ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] – ตอนที่ 136: ประวัติศาสตร์อันยาวนานของนครวิญญาณ

บทที่ 136: ประวัติศาสตร์อันยาวนานของนครวิญญาณ

มันเป็นเรื่องยากที่จะเอ่ยออกมาเป็นคำพูด

และไม่สามารถที่จะอธิบายได้

มันรุ่งโรจน์ สง่างาม โอ่อ่าและยิ่งใหญ่ พร้อมกระแสพลังหยินอันรุนแรง….ไม่มีคำพูดใดที่จะสามารถอธิบายความยิ่งใหญ่มหานครตรงหน้าได้

ขนาดของมันนั้นช่างเหลือเชื่อ มันใหญ่มากจนไม่สามารถอธิบายได้ว่าเป็นเพียงนครแห่งหนึ่ง ฉินเย่ก้มมองลงไปราวกับตัวเองเป็นเทพเจ้า และสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือภาพร่างขนาดย่อยที่มีลักษณะคล้ายกับแผ่นดินจีน จากจุดนี้ มหานครนรกนั้น…มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับทั้งมณฑล!

ถึงแม้ว่าเขาจะมองมันจากด้านบน แต่เขาก็ยังมองเห็นรายละเอียดของมันอย่างชัดเจน เปลวไฟนรกลอยอยู่ทั่วทุกที่ วิญญาณจำนวนมากหลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศราวกับยุงตัวเล็ก ๆ ที่พุ่งเข้าไปหาเหยื่อ มันคือสัญลักษณ์ของนรก

นครวิญญาณ…

แกนกลางของยมโลก!

ไม่ว่าเขาจะมองไปทางไหน วิสัยทัศน์ของเขาจะขยายใหญ่ไปยังพื้นที่นั้นโดยอัตโนมัติ เขามองเห็นทุกอย่างชัดเจน…ทุกนคร เมือง และแม้แต่หมู่บ้านต่างมีสิ่งปลูกสร้างที่ไม่เหมือนใคร

อาคารในเขตนครจะมีขนาดใหญ่ แต่กลับลดหลั่นลงมาในเมืองและเขต และเมื่อถึงในส่วนของหมู่บ้าน อาคารต่าง ๆ ก็ไม่ได้มากไปกว่าวิหารอันเรียบง่ายที่มีเสาหินและแท่นบูชายัญ

ดูเหมือนจะไม่ใช่หรือเปล่า?

ไม่ นอกจากบริเวณขอบของยมโลกแห่งเก่า ๆ ที่ยังไม่ได้อยู่ภายใต้การขยายงานแล้ว มันก็ยังมีนครอีกนับพัน เมืองอีกนับร้อย และหมู่บ้านอีกนับหมื่นกระจัดกระจายไปทั่ว อาคารและสิ่งปลูกสร้างที่สร้างขึ้นนั้นเทียบได้กับความรุ่งโรจน์ของทะเลและความงดงามของดวงดาว!

“นี่…ต้องใช้เวลานานเพียงใดกว่าที่ทุกอย่างจะมาถึงจุดนี้ได้?” รูม่านตาของเขาสั่นไหวขณะที่เลื่อนสายตาไปยังบริเวณพื้นที่สามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำจูเจียง จุดที่มีศาลาไว้ทุกข์และสุสานโบราณนับไม่ถ้วนตั้งอยู่ นครรัฐซึ่งเป็นนครโบราณที่ตั้งอยู่ใจกลางพื้นที่สามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำจูเจียงที่มีความยาวหลายร้อยไมล์!

มหานครขนาดใหญ่ถูกปกคลุมไปด้วยพลังหยินที่หนาแน่น และลูกไฟวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน มันไม่มีตึกระฟ้าแบบที่สามารถเห็นได้ทั่วไปในสังคมสมัยใหม่ แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น ความรุ่งโรจน์ของมันก็เป็นสิ่งที่มิอาจปฏิเสธได้ มันตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น แต่เท่าที่สายตาของเขาจะมองเห็น มันยังมีศาลาอีกจำนวนนับไม่ถ้วนถูกสร้างอยู่ทุกหนทุกแห่ง มันแทบจะเหมือนกับพระราชวังอาฝางกงไม่มีผิด!

