย่าง…”
นางเอ่ยเยาะเย้ยเหยียดหยัน “ด้วยความสามารถของเจ้างั้นเหรอ? แค่ยมทูตชั้นผู้ปฏิบัติงานอย่างเจ้า กล้าดีอย่างไรที่จะฝันว่าจะได้ท่องไปในนรก? เจ้าจะถูกวิญญาณที่รออยู่ฉีกเป็น ชิ้น ๆ ก่อนที่จะผ่านสะพานกระดูกไปได้ด้วยซ้ำ”
ทันทีที่นางพูดจบ ฉินเย่ก็ยืนขึ้นในทันทีและปิดม่านลง
“จะ…เจ้ากำลังจะทำอะไร?” เสียงของอรากษสะสั่นพร่าเล็กน้อย
โดยไม่ตอบรับใด ๆ ฉินเย่หยิบตะเกียงโบราณที่ยายเมิ่งทิ้งไว้บนโต๊ะขึ้นมาเงียบ ๆ และเริ่มสำรวจมันอย่างละเอียด
ถ้าจำไม่ผิด เมื่อจุดไฟที่ตะเกียงนี้ ข้าก็น่าจะสามารถเดินทางท่องไปในนรกได้…
“เจ้ากำลังจะทำบ้าอะไร? ไม่มีประโยชน์หรอก เจ้าไม่มีวันจะเดินทางท่องขุมนรกสำเร็จด้วยความสามารถที่มีตอนนี้หรอก…”
ยังคงไม่มีการตอบรับ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฉินเย่ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกขณะเปิดฝาตะเกียงโบราณออก
“พูดตามจริงก็คือ มันไม่มีเหตุผลที่เราจะต้องเป็นศัตรูกันเลย ข้าจะบอกเจ้าเกี่ยวกับจุดประสงค์ที่แท้จริงของผนึกเหยียนลั่วหวังให้ฟัง ไม่สิ ข้าสามารถบอกเจ้าได้เลยด้วยซ้ำว่าทำไมยายเมิ่ง ถึงเลือกใช้วิธีนี้แต่งตั้งนรกคนสุดท้าย! เจ้าไม่คิดว่ามันประหลาดเหรอ? นรกมียมทูตตั้งมากมาย แล้วก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะระบุตัวคนที่รอดพ้นจากมหากลียุคมาได้ ขณะเดียวกันบนโลกมนุษย์ก็มีจอมยุทธ์และนักพรตมากฝีมืออยู่มากมายด้วยไม่ใช่หรือ? หนึ่งในพวกเขาคนไหนไม่ดีกว่าเจ้ากัน?”
ยังคงไม่มีการตอบรับ ฉินเย่จุดไฟจากไฟแช็ก
“หยุดมือเดี๋ยวนี้!!!” อรากษสะคำรามออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเย็นเยือก
ฉินเย่ที่กำลังจะแหย่ไฟแช็กเข้าไปในตะเกียงโบราณหยุดชะงัก และเหลือบมองลูกบอลผนึกด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
“จะไม่ให้จุดหรือ? เจ้าเพิ่งจะพูดว่าตี้จ้างหวังผู่ซาไม่อาจล้างบางเจ้าได้ไม่ใช่หรือไง?”
ในตอนนี้เป็นอรากษสะที่เงียบไป เสียงที่ดังจากนางตอนนี้มีเพียงเสียงขบเคี้ยวฟัน
“พูดต่อสิ ข้าไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นะที่เจ้าหยุดพูดดื้อ ๆ แบบนั้น”
“หุบปาก!!” เสียงของอรากษสะสั่นเครือแบบสบประมาท “เจ้ากำลังพยายามจะทำอะไร? ข้ายอมรับก็ได้…ตี้จ้างหวังผู่ซามีพลังที่จะล้างบางข้าได้ในชั่วพริบตาจริง แต่สิ่งที่ข้าพูดก่อนนี้ก็เป็นเรื่องจริงเหมือนกัน…เจ้าจะมอดม้วยอย่างแน่นอนก่อนที่จะเข้าไปในนครแห่งวิญญาณเฟิงตูได้เสียอีก!”
“เอาล่ะ ถ้างั้นเราก็มอดม้วยพร้อมกันไปเลย”
ไอ้%&(@#($*&#[email protected]!! คำพูดเหล่านี้คือสิ่งที่อรากษสะต้องการจะระเบิดคำด่าออกมาที่สุดในตอนนี้ นางรู้สึกโมโหจนหัวร้อนไปหมด
แกไม่เข้าใจในสิ่งที่ข้าพยายามจะสื่อหรืออย่างไร? ทำไมถึงอยากที่จะถูกกำจัดนัก? โลกเป็นสถานที่งดงามเพียงนี้ แต่กลับเลือกเจ้าคนน่ารำคาญเช่นนี้เป็นจ้าวนรก น่าหงุดหงิดจริง!
