บทที่ 13 อาร์ทิส มินิเธล
อรากษสะเงียบไปครู่หนึ่ง คาดว่านางกำลังปรับอารมณ์และเรียบเรียงความคิดใหม่ หลังหยุดพูดไปนาน ลูกบอลผนึกก็เคลื่อนที่เล็กน้อยอีกครั้ง ทว่าก่อนที่นางจะพูดความในใจออกมา ฉินเย่ก็เหน็บเข้าให้ในทันทีพร้อมกับนวดคลึงขมับถี่ ๆ “อรากษสะรู้สึกเรียกยากจัง เพื่อความสะดวก นับแต่นี้ไปข้าจะเรียกเจ้าว่าเสี่ยวอาโอเคไหม ชื่อเต็มของท่านก็คงจะเป็น อาร์ทิส มินิเธล ฟังติดหูดีนะ แถมชัดเจนและจำง่ายด้วย แล้วมันก็ฟังดูอินเตอร์ใช่ย่อยว่าไหมล่ะ?”
เวรแล้วตู…
ความคิดว่าตนต้องตายไปพร้อมกับฉินเย่เริ่มผุดขึ้นในใจของอรากษสะ ชื่อนี้ฟังดูไม่เอเชียเลยสักนิด แล้วเหตุใดข้าถึงรู้สึกว่ามันเป็นชื่อผู้ชายอีกด้วย? นี้แกตั้งใจใช่ไหม?
“…แล้วแต่เจ้าเถอะ…” นางกัดฟันยอมรับอย่างไม่เต็มใจนัก จากนั้นก็สูดหายใจลึกและเอ่ยต่อ “เหตุผลหลักที่ทำไมวิญญาณนี้ถึงสำคัญก็เพราะว่า มันช่วยเจ้าได้มากอย่างไรล่ะ”
“คนที่ทานเห็ดเทียนสุ่ยเข้าไปจะกลายเป็นอมตะ ชื่อของเขาจะไม่ปรากฏอยู่ในสมุดความเป็นและความตายอีกต่อไป และตัวตนของเขาก็จะปรากฏอยู่ทั้งในโลกมนุษย์และแดนนรก แต่ด้วยของสิ่งเดียวกันนี้ เมื่อใดก็ตามที่สมดุลระหว่างสองดินแดนนี้ผิดปกติ เจ้าก็จะต้องตาย”
นางเอ่ยต่ออ้อมแอ้ม “สถานการณ์เหล่านี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่แรก แต่ใครจะคิดว่าตี้จ้างหวังผู่ซาจะทะเยอทะยานเช่นนี้? ทางเดียวที่เจ้าจะเอาชีวิตรอดต่อไปได้ก็คือหาตำแหน่งชิ้นส่วนแรกของหนึ่งในสมบัติพื้นฐานให้เจอ กล่าวก็คือเจ้าต้องคิดเรื่องนี้มาก่อน…”
นางลดเสียงลงต่ำ ก่อนเอ่ยประโยคต่อไปด้วยเสียงใสกระจ่าง “เมื่อใดที่เจ้าระบุตำแหน่งชิ้นส่วนแรกได้ เจ้า…จะไม่มีทางหยุดได้”
“เรื่องนั้นเจ้าหมายความว่าอย่างไร…” ก่อนที่ฉินเย่จะพูดจบ เขาก็เงียบไปเมื่อสมองของเขาก็พลันสว่างวาบ เมื่อนึกบางขึ้นมาได้
จะไม่มีทางหยุดได้…ใช่แล้ว! อย่างนี้นี่เอง!
เขาต้องระบุตำแหน่งของชิ้นส่วนแรกให้ได้หากไม่อยากตาย แต่ว่าการได้ชิ้นส่วนแรกมาก็เหมือนเป็นการเล่นโน้ตตัวแรกของบทเพลงโหมโรงแห่งนรก เมื่อใดก็ตามที่เจ้าเริ่มต้นฟันเฟืองนี้…ก็ไม่มีใครสามารถหยุดมันได้อีก!
หลังจากที่เขาหาตำแหน่งของชิ้นส่วนแรกเจอ เขาก็จะต้องหาชิ้นส่วนที่สองในทันที และเจ้าของชิ้นส่วนที่สองก็จะจับตัวตนของเขาได้เช่นกัน จากนั้นเมื่อเขาได้รับชิ้นส่วนที่สอง ชิ้นส่วนที่สองก็จะเชื่อมโยงกับชิ้นส่วนที่สาม สี่ ต่อไปเรื่อย ๆ ไม่มีวันหยุด ถึงตอนนั้นไม่ว่าเขาจะชอบใจหรือไม่ ก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนตัวออกจากวังวนอันโหดร้ายนี่ได้อีกต่อไป
มันคือวังวนที่ไม่มีวันจบ!