และหากเขานับเฉพาะเมืองที่มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับนครรัฐ ทั่วทั้งนรกนี้…มีเมืองอยู่ทั้งหมด 15 เมือง!

ฉินเย่รู้ดีว่าหากมองกลับไปยังแดนมนุษย์ จากทั่วทั้งแผ่นดินจีนมีเมืองใหญ่อยู่เพียงสิบเมืองเท่านั้น หรือหากพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ นรกนั้นมีขนาดใหญ่กว่าประเทศจีนทั้งประเทศ!!

“ความรุ่งโรจน์เช่นนี้คงจะเกิดจากข้อเท็จจริงที่ว่าอำนาจในการปกครองยังคงไม่เปลี่ยนไป แม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายพันปี….” พึมพำออกมาเบา ๆ จากนั้นนัยน์ตาก็ล็อกไปที่เมืองหลวงของนครวิญญาณ

ภาพที่เห็นขยายใหญ่ขึ้นอย่างใจนึก และทัศนวิสัยของเขาก็หยุดลงตรงจุดโฟกัสของเขา ราวกับฉินเย่กำลังตกลงจากฟากฟ้าและพุ่งตรงลงสู่ใจกลางของเมือง แต่ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็รู้สึกราวกับว่าร่างของเขาปะทะเข้ากับพลังที่มองไม่เห็น และจากนั้น เขาก็ไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้อีก

นครวิญญาณยังคงอยู่ห่างออกไปอีกหลายพันเมตร แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังสามารถมองเห็นถนนที่มีภาพลักษณ์คล้ายกับใยแมงมุม เขตที่อยู่อาศัยนั้นกระจัดกระจายไปตามชายขอบของนครและสว่างไสวด้วยเปลวไฟนรกจากโคมไฟ น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถเข้าไปใกล้กว่านี้ได้

“เจ้าไม่มีอำนาจพอที่จะเข้าไปใกล้กว่านี้”

ฉินเย่แทบจะกระอักเลือดออกมาเมื่อได้ยินเสียงที่ดังขึ้น

นี่ยังมีระบบการทำงานแบบนี้ซ่อนอยู่อีกอย่างนั้นหรือ?

นครวิญญาณอยู่ตรงหน้า! และข้าก็มาได้ถึงขนาดนี้แล้ว แต่ท่านกลับบอกข้าว่าข้าไม่มีอำนาจพอที่จะเข้าไปดูใกล้กว่านี้เนี่ยนะ?

“ข้อเท็จจริงที่เจ้าสามารถมาถึงตรงนี้ได้ก็เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าเจ้าได้รับหน้าที่อย่างชอบธรรมในการสร้างนรกขึ้นมาอีกครั้ง…” ขณะที่เสียงดังกล่าวดังขึ้นในอากาศ พลังหยินที่อยู่โดยรอบก็รวมกันจนเกิดไปร่างมายาของคนคนหนึ่ง

ยายเมิ่ง!

ฉินเย่ตกตะลึง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็หัวเราะออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน “เหตุใดท่านจึงมาอยู่ทุกที่แบบนี้ล่ะ? ท่านควรจะหยุดตามข้าเสียทีนะ”

ทว่าหญิงชรากลับเมินเฉยต่อคำพูดของเขาและเอ่ยต่อ “นครวิญญาณคือแก่นแท้ของนรก การจัดวางโครงสร้างและสัดส่วนการออกแบบทั้งหมดจะต้องผ่านการคำนวณและกระบวนการที่เข้มงวด สถานที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงเมืองหลวงของนรกเท่านั้น…แต่มันยังเป็นการดำรงอยู่ที่ทรงพลังซึ่งใช้เวลาสร้างมานานกว่าหลายพันปีลงอีกด้วย มันคือขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่ของนรก”

ฉินเย่กะพริบตาปริบ เขาเดินเข้าไปหาคนตรงหน้าและโบกมือไปมาตรงหน้าของอีกฝ่าย จากนั้นจึงชูนิ้วกลางให้นาง ทว่านางกลับไม่ตอบสนองใด ๆ

