บทที่ 121: หนึ่งในสามของนักวิชาการหลักของแผนกวิจัยวิญญาณ
ฉินเย่สูดหายใจเข้าลึก ๆ และกระชับมือที่ถือโทรศัพท์แน่นกว่าเดิม
รายชื่อของเหล่าอาจารย์ที่มีความสามารถโดดเด่นของสำนักฝึกตนแห่งแรก…มีเพียงอาจารย์ที่มีความสามารถโดดเด่นเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ได้รับตำแหน่งรองศาสตราจารย์ ผลประโยชน์และสิทธิพิเศษอื่น ๆ นั้นยังไม่ทราบแน่ชัดสำหรับตอนนี้ แต่แค่ส่วนลดในการแลกเปลี่ยนหินวิญญาณเพียงอย่างเดียวก็ดึงดูดใจมากพอแล้วสำหรับเขา!
เขาไม่ได้คิดที่จะอยู่ในหน่วยสอบสวนพิเศษนานอยู่แล้ว จำกัดสูงสุดคือแปดปี เขาต้องการที่จะหาโอกาสและไต่อันดับให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ด้วยวิธีนี้เขาจะไม่ใช่แค่สามารถประเมินความแข็งแกร่งของหน่วยสอบสวนพิเศษได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่เขายังสามารถได้รับสิทธิพิเศษและผลประโยชน์ระหว่างทางด้วย สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มหูตาให้เขา เหลือเพียงแค่รอเวลาเท่านั้น ก่อนที่เขาจะเริ่มเจาะลึกเข้าข้อมูลทั้งหมด
เพราะอย่างไรเสีย จะมียมทูตสักกี่ตนที่สามารถเดินต่อหน้า ผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำและขั้นตุลาการนรกได้แบบนี้?
คิดว่าหน่วยสอบสวนพิเศษตาบอดหรืออย่างไร?
สิ่งแรกที่เข้าต้องมุ่งเป้าในตอนนี้ก็คือรายชื่อของเหล่าอาจารย์ที่มีความสามารถโดดเด่น
เด็กหนุ่มไล่ดูข้อความแชทที่คนอื่น ๆ ส่งมาเป็นการส่วนตัว มีทั้งคำขอเป็นเพื่อนและคำเชิญเข้ากลุ่มจำนวนมาก รวมทั้งภาพโปรไฟล์เชิญชวนต่าง ๆ…
“คุณรู้หรือเปล่าว่าความสำเร็จครั้งนี้ของคุณมันบ้าแค่ไหน?” หลินฮั่นกัดฟันกรอด “นี่เป็นภารกิจที่ทางสำนักคาดหวังให้เหล่าอาจารย์ทำมันให้สำเร็จภายใน 15 วัน แต่คุณกลับสามารถจบมันได้ภายในคืนเดียวเนี่ยนะ?! นี่คุณต้องการจะทำให้พวกเราทุกคนตกงานหรือไง? พวกเขาถึงขั้นต้องมาที่นี่ก็เพื่อที่จะขอปรึกษาและคำแนะนำจากคุณโดยเฉพาะเลย!”
ฉินเย่มองไปออกไปไกล ๆ ก่อนจะเหลือบตามามองคนด้านข้างของตน
เฮ้อ พวกมนุษย์นั้นช่างโง่เขลานัก…
นายจะไปเข้าใจความโดดเดี่ยวของการเป็นยมทูตด้วยระดับสติปัญญาอันน้อยนิดของนายได้อย่างไรกัน…
“คุณรอฟังตอนที่ผมรายงานให้ศาสตราจารย์ยวีฟังหลังจากนี้ก็ได้ จะว่าไป…คุณปู่คนนี้คือใครกัน?”
“คุณปู่?” ซู่เฟิงเลิกคิ้วสูงอย่างสงสัย “เหอะ ๆ…คุณปู่เหรอ….ผมจะบอกอะไรคุณให้นะ ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากบุคคลคนแรกที่ที่รับรู้ว่า สมดุลระหว่างแดนมนุษย์และยมโลกได้เสียสมดุลไปแล้ว และผลักดันคดีที่เขาทำไปยังรัฐบาลกลางหลายสิบครั้งเพื่อเสนอให้ทางรัฐบาลประกาศนโยบายที่เหมาะสมออกมา เขาเป็นหนึ่งในสามผู้ก่อตั้งของ SRC! ทำงานภายใต้ SRC แล้วตั้งแต่อายุ 20 ปี และเขาเห็นองค์กรมาตั้งแต่ยังมีเพียงรากฐานจนมันเติบโตมาถึงวันนี้ นอกจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นวิทยานิพนธ์และผลการวิจัยต่าง ๆ ของสำนักฝึกตนแห่งแรกเองก็ต้องรอการรับรองจากเขาก่อน จึงจะสามารถเผยแพร่ได้!”
ฉินเย่อ้าปากค้างและมองไปยังแผ่นหลังของชายสูงวัย
ให้ตายเถอะ…นี่เรากำลังเหยียบลงไปบนน้ำแข็งแผ่นบางโดยไม่ตัวสินะ…
จากนั้นหลินฮั่นจึงเอ่ยต่อ ราวกับต้องการจะทำให้ฉินเย่เกิดภาวะหลอดเลือดโป่งพองในสมอ “ตราบใดที่คุณได้รับการยอมรับจากเขา ก็จะไม่มีใครในสำนักที่จะกล้ามาว่าหรือหาเรื่องคุณอีก! คุณรู้หรือเปล่าว่าตัวเองโชคดีเพียงใด? นี่อาจจะเป็นรางวัลที่ดีที่สุดเท่าที่คุณจะสามารถได้รับเลยด้วยซ้ำ!”
“ผมจะบอกอะไรให้นะ การเลื่อนขั้นจากอาจารย์เป็นรองศาสตราจารย์นั้นอาจจะพิจารณาจากคะแนนการสอนเพียงอย่างเดียว แต่ในการเลื่อนตำแหน่งจากรองศาสตราจารย์เป็นศาสตราจารย์เต็มตัว พวกเขาไม่ได้พิจารณาแค่คะแนนการสอนเพียงอย่างเดียว พวกเขายังดูด้วยว่ารองศาสตราจารย์คนนั้นมีหัวข้อวิจัยเป็นของตัวเองหรือเปล่า! และเขาได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างไรในหัวข้อนั้น ๆ! คุณคิดหรือว่าการที่จะได้เป็นศาสตราจารย์เต็มตัวของทั้งสาขาเป็นเรื่องง่ายน่ะ?”
ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายวาบ หัวสมองของเขาเริ่มทำงานอย่างรวดเร็ว
SRC นั้นแตกต่างจากหน่วยสอบสวนพิเศษ
หน่วยสอบสวนพิเศษจะให้ความสำคัญกับการปฏิบัติการและกำลังรบ ในขณะที่ SRC จะให้ความสำคัญกับความรู้ทางทฤษฎี และสำนักฝึกตน…จุดความสนใจของพวกเขานั้นคล้ายกับ SRC มากกว่าหน่วยสอบสวนพิเศษ
เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว ทฤษฎีและข้อสันนิษฐานทั้งหมดก็ต้องได้รับการทดสอบจากสำนักฝึกตนก่อนจึงจะเผยแพร่ได้ นอกจากนี้ โครงการ การประเมิน เอกสาร และวิทยานิพนธ์ทั้งหมดจะต้องถูกส่งไปที่ SRC เพื่อประเมินแทนที่จะถูกส่งไปที่หน่วยสอบสวนพิเศษ
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ…
หากเขายอมเป็นสุนัขเชื่อง ๆ ของผู้เฒ่ายวีเพื่อทำให้อีกฝ่ายพอใจ…การเลื่อนตำแหน่งจากรองศาสตราจารย์เป็นศาสตราจารย์ของเขาก็จะราบรื่นขึ้นสินะ? และเขาก็จะเข้าใกล้แหล่งทรัพยากรทั้งหมดที่เราจำเป็นต้องใช้ในการสร้างนรกมากขึ้น?
ภายในหัวของเขาเต็มไปด้วยแผนการต่าง ๆ มากมายทันที
ทันใดนั้นเอง กรอบรูปที่ถืออยู่ก็ขยับอีกครั้ง ดึงเขากลับมาจากการเพ้อฝันของการพักผ่อนในชื่อเสียงเกียรติยศของตัวเองในฐานะประธานบริษัทผู้ทรงอิทธิพลที่ได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวตะวันตกผู้ร่ำรวย
“ขอโทษที แต่ผมรบกวนฝากบอกผู้เฒ่ายวีทีว่าผมขอไปห้องน้ำสักครู่ มันไม่ไหวแล้วจริง ๆ” เขาจับกรอบรูปในมือแน่นและวิ่งออกมาจากตรงนั้นด้วยความเร็วสูงสุด
“เหตุใดเจ้าจึงขยับตัวขยุกขยิกแบบนี้? ข้างนอกนั่นมีผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วน เจ้าอยากจะตายหรืออย่างไร?!” ฉินเย่ระเบิดอารมณ์โทสะของเขาออกมาทันทีที่เขาปิดประตูห้องน้ำ
วิญญาณของซูตงเซวี่ยลอยออกมาจากกรอบรูป แต่ฉินเย่กลับยัดนางกลับไปทันทีที่ออกมา หญิงสาวจึงเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจนักว่า “ท่านเป็นฆาตกร”
ฉินเย่กลอกตาและเอ่ยลอดไรฟันว่า “ทำตัวให้ดี ๆ หากเจ้ายังไม่อยากตาย”
วิญญาณสาวจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม “ก็ได้…ถ้าเช่นนั้น…ท่านผู้ทรงอำนาจ ข้าอยากขออะไรท่านสักอย่างจะได้หรือไม่?”
“ว่ามา”
“เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเมื่อครู่นี้…ในภายภาคหน้า ท่านช่วยหมั้นหมายดวงวิญญาณของเขาให้กับข้าได้หรือไม่?”
ฉินเย่เงียบไปถึงสามวินาทีเต็ม ๆ ก่อนที่จะเข้าใจในท้ายที่สุดว่านางหมายถึงหลินฮั่น
“…นะ….นี่เจ้ามีตาหรือเปล่าเนี่ย? ตลอดเวลาที่ผ่านมา ความหล่อเหลาระดับโลกได้ยืนอยู่ตรงหน้าของเจ้าแล้ว แต่สายตาของเจ้ากลับมองชายอื่นหล่อกว่าข้าเนี่ยนะ? ข้าจะบอกอะไรให้นะ หมอนั่นเป็นเพียงเข็มเย็บผ้าที่ ดูดี แต่ไร้ประโยชน์!”
ซูตงเซวี่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยตอบเสียงเบา “ข้าแต่ท่านผู้ทรงมากด้วยฤทธา ตัวข้านั้นได้เรียนรู้ผ่านสายตาของซงเจียฝางแล้วว่าสังคมในยุคสมัยนี้มิได้อธิบายส่วนเหล่านั้นว่าเข็มเย็บผ้าอีกต่อไป แม้จะมีน้อย แต่ก็ยังดีกว่าไม่มี…จากการสังเกตของข้า เขาหาใช่เข็มเย็บผ้าไม่ ในความจริงแล้ว มันดูน่าจะกระชับดีด้วย ดูร่างกายที่สมบูรณ์แบบของเขานั่นสิ”
พระเจ้าเถอะ เจ้าหมายความว่าอย่างไร ‘กระชับ’?! แล้วเจ้าไปเรียนคำพูดสวยหรูพวกนั้นมาที่ไหนกัน?
ฉินเย่: “…อืม…แล้วพวกเจ้าอธิบายสิ่งที่ใหญ่ว่าอย่างไร?”
วิญญาณสาวตอบด้วยท่าทีเขินอายราวกับแมวดำขี้อาย “แท่งเหล็ก จุกอก”
…………………………….……
ฉินเย่ใช้พลังหยินของตนห่อหุ้มกรอบรูปเอาไว้ เพื่อที่มันจะได้ปกปิดเสียงของวิญญาณสาวได้ จากนั้นจึงหันไปหาอาร์ทิสด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมกว่าเดิมและเอ่ยว่า “ข้าคิดว่าพวกเราคงต้องเสริมสร้างในด้านอารยธรรมทางจิตวิญญาณของการสร้างยมโลกเสียแล้ว [1] มันไม่ถูกที่เราจะปล่อยให้วิญญาณตนนี้มาทำหน้าที่สุวรรณเลขา…เอาเถอะ เวลานั้นเป็นเรื่องสำคัญ ข้าจึงอยากจะถามท่านว่าข้าควรจะทำตัวอย่างเมื่ออยู่ต่อหน้าชายสูงวัยผู้นั้นและทำให้เขาสนใจข้า?”
อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นทำหน้าบึ้ง “มันจะดีที่สุดหากการสร้างอารยธรรมทางจิตวิญญาณนั้นจะเริ่มจากที่ตัวเจ้าคนแรก เพราะทุกอย่างล้วนไหลจากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง หากพูดกันตามตรง ตัวข้าเองก็รู้สึกเป็นกังวลเกี่ยวกับศีลธรรมและจริยธรรมของยมโลกจริง ๆ…แต่กลับเข้าเรื่องก่อนเถอะ ข้ามีตัวเลือกมากมายให้เจ้าเลือก”
นางคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงเอ่ยด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำ “ดวงวิญญาณหยินพวกนี้บางตนอาจสูญหายไปจากสังคมยุคปัจจุบันแล้ว เจ้าอาจจะลองเล่าเรื่องของวิญญาณแห่งฝันร้ายให้เขาฟัง ลักษณะนิสัยของวิญญาณแห่งฝันร้ายนั้นค่อนข้างชัดเจน ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นดวงวิญญาณที่พบเจอได้ยากอย่างน่าเหลือเชื่อ วิญญาณพวกนี้สามารถกลายเป็นวิญญาณร้ายขั้นยมทูตขาวดำได้ภายในหนึ่งปีหากถูกปล่อยทิ้งไว้ และที่ร้ายกว่านั้น พวกมันใช้เวลาเพียงสามปีเต็มเท่านั้นในการที่จะกลายเป็นภูตผีคลุ้มคลั่งเต็มตัว พวกมันเป็นหนึ่งในพวกที่ต้องการตัวมากที่สุดในนรกในตอนนั้น”
อาร์ทิสค่อย ๆ อธิบายลักษณะและนิสัยของวิญญาณแห่งฝันร้ายอย่างละเอียด ฉินเย่หลับตาฟังและซึมซับทุกอย่างที่อีกฝ่ายพูดราวกับฟองน้ำ ก่อนที่จะทวนทุกสิ่งให้อาร์ทิสฟังอีกครั้ง จากนั้นเขาจึงเดินออกจากห้องน้ำทันที
เด็กหนุ่มก้าวขึ้นไปบนรถและหลับไปประมาณ 20 นาที พวกเขามาถึงที่หมายอย่างรวดเร็ว
เมื่อเปิดเปลือกตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็อยู่ที่ด้านข้างของถนนวงแหวนรอบนอกของเมืองไดซานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาประมาณตีสี่ แม้แต่เมืองหลวงเองก็เริ่มเผยให้เห็นถึงร่องรอยแห่งความเหนื่อยล้า
การจราจรในเวลานี้เงียบเชียบและเบาบาง แม้แต่ป้ายโฆษณาและหน้าจอ LED ล้วนถูกดับแสงลง
ผู้เฒ่ายวีเป็นคนเดินลงจากรถเป็นคนแรก และเดินนำคนทั้งหมดไปยังชุมชนขนาดเล็กแห่งหนึ่ง พื้นที่ดังกล่าวได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาเป็นพิเศษ แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลาตีสี่แล้ว แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนกลับยังเดินลาดตระเวนอยู่รอบ ๆ พื้นที่อย่างแข็งขัน
“นี่คือพื้นที่ที่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยมากที่สุดในเมืองไดซาน…นภาสีคราม” ฉินเย่นั่งอยู่ภายในรถอีกคันหนึ่ง และชายคนหนึ่งในกลุ่มคนที่สวมชุดปฏิบัติการสีขาวที่นั่งมาด้วยกันก็อธิบายให้เขาฟังด้วยรอยยิ้ม
“นี่คือที่พักชั่วคราวของเรา ข้อเท็จจริงที่ผู้เฒ่ายวีพาคุณมาที่นี่ได้แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของปัญหาที่เขาได้เห็นในวันนี้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นคืนนี้จะถูกบันทึกลงในฐานข้อมูลของ SRC อย่างละเอียด”
ฉินเย่พยักหน้าและเดินตามคนทั้งหมดเข้าไปด้านใน ซู่เฟิงและหลินฮั่นเองก็เดินตามไปเงียบ ๆ ฉินเย่รู้สึกได้ว่ากรอบรูปมีการสั่นไหวเล็กน้อย แต่เขาก็จับมันแน่นขึ้นเพื่อกลบเกลื่อนการเคลื่อนไหวทั้งหมดทันที
แม่สาวน้อย แม้ว่าเจ้าจะไม่บริสุทธิ์พอที่มีลูกให้ข้า แต่เจ้ากล้าดีอย่างไรที่คิดถึงชายอื่นในขณะที่ยังอยู่ข้างกายข้าแบบนี้?
พื้นที่ด้านในล้วนเป็นสีเขียวอ่อน ๆ ไฟถนนดูใหม่เอี่ยมและถนนก็มีความกว้างเพื่อพอที่รถยนต์สามารถขับไปมาได้ ไม่นานผู้เฒ่ายวีก็เดินนำคนทั้งหมดไปที่อาคารหลังเล็กหลังหนึ่ง
“พวกคุณรออยู่ข้างล่างและดูความปลอดภัยของเราจากกล้องวงจรปิด ผมจะขึ้นไปที่ห้องบันทึกเสียงด้านบน ผมจะคุยกับเขาเอง”
“รับทราบ” ไร้ซึ่งคำถามใดๆหลังจากนั้น ผู้เฒ่ายวีรีบเดินขึ้นไปชั้นสองอย่างรวดเร็ว
อาคารหลังนี้ถูกออกแบบมาให้มีกลิ่นอายของแผ่นดินจีนในสมัยก่อน มีเพียงแค่ฉินเย่และผู้เฒ่ายวีเท่านั้นที่เดินขึ้นไปบนชั้นสอง และในที่สุดพวกเขาก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าภาพวาดทิวทัศน์ขนาดใหญ่ภาพหนึ่ง
เก้าอี้ตรงหน้าของเขามีอยู่ทั้งหมดหกตัว ผู้เฒ่ายวีเดินไปนั่งเก้าอี้ตัวที่อยู่ตรงกลาง จากนั้นจึงชี้ไปที่เก้าอี้ตัวที่อยู่ข้าง ๆ ตน “เชิญ”
ทันทีที่ฉินเย่นั่งลง ชายสวมชุดสูทคนหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกับชาสองถ้วย กลิ่นหอมของฤดูใบไม้ผลิลอยมาแตะปลายจมูก กลิ่นที่เหมือนกับทุ่งหญ้าเขียวขจีที่มีหยาดน้ำค้างหยดลงมาในช่วงเช้าตรู่ของวันทำให้ทั้งสองรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าเดิม กลิ่นหอมหวนของมันได้ขจัดความเหนื่อยล้าที่ฉินเย่มีก่อนหน้านี้ไปจนหมด
“เป็นชาที่ดีจริง ๆ” เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมาเสียงดัง ในขณะเดียวกัน สายตาของเด็กหนุ่มก็เหลือบไปมองชายในชุดสูทคนนั้น
ขั้นนักล่าวิญญาณ…
ผู้เฒ่ายวีนั้นเป็นผู้ฝึกตนขั้นยมเทพเท่านั้น แต่คนที่ปกป้องชายสูงวัยกลับอยู่ถึงขั้นนักล่าวิญญาณ ฉินเย่ไม่เคยเห็นผู้ฝึกตนขั้นนักล่าวิญญาณที่มาจากเมืองไดซานเลยสักคนเดียวตั้งแต่ที่เขามาถึงที่นี่ ดังนั้นการมีผู้ฝึกตนขั้นนักล่าวิญญาณอยู่รอบกายอีกฝ่ายจึงบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าชายสูงวัยตรงหน้านี้มีความสำคัญมากเพียงใด
และนี่ก็คือสิ่งที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนจากภายนอกเช่นกัน
ผู้เฒ่ายวียกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ เขาหลับตาลง สีหน้าของเขาดูผ่อนคลายมากขึ้นก่อนที่จะเอ่ยเบา ๆ “มีเพียงผู้ที่มีตราความดีขั้นที่สองเท่านั้น จึงจะสามารถซื้อชาชำระจิตใจจากยอดเขาหยุนวู่ได้ มันมีราคาสูงถึง 10,000 หยวน ราคาเดียวกันกับต้นแม่ของชาต้าหงเผา ชาชนิดนี้มีฤทธิ์ช่วยในการรวบรวมพลังปราณ ชำระจิตวิญญาณ และลดความเหนื่อยล้า ประโยชน์ของมันนั้นสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน แม้ว่ามันจะใช้ได้ผลแต่กับผู้ฝึกตนก็ตาม”
นี่คือหนึ่งในสิทธิพิเศษสำหรับบุคคลผู้ซึ่งได้รับตราความดีขั้นที่สองอย่างนั้นหรือ?
รูม่านตาของฉินเย่หดตัวเล็กน้อย กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ยิ่งคะแนนความดีสูงเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งเข้าใกล้สมบัติระดับสูงที่ซ่อนอยู่ภายในคลังสมบัติของ SRC และหน่วยสอบสวนพิเศษมากขึ้นอย่างนั้นใช่ไหมนะ?
ฉินเย่ตัดสินใจได้ทันทีว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เขาจะยอมเป็นสุนัขเลียขาที่เชื่องที่สุดที่สามารถเป็นได้
“สิ่งที่พวกเราคุยกันจะถูกบันทึกเอาไว้ทั้งหมด หัวข้อนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับผม ดังนั้นผมจึงอยากจะขอให้คุณฉินช่วยอธิบายรายละเอียดทุกอย่างให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” ผู้เฒ่ายวีลืมตาขึ้นและยื่นมือออกมาด้านหน้า “ยวีกั๋วฮุย นักวิจัยผู้ทรงเกียรติของ SRC ที่ได้รับตราความดีพิเศษแห่งชาติ และเป็นหนึ่งในสามนักวิชาการหลักของแผนกวิจัยวิญญาณ ยินดีที่ได้พบครับ”
“ฉินเย่ครับ เจ้าหน้าที่ขั้นนักล่าวิญญาณธรรมดา ๆ คนหนึ่ง”
ทั้งสองจับมือกันเล็กน้อย จากนั้นยวีกั๋วฮุยจึงยิ้มออกมาบาง ๆ “หึหึ คุณไม่ธรรมดาเลยสักนิด สามารถก้าวถึงขั้นนักล่าวิญญาณได้ตั้งแต่อายุ 18 นั้นไม่ใช่สิ่งที่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์จีน…เอาล่ะ อย่ามัวแต่พูดนอกเรื่องเลย เอาล่ะมาพูดถึงสิ่งที่คุณไปเจอด้านล่างกันดีกว่า…”
ฉินเย่เริ่มเล่าทุกสิ่งที่เขาได้พบเจอด้านล่างอย่างละเอียด อันที่จริง เขาไม่แม้แต่จะปิดบังเรื่องที่ตัวเองเผชิญหน้ากับดวงวิญญาณของซูตงเซวี่ยในตอนท้ายที่สุดด้วยซ้ำ การปรุงแต่งเพียงอย่างเดียวที่เขาเสริมขึ้นก็คือการบอกว่าดวงวิญญาณของนางถูกกำจัดไปในทันทีที่ปรากฏตัวออกมา
พวกเขาพูดคุยกันอยู่เกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม ยวีกั๋วฮุยพูดแทรกขึ้นเป็นบางครั้งเพื่อขอรายละเอียดบางอย่างให้ชัดเจนมากขึ้น คำถามของเขานั้นดูเหมือนจะเรียบง่ายและไม่สำคัญ แต่ทั้งหมดล้วนตรงจุดอย่างน่าเหลือเชื่อ
ในที่สุดทุกอย่างก็เสร็จสิ้น ยวีกั๋วฮุยยกมือขวาขึ้นมาลูบคางของตนเองเบา ๆ แววตาของเขาลุกโชนด้วยความหมายมั่น และอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างชัดเจนในทุกครั้งที่สูดหายใจเข้าออก
“คุณยวีครับ…” ฉินเย่ยังคงให้ความสำคัญกับท่าทีของอีกฝ่ายและถามต่อ “ข้อมูลพวกนี้พอจะเป็นประโยชน์หรือเปล่าครับ?”
หากมันเป็นประโยชน์ ผมก็จะถือโอกาสนี้ในการดึงคุณเข้ามาเป็นเหยื่อในครั้งนี้….
นี่คือโอกาสที่ดีที่สุดในการจะหาเสาหลักในการสนับสนุนที่มีศักยภาพสูงสุดมาอยู่ในมือ แล้วทำไมเขาต้องไม่คว้ามันเอาไว้ด้วยล่ะ?
ยวีกั๋วฮุยได้สติกลับมาอีกครั้ง เขาตบเบา ๆ ที่ข้างแขนของเด็กหนุ่มตรงหน้า “ทำไมมันจะไม่มีประโยชน์ล่ะ? นี่มันมากเกินกว่าที่ผมหวังไว้เสียอีก!”
“มันเป็นความจริง…มันมีดวงวิญญาณประเภทต่าง ๆ อย่างที่ผมคิดเอาไว้จริง ๆ! เหมือนอย่างที่การศึกษาวิชามานุษยวิทยาช่วยให้เราเข้าใจว่าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติในดินต่างแดน ทำให้เกิดการแตกต่างทางชาติพันธุ์และประเภทของคน…การศึกษาในเรื่องของวิญญาณของพวกเราในตอนนี้เองก็จะช่วยให้เรามีมาตรการเชิงรุกในการต่อกรกับพวกวิญญาณมากขึ้นในอนาคต!” เขายกถ้วยชาขึ้นมาดื่มอึกใหญ่อย่างตื่นเต้น
ก่อนจะพูดต่อว่า “แล้วคุณล่ะ…มีความคิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้บ้าง?”
ชายสูงวัยเพียงถามออกไปอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก ทว่าฉินเย่กลับยิ้มบาง ๆ และตอบว่า “มีครับ”
[1] ผู้เขียนต้องการจะสื่อว่าความมั่งคั่งทางจิตวิญญาณนั้นถูกสร้างขึ้นจากวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คนในประวัติศาสตร์ รวมถึงความคิด ศีลธรรม และการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมเป็นต้น