เสียงของอาร์ทิสฟังดูอ่อนลง “ยิ่งกว่านั้น…ทุกชิ้นส่วนของสมบัติพื้นฐานต่างเต็มไปด้วยพลังหยินไร้ขอบเขต พวกภูตผีใดก็ตามที่ได้รับมัน แม้จะเป็นวิญญาณอายุหนึ่งหรือสองปี ก็จะมีพลังแก่กล้ามากขึ้นและเทียบเท่ากับวิญญาณอายุสิบหรือยี่สิบปีเลยทีเดียว ไอ้หนู…เจ้าต้องสวดภาวนาให้หนักเลยล่ะ หากเจ้าโชคร้ายและเจ้าของชิ้นส่วนแรกเป็นภูตผีร้ายที่มีพลังแข็งแกร่งกว่าวิญญาณระดับ D เช่นนั้น…เจ้าจะต้องตายภายในสามวันหลังจากนี้”
ฉินเย่ยังคงเงียบไป เขากลับหลับตาลงและเริ่มใคร่ครวญทางเลือกของเขาอย่างถี่ถ้วน นิ้วของเขาเคาะบนโต๊ะเป็นจังหวะ และจังหวะเคาะนั้นก็ดังก้องไปทั่วทั้งบ้านเล็ก ๆ อันเหน็บหนาวของเขา
นี่มันเหมือนโหลแก้วที่เต็มไปด้วยสัตว์มีพิษทุกชนิด และสัตว์มีพิษพวกนี้แต่ละตัวก็เป็นตัวให้ชิ้นส่วนของสมบัติโบราณ ตัวที่อยู่รอดตัวสุดท้ายคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด! เมื่อใดที่ได้รับชิ้นส่วน มันก็จะต้องต่อสู้จนตัวตายไม่ว่าจะชอบใจหรือไม่ก็ตาม!
มันไม่มีทางหนีแล้ว
ถ้างั้น…
“คนที่ลงมือก่อนจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ” เขาลืมตาขึ้นพร้อมกับแววพิฆาตฉายผ่านส่วนลึกในดวงตา และเอ่ยคำพูดประโยคนี้มาพร้อมกับอาร์ทิสอย่างไม่ได้นัดหมาย
“ในเมื่อมันไม่มีทางให้ถอยอีกแล้ว ดังนั้นมันก็ไม่มีจุดที่ให้คิดถอยได้อีกเช่นกัน เจ้าต้องไม่ใช่คนที่ตาย แต่พวกมันต่างหากที่ต้องตาย” ในฐานะตุลาการที่เสื่อมเสียชื่อเสียงจากการกระทำอาชญากรรมอันชั่วร้ายที่สุด หัวใจของอาร์ทิสก็เย็นชาราวกับน้ำแข็ง นางเหลือบมองฉินเย่ “ข้าไม่คิดเลยว่าเราจะต้องตาต่อตาฟันต่อฟันกับเรื่องนี้ อย่ากังวลไปเลย ในเมื่อเราทำสัญญาเลือดร่วมกันแล้ว ข้าจะไม่เพิกเฉยมองเจ้าตายแน่ ๆ ยิ่งกว่านั้นวิญญาณหยินตนนี้ข้าเคยเห็นเมื่อตอนที่ข้าอยู่ในนรก และสัมผัสได้ว่าสัญญาณของชิ้นส่วนสมบัติโบราณมันไม่แข็งกล้านัก เจ้ารอรับโชคไว้ได้เลย ผีที่สิงเขาอยู่จะครอบครองชิ้นส่วนนี้ได้ไม่นานหรอก”
ฉินเย่พยักหน้าขณะเหลือบมองโทรศัพท์อีกครั้ง ตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดนาฬิกาสิบนาทีแล้ว
ในเมื่อผู้ที่ลงมือก่อนจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ และในเมื่อมันไม่มีทางที่จะเรียกวิญญาณภายในวันเดียว เราก็มาเริ่มที่เพื่อนร่วมชั้นของฉัน หวังเฉิงห่าว เลยแล้วกัน!
หากคู่ต่อสู้คนแรกของเขาไม่ถูกกำจัดภายในสามวัน ฉินเย่ก็คงจะต้องดำเนินรอยตามยายเมิ่งไปในไม่ช้า
…………………………………………..