“นี่คงจะเป็นแก่นวิญญาณสุดท้ายที่นางทิ้งไว้ในสมุดโบราณสินะ?” ฉินเย่เดิมทะลุร่างมายาของยายเมิ่งไป มันไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าการฉายภาพของนางในอดีต

“จงดู” ยายเมืองค่อย ๆ ยกมือของนางขึ้นและกดลงไปยังนครวิญญาณที่อยู่ห่างออกไป ทันใดนั้น แสงสีฟ้าเข้มก็เปล่งประกายออกมาจากพระราชวังที่อยู่ใจกลางนคร จากนั้น….สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดในนครวิญญาณก็เริ่มสว่างขึ้นจากจุดศูนย์กลาง ถึงแม้ว่าจะดูวุ่นวาย แต่กลับเป็นระเบียบเรียบร้อย! ภายในเวลาไม่กี่นาที ทั่วทั้งนครก็เผยให้เห็นอักขระรูนขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นจากแสงสีฟ้าดังกล่าว!

มันดูคล้ายกับข้อความทางพุทธศาสนาในสมัยโบราณ ทว่ายังมีบางส่วนที่แตกต่างอย่างชัดเจนเช่นกัน นอกจากนี้ มันเป็นรูนขนาดใหญ่ที่สลักอยู่บนพื้นดิน ยิ่งใหญ่และงดงาม

“ยิ่งใหญ่จริง ๆ…” ฉินเย่พึมพำกับตนเองเบา ๆ

ยายเมิ่งยกมือของนางขึ้นช้า ๆ ทันใดนั้น นครวิญญาณทั้งหมดก็ถูกขุดขึ้นมาจากพื้น ในขณะที่กลุ่มก้อนเมฆและท้องฟ้าเคลื่อนผ่านสายตาของฉินเย่ไปอย่างรวดเร็ว กว่าเขาจะกลับมาได้สติอีกครั้ง ส่วนที่ถูกขุดขึ้นมาของนครวิญญาณก็มาอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว และเขาก็มีขนาดเพียงเท่ามดตัวหนึ่งเท่านั้นเมื่อยืนอยู่ต่อหน้ามัน

และสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือการมีอยู่ของขุมนรกที่ได้รับการป้องกันอย่างแน่นหนา เปลวไฟ น้ำแข็งที่หนาวจัด และกระทะน้ำมันเดือด ถูกล้อมรอบโดยป่าดาบที่ต้นไม้ใบหน้ามีความคมเหมือนดาบและทะเลเพลิง!

เขามองเห็นยมทูตขาวดำถือไม้ขกสังปั๊ง (ไม้ร้องไห้) [1] สวมหมวกทรงสูงและวิญญาณอีกหลายตัวที่อยู่ด้านหลังแตกฮือราวกับมดรังแตก ขณะที่ยมเทพหลายสิบตนวิ่งตามหลังอย่างใกล้ชิด นักล่าวิญญาณจำนวนมากบินไปมาในร่างยมทูตราวกับฝูงยุง…และฉินเย่ยังสามารถมองเห็นใบหน้าของเหล่าชาย หญิง คนแก่และเด็กที่มองออกมาจากกระแสพลังหยินที่ปะทุออกมาจากหุบเหวนรกบ้างเป็นครั้งคราว กลุ่มคนพวกนี้มีทั้งร่ำรวยและยากจน ซึ่งพวกเขาทั้งหมดต่างกำลังกรีดร้องเสียงหลง ขณะที่ถูกกลืนกินโดยกระแสพลังหยินอันดำมืดนั้น ราวกับว่าพวกเขาได้กลับใจและกำลังชดใช้ความผิดบาปของตนใช้ชาติที่แล้วอยู่!

“นี่คือพันธนาคารของนรก มันมีหน้าที่กักขังวิญญาณบาปที่จะต้องถูกส่งไปยังกงล้อแห่งสังสารวัฏหรือขุมนรกทั้ง 18 ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามมากเพียงใด ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถรอดพ้นและหลบหนีออกมาได้ ในเวลานี้ เจ้าสามารถสร้างสถานคุมขังที่เทียบกับที่นี่ได้หรือไม่?”