เจ้าไม่เคยปรารถนา ถึงตายอันเป็นนิรันดร์ของเจ้าเลยหรือ?
เจ้าไม่เคยคิดที่จะใช้พลังบางส่วนไปกับการสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ และพยายามเพื่อประเทศชาติเลยหรือไง?
เจ้าเป็นคนประเภทไหนกันแน่?!
นางสูดหายใจลึกและจัดการความคิดของนางใหม่ ลูกบอลผนึกสั่นสะเทือนเล็กน้อย เมื่อนางพูดออกมาอีกครั้ง เสียงของนางก็ฟังดูเป็นมิตรมากกว่าเดิม “ไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับทุกอย่างหรอก ก่อนหน้านี้เราต่างก็มีความเห็นต่างกัน แต่นั่นเป็นเรื่องเข้าใจผิด ก่อนหน้านี้บนสะพานไน่เหอ ข้าก็คิดเพียงแต่ว่าจะทำให้เจ้าหวาดกลัว ความจริงแล้วข้าเป็นมิตรไม่น้อยเลยน้า…”
คำพูดพวกนี้กระทั่งเธอเองยังไม่เชื่อตัวเองเลย
ในที่สุดฉินเย่ก็ปิดฝาตะเกียงโบราณ เสียงถอนหายใจโล่งอกอย่างฟังออกชัดเจนดังมาจากลูกบอลผนึก จากนั้นในที่สุดฉินเย่ก็หยิบลูกบอลผนึกที่มีวิญญาณของหวังเจ๋อหมินออกมาเขย่าเบา ๆ “ข้อเสนอของข้าง่ายนิดเดียว อย่างแรกเลย ข้าเองก็ไม่อยากตายเหมือนกัน แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป หากเราไม่สามารถแก้ไขเรื่องนี้ภายในคืนวันพรุ่งนี้ ข้าจะใช้ความสามารถทั้งหมดที่ข้ามีในการพาเจ้าไปหาตี้จ้างหวังผู่ซา”
“ในเมื่อเจ้าทำลายปราการป้องกันของข้าไปแล้ว เจ้าก็ต้องทำงานให้ข้า ฟังดูเข้าท่าใช่ไหมล่ะ?”
เข้าท่าบิดาเจ้าสิ!
ตุลาการอายุหลายร้อยปีต้องมาทำงานให้ยมทูตชั้นผู้ปฏิบัติการอย่างเจ้าเนี่ยนะ?!
แม้แต่น้ำลายข้าก็ทำให้เจ้าจมน้ำตายได้เถอะ!
“เข้าท่า…แน่ล่ะว่ามันเข้าท่า…” แม้จะคิดเช่นนั้น แต่ปากของอรากษสะกล่าวออกมาเช่นนี้
“ยิ่งกว่านั้น เพื่อป้องกันเจ้าเล่นสกปรก ข้าถือเศษเสี้ยววิญญาณของเจ้าส่วนที่เล็กที่สุดไว้เป็นค่ามัดจำได้ไหม? ถ้าข้าตาย เจ้าก็ต้องตายด้วยเท่ากับว่าพวกเราร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกันแล้วนะ…”
“ไม่ได้!” ก่อนที่เขาจะพูดจบ อรากษสะก็ระเบิดเสียงอย่างมีโทสะ “ข้าขอตายดีกว่าให้เจ้ายึดเศษเสี้ยววิญญาณข้าไว้!”
“ต่อรองหน่อยไม่ได้เลยเหรอ?” ฉินเย่เปิดตะเกียงโบราณอีกครั้งหนึ่ง
“ฮะ ๆๆ เด็กสมัยนี้ช่างใจร้อนกันเสียจริง…ไม่ใช่ว่าข้าปฏิเสธไม่ให้เศษเสี้ยววิญญาณกับเจ้าหรอก เพียงแต่ว่าข้าสามารถช่วยเจ้าได้แค่หนึ่งร้อยปีเท่านั้น แต่ถ้าเจ้าไม่สามารถคว้าตำแหน่งตุลาการนรกในเวลานั้นได้ เจ้าก็ต้องปล่อยข้าไป เราเขียนสัญญาเลือดกับเรื่องนี้กัน ในฟ้าดินเป็นพยาน ไม่มีใครสามารถคืนคำได้”
ทำไมเจ้าไม่ทำแบบนี้ตั้งแต่แรกกันนะ?
ทำไมถึงต้องทดสอบความอดทนของข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วย?
ฉินเย่เหลือบมองลูกบอลผนึก “ถ้าข้าบอกให้โจมตีใครเจ้าก็ต้องทำ แล้วเจ้าต้องตอบคำถามของข้าทุกคำถามนะ ทำได้หรือไม่?”
“เรื่องนี้ก็ค่อนข้างจะเป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่ลูกบอลผนึกถูกผนึกไว้ ข้าก็ไม่สามารถช่วยเจ้าในการต่อสู้ได้ ทางที่ดีที่สุดคือให้ข้าได้ปล่อยพลังของตัวเองได้ อย่างที่บอกว่านรกกำลังล่มสลาย และเหล่าบริวารของมันก็จากไปเช่นกัน พลังที่ข้าปล่อยออกมาจะใช้ได้ดีที่สุดเมื่อเจอกับผีอายุยี่สิบปีเท่านั้น ความจริงแล้วข้าเองก็ยังไม่แน่ใจเลยว่ามันจะมีประสิทธิภาพแค่ไหน”
“ไม่เป็นไร ถ้างั้น…เรื่องนี้เราก็ปล่อยมันไปก่อน”
“…ตกลง ลั่นวาจาพร้อมกันกับข้า” อรากษสะฝืนตัวเองให้สรุปการเจรจาด้วยคำว่า ตกลง
แม้นางจะรู้ว่าฉินเย่มีโอกาสสูงที่จะถูกกำจัดในระหว่างการเดินทางท่องนรก แต่ถ้าเกิดว่าเขาไม่โดนกำจัดล่ะ?
หากว่า…เขาสามารถเดินทางไปจนถึงรูปสลักของตี้จ้างหวังผู่ซาได้จริง ๆ?
จากการเป็นอดีตตุลาการนรก นางกำลังจะถูกกำจัดไปพร้อมกับยมทูตระดับผู้ปฏิบัติการงั้นหรือ? เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ทางเลือกสำหรับนางเช่นกัน ในใจของนางก็คือ ชีวิตของนางมีค่ามากกว่ายมทูตระดับผู้ปฏิบัติการอยู่มากโข
หลังสวดคาถาเป็นภาษาโบราณ ฉินเย่ก็รู้สึกว่ารอบด้านของเขาสั่นสะเทือนเล็กน้อย จากนั้นเขาก็สัมผัสได้ว่าจิตของพวกเขากำลังเชื่อมโยมกัน เขาลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
เขาคาดการณ์ไว้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่มีวันช่วยเหลือเขาในการต่อสู้แน่ ซึ่งเรื่องนั้นก็จำเป็นต้องปลดผนึกลูกบอลผนึก ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เขาจะไม่มีวันทำ
สิ่งที่เขากระหายอยากก็คือความรู้ที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจอรากษสะ! ประสบการณ์ของนาง! ไม่มีอะไรสำคัญไปมากกว่านั้นอีกแล้ว! ความจริงแล้วสามารถเถียงได้เลยว่าสิ่งนี้มีค่ามากกว่าตำราเรียกราชันผีระดับหกเสียอีก!
สิ่งหนึ่งคืออาวุธทำลายล้างที่ใช้แล้วหมดไปในครั้งเดียว ขณะที่อีกอย่างหนึ่งคือเครื่องมือที่สามารถช่วยเหลือเขาในระยะยาวได้ เขาเหมือนกับเด็กทารกแรกเกิดที่พยายามเอาชีวิตรอดในโลกมนุษย์ที่เต็มไปด้วยผีร้าย ซึ่งโดยปกติแล้ว ความรู้คือพลัง
เขาลอบถอนใจอย่างโล่งอก ในที่สุดฉันก็หายักษ์จินนี่น้อยให้ตัวเองได้แล้ว…แม้ว่ายักษ์จินนี่ตัวนี้ จะวางแผนฆ่าเขาตลอดเวลาก็เถอะ…
“เอาล่ะ ตอนนี้บอกข้าสิ ทำไมวิญญาณนี้ถึงสำคัญมากขนาดนี้? ข้าจะต้องเอาชนะบททดสอบสามวันนี้อย่างไรบ้าง?”
[1] วิธีประหารที่โหดร้ายในสมัยโบราณ นักโทษจะถูกเปลื้องผ้าจนเปลือยเปล่า ถูกพันห่ออยู่ในกระสอบที่จุ่มแช่ในไหน้ำมัน จากนั้นในตอนกลางคืนเขาก็จะถูกมัดเข้ากับหลักไม้แขวนไว้บนที่สูงและจุดไฟลามจากเท้าขึ้นมา กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเขาจะกลายเป็นโคมไฟมนุษย์บนท้องฟ้าในตอนกลางคืน และยังมีวิธีอ้างอิงที่ใหม่กว่าอยู่เล็กน้อยที่เหล่าโจรผู้ร้ายในเขตฉวนเซียงคิดค้นขึ้น นั่นก็คือพวกเขาจะเจาะรูเล็ก ๆ เข้าไปในสมองของนักโทษ เทน้ำมันตะเกียงเข้าไปในศีรษะก่อนจะจุดไฟ ซึ่งนักโทษจะตายอย่างน่าสะพรึงในทั้งสองกรณี