เวลาตีสาม เช้ามืดในคืนนั้น
ทันทีที่ฉินเย่ก้าวเข้าสู่เส้นทางการท่องนรก เด็กวัยรุ่นตัวสูงสมส่วนในบ้านใกล้เรือนเคียงชั้นสูงภายในเขตชิงฉูกำลังนอนอยู่บนเตียงพร้อมกับนิ่วหน้า
เขากำลังหลับลึก แม้จะเป็นฤดูร้อน แต่บ้านของเขาก็พรั่งพร้อมไปด้วยระบบทำความเย็นล้ำสมัยที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีปรับอากาศ ระบบแต่ละอย่างมีราคาสูงถึงหนึ่งแสนหยวน
บ้านของหวังเจ๋อหมิน ชายที่รวยที่สุดในเขตชิงฉู ตั้งอยู่ในย่านฉางหลาน
ทุกบ้านในละแวกนี้แยกออกเป็นวิลล่าเดี่ยว หากมองออกจากหน้าต่างของวิลล่าหลังใดหลังหนึ่งในแถบนี้ ก็จะพบกับภาพวิวอันยิ่งใหญ่ไร้สิ่งกีดขวางของเทือกเขาต้าปาที่ทอดตัวยาวเป็นหลายไมล์ เมื่อสายลมยามค่ำคืนพัดมา มันก็จะพาเสียงเสียดสีนุ่มนวลจากป่าไผ่บนภูเขามาด้วย นำความสงบสุขและสบายใจมาสู่จิตใจผู้ที่ได้ฟัง
สถานที่แห่งนี้เป็นย่านที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ล่าสุดเช่นกัน ราคาบ้านในละแวกนี้เทียบเท่ากับย่านชั้นนำของทั้งมณฑล ความพิเศษของย่านนี้สามารถบอกได้ว่าเหตุใดในบริเวณนี้จึงมีวิลล่าแค่สามถึงสี่หลัง มันมีป่าผืนงามอยู่ไม่ไกลนัก แต่ข้อเสียอย่างเดียวก็คือในยามกลางคืนใต้แสงจันทร์ เงาป่าช่างดูน่ากลัวน่าขนลุกไม่น้อย
หวังเฉิงห่าวนอนหลับอยู่บนเตียงด้วยอาการกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด เขาสะบัดตัวพลิกไปมา คิ้วมุ่นเข้าหากันแน่น ในที่สุดเขาก็กรีดร้องออกมาเสียงดังและสะดุ้งตื่นในทันที
“แฮก….แฮก…” เขาหอบหายใจพลางตบอก หัวใจของเขายังเต้นโครมครามบ้าคลั่ง แม้เวลาจะผ่านไปสองวันแล้ว ทว่าฝันร้ายนั้นก็ยังคงสดใหม่อยู่ในใจเสมอ
ชั่วขณะต่อมาเขาก็พลันตัวแข็งค้าง
แม้แต่หัวใจของเขาก็เหมือนจะหยุดเต้น ความรู้สึกหวาดผวาแรงกล้าเริ่มแล่นไปตามสันหลัง ทำให้เส้นขนทั่วร่างลุกชัน!
สตรีคนหนึ่งนั่งอยู่ที่ปลายเตียงของเขา
เธอหันหลังเงียบ ๆ ให้เขา ผมยาวถึงบั้นเอวปล่อยสยาย และเธอก็สวมชุดสีขาวซีดตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ธะ…เธอ!” หวังเฉิงห่าวหวาดกลัวเสียจนรีบลนลานกระเถิบไปที่หัวเตียงและเปิดปิดสวิตช์ไฟซ้ำ ๆ
“อย่าตกใจไป แค่ไฟดับน่ะ” เสียงของสตรีฟังดูอู้อี้ ราวกับว่าเธอเคี้ยวอะไรบางอย่างอยู่
“ป้าหลิว…” หวังเฉิงห่าวโล่งใจลงเล็กน้อยในที่สุด ป้าหลิวคือแม่เลี้ยงของเขา แต่เขายังคงเรียกเธอว่าป้าหลิว เพราะเขาไม่อาจทำใจที่จะเรียกเธอว่า แม่ ได้
แม่เลี้ยงของเขาย้ายมาที่นี่เมื่อสามเดือนก่อน โดยที่หวังเจ๋อหมินพ่อของเขาเป็นคนพามา
แม่แท้ ๆ ของหวังเฉิงห่าวได้เสียชีวิตไปตั้งแต่คลอดเขาออกมา
ป้าหลิวไม่ตอบอะไรเขา แต่กลับเดินออกจากห้องของเขาช้า ๆ เสียงกลั้วในลำคอประหลาดหูดังมาจากริมฝีปากของเธอ
เมื่อประตูห้องของเขาปิดลง หวังเฉิงห่าวก็ปาดเหงื่อเย็นออกจากหน้าผากและเตรียมนอนลงอีกครั้ง แต่หลังจากที่นอนลงไปได้ไม่กี่วินาที เขาก็พลันเด้งตัวขึ้นจากเตียงราวกับว่าบนเตียงมีเข็มทิ่มตำเขาอยู่
นี้มันไม่ปกติ…มันไม่ปกติมาก ๆ!!
เขาแน่ใจว่าเมื่อคืนก่อนจะนอนได้ล็อกประตูแน่นหนาแล้วนี่!
แม้แต่หน้าต่างทุกบานฉันก็ปิดสนิทหมดเพราะเปิดใช้เครื่องปรับอากาศ!
แล้ว…ป้าหลิวเข้ามาในห้องเขาได้อย่างไรเนี่ย?!
ไม่…แล้วในย่านนี้ไฟก็ไม่น่าจะดับด้วย ถ้าไฟดับแล้ว ทั้งย่านก็ต้องไฟดับเหมือนกันสิ
ร่างกายของเขาสั่นสะท้านยามเลือดขึ้นไปเลี้ยงสมอง เขาเปิดสวิตช์ไฟอยู่หลายครั้ง แต่มันก็ไม่มีการตอบสนองไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตาม เขาสบถพลางหอบหายใจและรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แต่เมื่อเขาเปิดหน้าจอ เขาพลันต้องเอามือปิดปากแล้วม้วนขดตัวอย่างขลาดกลัวภายใต้ผ้าห่ม เด็กหนุ่มร่างสูงกำยำอายุสิบแปดปีเกือบจะกรีดร้องสุดเสียงออกมา
ไม่มีแสงไฟเลย
แสงจันทร์สลัวรางบนท้องฟ้าฉายลงมาจนเกิดเงาป่าบนภูเขาต้าปาทอดลงมาที่ห้องของเขา เงาเหล่านี้เคลื่อนไหวแกว่งไกวอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่ามีพลังเหนือธรรมชาติกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้เขาทุกขณะ
ไม่มีสัญญาณจากมนุษย์คนใดเลย
ทั้งห้องเงียบกริบจนได้ยินเสียงเข็มตก
แหล่งแสงเพียงหนึ่งเดียวตอนนี้คือแสงขาวเรืองจาง ๆ จากหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเขา
และภายใต้แสงสลัวรางของมัน…เขาก็เห็นมันอย่างชัดเจน มันมีรอยเท้าปรากฏเป็นทางจากข้างเตียงของเขาตรงไปที่ประตูห้อง
มันดูเรียบร้อยเป็นระเบียบ…แต่ทำไมรอยเท้าพวกนี้ถึงมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าล่ะ?
พวกมันเป็นรอยเท้ามนุษย์
แต่มัน…เป็นรอยเท้าสีเลือด! ตอนตีสามในคืนเงียบสงัด รอยเท้าเลือดทอดยาวเป็นทาง ปรากฏภายในห้องนอนของเขา!
กึกๆๆๆๆ…ฟันของหวังเฉิงห่าวเริ่มสั่นกระทบกันอย่างควบคุมไม่ได้…ประตูที่ล็อกแน่น…แม่เลี้ยงของเขานั่งอยู่ตรงปลายเตียงในเวลาตีสาม…รอยเท้าเลือดเป็นทาง…และเสียงของคนบางคนกำลังสวาปามอะไรบางอย่างไม่ได้หยุด…
เขากระเถิบไปที่ประตูเงียบ ๆ เมื่อเขาอยู่ใกล้ประตู เขาก็พบว่าประตูมันเปิดแง้มอยู่เล็กน้อย!
มีช่องเล็ก ๆ อยู่ระหว่างบานประตูกับกรอบประตู
“ฮี่….ฮี่…” หน้าผากของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ ทันทีที่เขาจะปิดประตูเงียบ ๆ เขาก็ได้เห็นฉากน่าสยดสยองแวบหนึ่งที่เกือบจะทำให้วิญญาณหลุดจากร่าง!
แม่เลี้ยงของเขา…กำลังคุกเข่าอยู่ใกล้ ๆ สุนัขลาบราดอร์ของบ้าน ศีรษะของเธอบิดเบี้ยวในท่าทางพิกล…ราวกับว่าเธอกำลังกินอะไรบางอย่าง
ยิ่งกว่านั้นยังมีกองขนสีทองขนาดใหญ่จมอยู่ในกองเลือดข้างเท้าของเธออีกด้วย
ขนสีทองพวกนี้มาจากไหนกัน?
สัตว์ชนิดไหนที่ตัวใหญ่พอจะหลั่งเลือดได้มากขนาดนี้?
“กริ๊ก…” ด้วยมืออันสั่นเทา เขาหลับตาและกัดริมฝีปากแน่นขณะปิดล็อกประตูห้อง
มันคือผี…
มีผีอยู่ในบ้านจริง ๆ ด้วย!
“ฮ่า…ฮ่า…” เขายืนพิงประตูไม้และทรุดลงกับพื้นด้วยสภาพเหงื่อไหลโซมกายจากทุกขุมขนพลางหอบหายใจหนัก หลังจากนั้นสิบกว่านาทีเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอีกครั้งและตั้งสติถ่ายรูปรอยเท้าเปื้อนเลือด
แชะ…หลังกดถ่ายภาพ เขาก็ตรวจดูในอัลบั้มรูป แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งอีกรอบ
นี่มันรูปอะไรเนี่ย?
มีรูปปรากฏเพิ่มเติมในอัลบั้มรูปโทรศัพท์มือถือของเขาโดยที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่
ฉากของรูปนั้นให้ความรู้สึกคุ้นเคยต่อเขา…ห้องเรียนของเขา แล้วคนเหล่านั้นก็คือคนที่เขารู้จักดี มีจางอี้หลง แล้วก็….ฉินเย่?
แต่ฉินเย่กำลังหันหลังให้พวกเขาและถือไม้เท้าวิเศษที่ประดับด้วยดอกบัวงดงามขณะต่อสู้กับความว่างเปล่าขนาดใหญ่ นี่เป็นช่วงเวลาที่จางอี้หลงกับหวังเฉิงห่าวสลบไสลอยู่ตรงมุมห้องไปแล้ว
มุมกล้องค่อนข้างห่วยแตก รูปนี้เห็นชัดว่าถูกถ่ายตอนที่หวังเฉิงห่าวสลบไปแล้วกดไปโดนแอพถ่ายรูปในโทรศัพท์โดยไม่ได้ตั้งใจ
ฉินเย่…นี่…นี่ฉินเย่งั้นหรือ?!
นี่ไม่ใช่วันนั้นหรอกหรือ? เขาไม่ได้บอกว่าตัวเองก็สลบไปเหมือนกันงั้นหรือ?!
ปัง!!! ทันใดนั้นเอง เสียงทุบประตูรุนแรงก็ดังมาจากประตูห้องของเขา หวังเฉิงห่าวไม่อาจข่มความกลัวที่ผุดขึ้นในส่วนลึกของจิตใจได้อีกจึงกรีดร้องเสียงดังลั่นและถอยร่นห่างจากประตูมากกว่าหนึ่งเมตร
“ใคร…นั่นใคร?!”
เงียบกริบ
แต่เสียงทุบประตูยังคงดังก้องในทุก ๆ ห้าวินาที ปัง!…ปัง!…
ราวกับเสียงระฆังมรณะจากพญายม
หวังเฉิงห่าวตะเกียกตะกายอย่างบ้าคลั่งไปที่ประตูอีกครั้งและดันมันให้ปิดสนิทด้วยร่างของเขา
เสียงทุบประตูยังคงดังก้องโดยไม่หยุด เขาอยากจะเผ่นหนีออกจากแผ่นไม้ที่กั้นเขาจากที่มาของความสยองขวัญนี้เหลือเกิน แต่สิ่งที่เขาหวาดกลัวมากกว่าก็คือความเป็นไปได้ที่ประตูจะถูกเปิดออกในทันทีที่เขาผละตัวออก เขาต้องการทำให้ประตูห้องของเขาปิดแน่นหนา แต่มันก็หมายความว่าเขาจะต้องทนอยู่ใกล้ชิดกับต้นตอความสยองขวัญนี้
ความหวาดกลัวมีมากเสียจนหยาดน้ำตาเริ่มไหลพรากลงมาจากดวงตาของเขา
เขาไม่เคยอยากให้ช่วงเช้ามาถึงเร็ว ๆ เหมือนอย่างตอนนี้มาก่อน
ในช่วงเวลากลางคืนที่เหลือ เสียงทุบประตูยังคงดังก้องทั่วทั้งห้องอย่างต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด ในที่สุดเมื่อถึงตีห้า เสียงไก่ขันก็ดังมาแต่ไกล และเสียงทุบประตูก็เงียบไปในที่สุด
หวังเฉิงห่าวไม่กล้าขยับตัว แม้มันจะเป็นเวลาตีห้าแล้ว และเสียงทุบประตูก็เงียบหายไปแล้ว แต่ท้องฟ้ายังคงมืดอยู่ แม้จะเป็นหน้าร้อน แต่แสงแรกของรุ่งเช้าก็ได้สาดส่องมาประมาณตีห้าครึ่ง หวังเฉิงห่าวเตรียมเงินสดพกติดตัวเงียบ ๆ ขณะจ้องมองเวลาบนโทรศัพท์ของเขาไม่วางตา ทันทีที่นาฬิกาบอกเวลาตีห้าครึ่ง เขาก็รีบพุ่งตัวออกจากประตูราวกับคนบ้า
เขาอยากจะหนีจากบ้านผีสิงนี่ให้ไกลที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
คนขับรถของบ้านยังไม่มา เขาจึงต้องวิ่งไปบนถนน แม้ตอนนี้จะไม่มีใครอยู่บนถนนเลยสักคนเดียว และอากาศในเช้าฤดูร้อนจะหนาวชื้นมากกว่าในบ้านของเขาก็ตาม ถึงบรรยากาศจะวังเวง แต่เขาก็ยังรู้สึกดีที่ในที่สุดก็สามารถออกจากสิ่งที่หลอกหลอนเขามาตลอดทั้งคืนได้แล้ว
เขารออยู่ข้างนอกราวหนึ่งชั่วโมงก่อนจะเรียกแท็กซี่ได้ในที่สุด เขารีบขึ้นรถในทันทีที่มันจอด “ไป…ไปที่ย่านชานเมืองของเขตนี้…ตรงถนนของผู้ล่วงลับ! ร้านที่ชื่อว่า ชีวิตหลังความตาย!”
แท็กซี่แล่นไปบนถนน เมื่อมันมาถึงถนนของผู้ล่วงลับ หวังเฉิงห่าวก็ควักธนบัตรห้าสิบหยวนออกมาให้แล้วพุ่งตัวออกจากแท็กซี่ทันที
พลั่ก…ด้วยความร้อนรน หวังเฉิงห่าวก็ชนเข้ากับฉินเย่และจักรยานของเขาโดยบังเอิญ
“เฉิงห่าว?” ฉินเย่ประหลาดใจที่เห็นเขา “นายมาทำอะไรที่นี่?”
“ช่วยด้วย!!” หวังเฉิงห่าวกระโจนเข้าหาฉินเย่ทันทีและตะครุบมือของเขาไว้ราวกับคนบ้า ไม่สนว่าจะมีคนอื่น ๆ ซื้ออาหารเช้าอยู่ในบริเวณนั้น “ช่วย…ช่วยฉันด้วย…ฉันรู้ว่านายทำได้!”
“บ้านฉัน…มีผี…มีผีอยู่จริง ๆ !!”
โดยไม่กะพริบตา ฉินเย่ก็สะบัดมือออกจากการเกาะกุมของหวังเฉิงห่าวอย่างเย็นชาและจ้องมองหวังเฉิงห่าวอีกครั้ง ทันใดนั้นเขาก็อึ้งไปกับสิ่งที่เห็น
ตรงกลางหน้าผากของหวังเฉิงห่าวหมองคล้ำดูน่ากลัว
เมื่อสองวันก่อนใบหน้าของหวังเฉิงห่าวยังดูแจ่มใสมีชีวิตชีวาอยู่เลย
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ ตะเกียงน้ำมัน[1]สองในสามดวงเหนือร่างของเขาได้ดับไปแล้ว เหลือเพียงดวงที่อยู่บนศีรษะของเขา และมันก็กำลังส่งแสงริบหรี่ราวกับจะดับได้ทุกเมื่อ
มันเป็นสัญญาณว่าเขากำลังจะถึงฆาต
[1] เรื่องนี้จะอธิบายในตอนต่อไป ตะเกียงน้ำมันทั้งสามจะอยู่บนไหล่ทั้งซ้ายขวาและเหนือศีรษะ