ทว่าก่อนที่หญิงชราจะเอ่ยจบ ส่วนที่ถูกขุดขึ้นมาของนครวิญญาณก็มลายหายไปต่อหน้าต่อตา ขณะเดียวกันที่ห่างไกลออกไป ฉินเย่มองเห็นพื้นที่ 34 เขตเต็มไปด้วยพลังหยินลอยขึ้นไปบนฟ้า มันมีทั้งขุมนรกที่เต็มไปด้วยไฟโลกันตร์ เชือกนรกสีดำ และขุมนรกอื่น ๆ ที่มีเสียงกรีดร้องที่โหยหวนดังให้ได้ยินอย่างต่อเนื่อง และมันมีแม้กระทั่ง…เหล่าดวงวิญญาณที่ถูกผู้ด้วยเชือกดำ ถูกนำทางไปยังสถานที่เหล่านี้จากทั่วทุกทิศทาง พวกเขาทั้งหมดค่อย ๆ เดินไปอย่างช้า ๆ ราวกับเป็นเครื่องจักรที่แข็งกระด้าง

ทั้งหมดนั้นดูคล้ายกับฝูงศพของนกอพยพ

“พระตำหนักทั้งสิบ ขุมนรก และกงล้อแห่งสังสารวัฏ…ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกลไกของนรกในการชั่งน้ำหนักความผิดในชีวิตของวิญญาณแต่ละตน เจ้าสามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่?”

ฟึ่บ…ภาพทั้งหมดตรงหน้าของเขาสลายหายไปราวกับกลุ่มก้อนพลังหยินอีกครั้ง ยายเมิ่งสอดมือทั้งสองข้างเข้าไปในแขนเสื้อของตนและเอ่ยด้วยเสียงที่แหบพร่า “ยิ่งเจ้าเห็นมาก เจ้าก็จะยิ่งสับสน ยิ่งเจ้าคิดถึงมันมาก เจ้าก็จะยิ่งถูกล่อลวงและทำสิ่งที่เกินควร เหตุผลที่ข้าบอกทุกอย่างกับเจ้าก็เพราะว่าข้าต้องการให้เจ้ารู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะพิจารณาสิ่งใดที่อยู่นอกเหนือขอบเขตความสามารถของตนเอง”

“นี่คือสภาพของมหานครที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี เจ้าจะต้องทำทุกอย่างไปทีละขั้น แนวทางการสร้างขึ้นใหม่ของเจ้าควรเริ่มด้วยหน่วยที่พื้นฐานที่สุดอย่างหมู่บ้าน เริ่มต้นอย่างช้า ๆ สร้างเมืองหลวงแห่งแรกขึ้นให้ได้เสียก่อน จากนั้นจึงเริ่มขยายถนนและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ รอบเมือง และเมื่อถึงเวลานั้น เมื่อเจ้าเริ่มรู้สึกว่าตนต้องย้ายไปยังเมืองหลวงแห่งใหญ่ นั่นก็จะเป็นเวลาที่เจ้าควรครุ่นคิดเกี่ยวกับการสร้างนครวิญญาณ”

ฉินเย่ที่กลับมาได้สติพยักหน้าอย่างเข้าใจ

ไม่ว่าผ้าปักที่ออกมานั้นจะสวยงามเพียงใด แต่มันก็ถูกปักลงไปทีละน้อย

ในเวลานี้เขายังไม่มีคุณสมบัติที่จะปักลายหลัก สิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้ก็คือฝึกฝนและพัฒนาทักษะของตนเอง

หลังจากเงียบไปสักพักเพื่อครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ในที่สุดยายเมิ่งก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เด็กน้อย นี่คงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเราจะได้เจอกัน…”

น้ำเสียงของหญิงชราเบาลง และเจือไปด้วยความเสียใจ “ข้ายอมรับว่ายายแก่คนนี้ได้หลอกเจ้ามาตั้งแต่แรก แต่ข้าก็ยังไม่เชื่อว่าการยอมรับพวกนี้จะเป็นเหตุผลที่เพียงพอให้เจ้านำมาต่อรอง”

สายตาของนางดูเหมือนกับกำลังมองไปยังความว่างเปล่าที่อยู่ห่างออกไป “เจ้าไม่ควรคิดว่าการสร้างยมโลกขึ้นมาใหม่คือผลจากแผนการของใครบางคน ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ และทุกอย่างล้วนถูกกำหนดล่วงหน้าด้วยหลักของเหตุและผล เจ้าไม่ต้องการที่จะตาย และเพราะเหตุผลนั้นเจ้าจึงยอมรับการแต่งตั้งเป็นยมทูตและค้นหาชิ้นส่วนแรกของเศษตราเจ้านรกอย่างขันแข็ง ในท้ายที่สุด เจ้าก็ก้าวไปอยู่เหนือผู้คนนับพันล้านและได้รับสิทธิ์ในชีวิตและความเยาว์วัยอันเป็นนิรันดร์”

สายลมนรกที่พัดอยู่รอบ ๆ ทำให้ผมสีขาวของหญิงชราปลิวไปมา “การได้ใช้ชีวิตอยู่คือของขวัญที่ดีที่สุดที่มนุษย์ทุกคนได้รับ”

“เจ้าได้รับของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต และทุกสิ่งต้องได้รับการแลกมาอย่างสมน้ำสมเนื้อ ทั้งหมดนี้คือ…กฎของสวรรค์”

“ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยไม่เสียงสิ่งตอบแทน สิ่งที่เจ้าทำอยู่ตอนนี้คือ…ความเท่าเทียม”

พรึ่บ….เปลวไฟนรกลุกโชนขึ้น และร่างของยายเมิ่งก็หายไปอย่างรวดเร็วราวกับแสงเทียนในสายลม

ทั่วทั้งมิติเงียบเสียงลง เหลือเพียงฉินเย่และภาพรวมอันยิ่งใหญ่ของนรกที่อยู่เบื้องหน้า ดวงจันทร์และกลุ่มดาวมากมายก่อตัวเป็นฉากหลังของความสันโดษ

ฉินเย่นิ่งเงียบ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ตะโกนออกเสียงดัง “ยายเฒ่า?”

ไร้เสียงตอบรับ

“หากท่านไม่ออกมาตอนนี้ข้าจะลาออกจากตำแหน่งแล้วนะ?”

ยังคงไร้เสียงตอบรับ

หลังจากผ่านไปห้านาที ฉินเย่ก็หัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “เดิมกระหม่อมเป็นสามัญชน ทำไร่ไถนาที่หนานหยาง เพียงขอรักษาชีวิตในกลียุค ไม่คิดถามหายศศักดิ์ [2]….เหตุใดท่านถึงยืนยันที่จะให้ข้าเป็นผู้กอบกู้โลกนี้กัน?”

เขามองลงไปยังแผนที่สีทองที่ส่องประกายอยู่ด้านล่างด้วยแววตาที่ซับซ้อน หลายนาทีต่อมา เด็กหนุ่มก็แย้มยิ้ม “แต่ก็…ไม่เป็นไร”

เอาล่ะ

เขาอยากจะทำตัวขี้เกียจและปล่อยตัวไปตามสถานการณ์ โลกเบื้องหน้าของเขานั้นรุ่งเรืองอย่างน่าเหลือเชื่อ และมันก็แทบจะไม่มีความสำคัญสำหรับเขาเลยไม่ว่าเขาจะใช้ชีวิตในอีกศตวรรษข้างหน้าด้วยความรุ่งโรจน์หรือในเงามืด แต่มันก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะต้องรักษาความเจ้าเล่ห์ไว้ตลอดเวลาทันทีที่มีชื่อเสียง

นั่นค่อนข้างจะเป็นปัญหาไม่น้อย

เขาไม่ได้อยากจะมีส่วนร่วมในกิจการของแดนมนุษย์และยมโลกเลยสักนิด แต่นี่ก็เป็นไปตามเงื่อนไขที่ว่าจะไม่มีใครเข้ามายุ่งกับชีวิตอันเรียบง่ายของเขาเช่นกัน

แต่ตอนนี้ ราชาผีที่อยู่ที่มณฑลเสฉวนกำลังต้องการเศษตราจ้าวนรกทั้งสองชิ้นที่เขาครอบครองอยู่เป็นอย่างมาก นอกจากนี้เขาเองก็เป็นยมทูต และมันมีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่สามารถแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้อยู่ เช่นเหตุการณ์ของชู้รักคนนั้น หรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับตระกูลหลี่ที่เมืองไดซาน

วงล้อแห่งกรรมได้เริ่มหมุนทันทีที่เขาช่วยชีวิตตัวเองให้รอดพ้นจากระยะเวลาจำกัดสามวันนั้นมาได้

“อันที่จริง เมื่อกลับมีคิดดูอีกครั้ง การสร้างนรกขึ้นมาใหม่ก็ถือได้ว่าเป็นงานที่มีความหมายและน่าสนใจเช่นกัน” เด็กหนุ่มยิ้มออกมาขณะที่สายลมหยินพัดเสื้อผ้าของเขาจนกระพือว่อน “ข้า…ใช้ชีวิตมานานเกินไป และมักจะมองหางานที่มีความหมายกับชีวิตของตนเอง แต่หลังจากผ่านไปหลายทศวรรษ ข้าก็ได้เห็นมาทั้งหมดแล้ว”

“และในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดข้าจึงไม่….”

พรึ่บ! สายตาของฉินเย่ก็หันไปมองยังหมู่บ้าน ทันใดนั้นข้อมูลมากมายรวมทั้งชื่อ ข้อมูล และอักขระรูนก็หลั่งไหลเข้ามาในรูม่านตาของเขา

“ในเมื่อข้าได้ให้คำมั่นสัญญาไปแล้ว เหตุใดข้าจึงไม่ทุ่มสุดตัวไปเลยล่ะ?”

ชุดข้อมูลหลั่งไหลเข้ามาในหัวของเขาและฉินเย่ก็ค่อย ๆ เข้าใจว่าในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในนรกนั้นต้องการอะไรบ้าง

“แท่นบวงสรวง….ศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณ…ประตูนรก…คนกรรเชียงเรือ…”

“ขนาดของศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณคือ….สัญลักษณ์รูนที่ต้องการได้แก่….”

“คนกรรเชียงเรือ…เป็นทางเลือกเมื่อไม่มีทางหวงเฉวียน แต่พันธนาคารนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถขาดได้…และดูเหมือนว่าเราจะไม่ได้ต้องการแค่วัสดุก่อสร้างเสียแล้ว… นอกจากนี้เราคงต้องหาซื้อผลึกเขียนในตอนที่มีเวลาด้วย…”

[1] ไม้ขกสังปั๊ง (ไม้ร้องไห้) เป็นไม้ที่ใช้ในพิธีกงเต๊ก

[2] แปลมาจากบนกวีที่ถูกเขียนขึ้นโดยจูกัดเหลียงหรือก็คือขงเบ้ง นักการเมืองจีน นักยุทธศาสตร์ นักเขียน วิศวกร และนักประดิษฐ์ซึ่งดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีและผู้สำเร็จราชการแทนของแคว้นสู่ในยุคสามก๊ก

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

ฉินเย่เด็กหนุ่มมัธยมปลายที่ไม่มีวันแก่ เพราะกิน “เห็ดเทียนสุ่ย” เข้าไปทำให้มีชีวิตอยู่ระหว่างสองโลก เป้าหมายในชีวิตของเขาเพียงต้องการมีชีวิตเล่นเกมอยู่ไปวัน ๆ เท่านั้น แต่ดูเหมือนนรกจะไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องของเขา เมื่อนรกถึงกาลอวสาน ผีร้ายออกอาละวาดบนโลกมนุษย์ ทำให้ฉินเย่ที่เป็นยมทูตคนสุดท้ายต้องรับหน้าที่จ้าวนรกเพื่อพิทักษ์โลกใบนี้!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset