บทที่ 149: ยินดีต้อนรับนักเรียนใหม่!
ฉินเย่เดินไปที่เตียงหลังจากที่จัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้ว
ในเช้าวันต่อมา เสียงนาฬิกาปลุกที่ดังขึ้นในตอนตี 5:30 ทำให้เขาตื่นจากการหลับใหล หลังจากอาบน้ำและเปลี่ยนเป็นเครื่องแบบของสำนักแล้วก็เดินลงไปด้านล่าง
ด้านล่างของหอพักมีอาจารย์รออยู่ก่อนแล้วอีกห้าคน พวกเขาต่างแต่งตัวในชุดลายพรางที่มีตราสัญลักษณ์ของหน่วยสอบสวนพิเศษปักอยู่บริเวณอกอย่างภาคภูมิใจ เมื่อพวกเขาเห็นฉินเย่เดินลงมา ชายวัยกลางคนที่หมุนลูกเหล็กสองลูกในมือของตนก็เอ่ยยิ้ม ๆ ว่า “วันนี้อาจารย์ฉินของเราตื่นเช้าจริง ๆ หรือว่าคุณตื่นเต้นมากจนนอนไม่หลับ?”
และก่อนที่ฉินเย่จะได้ตอบอะไร ชายสูงวัยผมขาวก็เอ่ยขึ้นว่า “ก็คงจะเป็นอย่างนั้น อาจารย์ฉินเพิ่งอยู่ในวัยที่ควรจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่เขากลับได้รับหน้าที่ให้สอนคนอื่น ๆ ถ้าเป็นผมก็คงไม่ข่มตาหลับไม่ได้เหมือนกันแน่”
“นิดหน่อยครับ” ฉินเย่ยิ้มขณะที่ถูฝ่ามือกับกระติกน้ำร้อนในมือของตน ตอนนี้เพิ่งอยู่ในช่วงปลายของเดือนกุมภาพันธ์เท่านั้น และอากาศก็ยังค่อนข้างเย็นอยู่ “พวกคุณเดาเก่งมาจริง ๆ ผมไม่เคยสอนใครมาก่อน ถึงแม้ว่าเราจะผ่านช่วงฝึกอบรมมาด้วยกัน การเตรียมการสอนก็ยังทำให้ผมรู้สึกมวนท้องอยู่ดี”
ขณะที่พวกเขายังคงหยอกเย้ากัน รถ SUV ห้าคันก็รีบมารับอาจารย์ทั้งห้าไปที่ทางเข้าของสำนักทันที
ฟ้ายังไม่สว่างนัก แต่แผงขายของบริเวณทางเข้าของมหาวิทยาลัยอัยฮุ่ยกลับถูกตั้งขึ้นแล้ว กลิ่นหอมของซาลาเปา น้ำเต้าหู้และโจ๊กร้อน ๆ ที่อบอวลไปทั่วบริเวณราวกับต้องการจะประกาศว่าเมืองทั้งเมืองกำลังจะตื่นจากการหลับใหลในไม่ช้า ฉินเย่สูดหายใจเข้าลึก ๆ ด้วยความสดชื่น
บริเวณทางเข้าได้ถูกจัดอย่างสวยงาม ป้ายที่เขียนว่า “สำนักฝึกตนแห่งแรกยินดีต้องรับนักเรียนกลุ่มแรกอย่างจริงใจ” ดูค่อนข้างสะดุดตาในวันซึ่งไม่น่าจะเป็นช่วงเริ่มต้นของภาคการศึกษา โต๊ะและม้านั่งยาวสองแถวถูกวางไว้อยู่ริมถนนติดกับสำนัก โต๊ะแต่ละตัวยาวสองเมตร สูงหนึ่งเมตร และถูกคลุมไว้ด้วยผ้าสีแดงทำให้ดูโดดเด่น พร้อมทั้งมีป้ายชื่อของสาขาติดเอาไว้
ฉินเย่นั่งอยู่ที่โต๊ะซึ่งมีป้ายเขียนว่าสาขาการต่อสู้ติดอยู่ หลังจากที่พูดคุยกับคนอื่น ๆ อยู่ครู่หนึ่งและทานอาหารเช้าจนเสร็จ เขาก็เข้าแอปโม่โม่ของตนและพิมพ์ข้อความลงในกลุ่ม
“พิธีต้อนรับนักเรียนใหม่วันนี้ทำให้ผมรู้สึกกังวลหน่อย ๆ เหมือนกันนะเนี่ย” — หนุ่มเนื้อแน่นสุดน่ารัก
ตอนนี้เป็นเวลา 7 โมงเช้า
ดังนั้นจึงไม่มีใครสนใจข้อความของเขาเลยสักคน
ฉินเย่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่งซองอั่งเปาสีแดงมูลค่า 10 หยวนเข้าไปในกลุ่ม
ข้อความแจ้งเตือนเด้งขึ้นทันทีที่เขากดส่ง
“หญิงจากยุทธภพได้รับซองอั่งเปาของคุณ”
“กลิ้งไปมาได้รับซองอั่งเปาของคุณ”
“ใบมีดที่ทำลายโลกได้รับซองอั่งเปาของคุณ”
“ยิ้มกว้างเหมือนมหาสมุทรได้รับซองอั่งเปาของคุณ”
“หมาขาวที่หัวเราะให้กับลมตะวันตกได้รับซองอั่งเปาของคุณ”
…
ให้ตายเถอะ! นี่มันเกิดบ้าอะไรกัน?!
เขาจะกดรับอั่งเปาตัวเองแทบไม่ทันด้วยซ้ำ!
“เชอะ! 10 หยวนเนี่ยนะ ฉันอุตส่าห์ตั้งแจ้งเตือนไว้เวลามีคนส่งอั่งเปามา กลับไปนอนต่อดีกว่า!” — ผู้หญิงแกร่งจากยุทธภพ
“คุณ S9527 มันจะมากเกินไปแล้ว! นี่ฉันคลานออกมาจากเตียงอันแสนจะอบอุ่นในวันที่อากาศหนาวเย็นเพียงเพื่อเงิน 10 หยวนเนี่ยนะ?” — กลิ้งไปมา
“ผมรู้ตั้งแต่ตอนที่เห็นชื่อคนส่งแล้วว่าตัวเองไม่ควรตื่นมา” — ยิ้มกว้างเหมือนมหาสมุทร
ฉินเย่กัดฟันแน่นและส่งข้อความไปอีกครั้ง – “ไม่ใช่ว่าพวกคุณควรพูดทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยคลายความกังวลให้ผมหน่อยเหรอ?
น่าเศร้าที่คำถามของเขาไม่ได้รับการตอบรับอีกครั้ง
ราวกับว่าเสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งกลุ่มเงียบกริบราวกับป่าช้า
ดี…ไลน์กลุ่มเงียบไปทันทีไม่เหมือนกับตอนเขาส่งซองอั่งเปาไปก่อนหน้านี้ ห้านาทีต่อมา ฉินเย่ส่งซองอั่งเป่ามูลค่า 1 หยวนเข้าไปในกลุ่มพร้อมกับแสยะยิ้มร้าย
วินาทีต่อมา แทบจะเหมือนกับเมื่อครั้งที่แล้ว ข้อความแจ้งเตือนปรากฏขึ้นทันที ตามมาด้วยคำสบถและก่นด่ามากมายไม่หยุดหย่อน
“ให้ตายเถอะ! 1 หยวน?! 1 หยวนเนี่ยนะ?!! มานี่เดี๋ยวนี้! ผมจะฆ่าคุณให้ตายคาที่เลย!!”
“1 หยวน…เฮ้อ~….”
“ช่างเป็นการรับเช้าวันใหม่ที่แย่จริง ๆ! คุณช่วยส่งมามากกว่า 50 หยวนได้ไหม?!”
หลังจากนั้นไม่นาน คำบ่นและคำด่าก็ค่อย ๆ ลดลงและหายไปในที่สุด ฉินเย่มองโทรศัพท์ของตนอย่างอดทน สิบนาทีต่อมา เขาก็กดส่งซองอั่งเปาไปอีกครั้ง
และมันก็ยังคงเป็น 1 หยวนเหมือนเดิม
ฟึ่บ….ข้อความแจ้งเตือนที่เหมือนกับปรากฏขึ้นอีกครั้งพร้อมกับข้อความด่าทอที่ถูกส่งตามมาติด ๆ “ให้ตายเถอะ!!! ว่าแล้ว!!! ทำไมฉันถึงยังหยิบมันขึ้นมาดูอีกนะ?! ทำไมถึงไม่ปิดเสียงไปตั้งแต่แรก?!”
“มันกลายเป็นปฏิกิริยาตอบสนองโดยอัตโนมัติไปแล้ว ฉันแทบจะต้องหยิบโทรศัพท์มาดูทันทีที่ได้ยินเสียงแจ้งเตือนของซองอั่งเปาดังทุกครั้งแล้วเนี่ย!”
“มือของผมเองก็หยิบโทรศัพท์ทันทีเลยเหมือนกัน…หรือว่าผมจะเสพติดความเจ็บปวด?”
ข้อความตัดพ้อเด้งขึ้นไม่หยุด!
ฉินเย่วางโทรศัพท์ของตัวเองลงด้วยความพึงพอใจ
วันนี้เป็นพิธีต้อนรับนักเรียนใหม่ ฉันอาจจะมองข้ามมันไปได้หากพวกนายไม่เห็นใจกัน แต่พวกนายกลับกล้าเอาเกลือมาทาแผลสด ๆ ด้วยการกลับไปนอนต่อเนี่ยนะ?!
งั้นก็จงลงแดงตายด้วยอาการเสพติดซองอั่งเปาของตัวเองไปซะเถอะ!
สำหรับซองอั่งเปามูลค่า 100 หยวน…ฉินเย่ไม่เคยคิดจะส่งให้พวกเขาเลยสักนิดเดียว
ทันใดนั้นเอง เงาของคนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ทางเข้าของสำนัก
เหล่าอาจารย์ที่กำลังสนใจแอปโม่โม่อยู่รีบเก็บโทรศัพท์ของพวกตนไปทันที ทั้งหมดเงยหน้าขึ้นและนั่งหลังตรง นี่คือนักเรียนกลุ่มแรกที่ถูกคัดเลือกเป็นพิเศษมาจากทั่วทั้งประเทศ!
ขณะที่พวกเขาเดินเข้ามาใกล้ ๆ ดวงตาของเหล่าอาจารย์ก็เป็นประกายขึ้นทันที
ผู้ที่นำหน้าสุดคือหญิงสาวคนหนึ่ง
และเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้างดงามเสียด้วย
เธอน่าจะอายุประมาณ 18 ปี บรรยากาศความเยาว์วัยแผ่ออกมาจากร่างของเธออย่างไม่สามารถปิดบังได้ เหมือนกับดอกไม้ที่กำลังผลิบานพร้อมกับน้ำค้างในยามเช้า ผิวขาวราวหิมะถูกปกคลุมไปด้วยผ้าคลุมไหล่สีชมพู ผมสั้นยาวประบ่า และความสูงที่น่าจะประมาณ 167 เซนติเมตร เธอเดินมาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางสีดำใบใหญ่สองใบ แต่เธอกลับลากราวกับมันเบาเหมือนขนนก
หญิงสาวตรงมาที่สำนักอย่างไม่รีบร้อน แต่ทันทีที่หญิงสาวเห็นโต๊ะลงทะเบียนทั้งห้า ดวงตาของเธอก็เป็นประกายขึ้นก่อนที่เธอจะเดินตรงไปที่สาขาการต่อสู้ทันที
ฉินเย่เม้มริมฝีปากของตัวเองเล็กน้อยอย่างตื่นเต้น แต่มันช่วยไม่ได้จริง ๆ หากพูดตามตรง..ตอนนี้หัวใจของเขาเต้นแรงจนแทบจะกระโจนออกมาจากอกอยู่แล้ว
นี่เป็นประสบการณ์ที่เขาเพิ่งจะเคยเจอกับตัวเองครั้งแรกเหมือนกัน
เขาไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมีวันที่เขาต้องมายืนต้อนรับนักเรียนคนนับสิบคนหรืออาจจะร้อยคนแบบนี้ ฉินเย่รู้สึกตื่นเต้นอย่างเก็บอาการไม่อยู่ แต่เขาก็ยังคงรักษารอยยิ้มบางอยู่บนใบหน้าไว้ได้ สายตาก็มองตรงไปยังหญิงสาวที่ค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้ตน
เธอสวมเสื้อแจ็คเก็ตลายดอกซากุระ กางเกงยีนขายาวธรรมดา ๆ และรองเท้าผ้าใบสีขาว เธอเดินไปหาฉินเย่และวางกระเป๋าเดินทางของตัวเองลงเบา ๆ แต่กลับเกิดเป็นเสียงดังอย่างคาดไม่ถึง จากนั้นจึงประสานหมัดทั้งสองข้างทำความเคารพก่อนจะเอ่ยแนะนำตัว “สาวกจากนิกายตงเทียน หมายเลขประจำตัว A0079 คารวะรุ่นพี่ S9527”
เฮ้อ~ มันไม่ใช่เรื่องของเราสินะ…อาจารย์คนอื่น ๆ ปรายตามองทั้งสองแล้วถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะมองไปยังที่ทางเข้าของสำนักอย่างคาดหวังต่อ
“คุณรู้จักผมด้วยเหรอครับ?” ฉินเย่มองสาวงามตรงหน้าของตน ดวงตาของอีกฝ่ายเป็นสีฟ้าสดใสราวกับท้องฟ้าที่ไร้ขอบเขต
เมื่อสังเกตเห็นสายตาของอีกฝ่าย หญิงสาวจึงพยักหน้าและตอบอย่างอาย ๆ ว่า “ฉันเป็นลูกครึ่งแต่มีสายเลือดจีนไหลเวียนอย่างเข้มข้น มีเพียงแค่สีตาของฉันเท่านั้นที่แตกต่างจากคนอื่น….ทางสำนักฝึกตนแห่งแรกได้ส่งรายชื่ออาจารย์ทั้งหมดให้พวกเราตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว รวมถึงคุณสมบัติและผลงานทั้งหมดของพวกคุณ เพื่อช่วยพวกเราในการตัดสินใจว่าควรเลือกสาขาไหน ฉันเลือกสาขาการต่อสู้ด้วยความตั้งใจของตัวเอง หลังจากนี้รบกวนด้วยนะคะ”
น้ำเสียงของเธอไพเราะมาก
เหมือนกับฉินเย่กำลังฟังเปียโนที่บรรเลงด้วยความไพเราะอยู่อย่างนั้นแหละ
อ่าาา…นี่สินะกลิ่นอายแห่งรักในฤดูใบไม้ผลิ…ฉินเย่กระแอมแห้ง ๆ ปัดความคิดเพ้อเจ้อออกจากหัว ก่อนจะส่งแบบสอบถามให้อีกฝ่าย “สาขาการต่อสู้ผมสามารถรับได้แค่ 40 คนเท่านั้น แต่ยังไงก็เชิญคุณกรอกแบบสอบถามนี้ก่อนเถอะ”
หญิงสาวหยิบปากกาและเริ่มกรอกข้อมูล ลายมือของเธอเองก็สวยงามไม่แพ้ใบหน้าของเธอเลยสักนิด
ชื่อ: โม่ชิงยวี
สังกัด: นิกายตงเทียน
ระดับ: เริ่มต้น
หลังจากกรอกข้อมูลทั้งหมดเสร็จสิ้นเธอก็ส่งแบบสอบถามคืนให้ฉินเย่ ขณะที่เขากำลังจะรับมันกลับมา เด็กหนุ่มก็พบว่าอีกฝ่ายยังคงจัดแบบสอบถามแน่นไม่ยอมปล่อย
“อาจารย์ฉินคะ…นี่คือทั้งหมดของขั้นตอนการลงทะเบียนหรือคะ?” โม่ชิงยวีถามขึ้นราวกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง
“ทั้งหมดมีเพียงเท่านี้ คุณสามารถขึ้นไปนั่งรอบนรถบัสได้เลย นี่ยังเหลือเวลาอีกประมาณ 30 นาทีกว่ารถจะออก” ฉินเย่ยิ้ม ตอนแรกเขาคิดว่าตัวเองจะกระวนกระวายกว่านี้เสียอีก แต่น่าแปลกที่เขากลับไม่รู้สึกกังวลอย่างที่คิดไว้ในตอนแรกเลยสักนิด แม้ว่าจะกำลังคุยกับนักเรียนคนแรกของตัวเองก็ตาม
โม่ชิงยวีที่ได้ยินเช่นนั้นเม้มริมฝีปากของตัวเองและพำพึมเบา ๆ ว่า “อาจารย์คะ ฉันยังไม่เห็นคนอื่น ๆ มาเลย ถ้าคุณพอมีเวลา ฉันขอถามอะไรสักนิดได้หรือเปล่าคะ?”
ฉินเย่พยักหน้า หญิงสาวจึงเอ่ยต่อ “ตารางเรียนของสำนักฝึกตนจะแน่นมากหรือเปล่าคะ? แล้วสาขาการต่อสู้ได้เข้าร่วมการต่อสู้จริงมากน้อยแค่ไหนคะ? อาจารย์รู้ไหมคะว่าฉันรอวันนี้มานานแค่ไหน? นิกายของฉันบอกฉันเสมอว่าทักษะของฉันนั้นยังไม่ดีพอ พวกเขาจึงให้ฉันฝึกฝนกับวิญญาณที่ถูกผนึกเท่านั้น ฉันไม่เคยเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติจริง ๆ มาก่อนเลยสักครั้งเดียว!”
“อาจารย์คะ มันจริงหรือเปล่าที่ว่ามักจะมีคนตายในขณะที่เกิดเหตุเหนือธรรมชาติ? อาจารย์ที่สำนักของฉันบอกว่า อย่ามองข้ามอะไรก็ตามแม้เพียงเล็กน้อย ต่อให้สิ่งนั้นเป็นกระจกบานเล็ก ๆ ก็ตาม มันเป็นเรื่องจริงใช่ไหมคะ? ทางสถาบันจะสอนวิธีการแยกแยะวิญญาณให้เราหรือเปล่า? แล้วเมื่อไหร่พวกเราจะได้สัมผัสกับประสบการณ์พวกนี้คะ?”
หญิงสาวรัวคำถามออกมาอย่างรวดเร็ว มุมปากฉินเย่พลันกระตุกยิก นอกเหนือจากความกังวลและกระวนกระวาย ฉินเย่กำลังตั้งตารอที่จะเผชิญหน้ากับนักเรียนของเขามากกว่าสิ่งอื่นใด!
และเขาเองก็ไม่ใช่เพียงคนเดียวที่ได้เผชิญหน้ากับประสบการณ์ใหม่นี้เช่นกัน
เขาเป็นเหมือนกับมังกรที่ยิ่งใหญ่ที่หวงคืนสู่มหาสมุทรที่ยิ่งใหญ่ ในขณะที่เหล่านักเรียนเป็นเพียงลูกนกอินทรีที่เพิ่งถูกปล่อยออกจากกรง เขากำลังจะส่งต่อความรู้ ประสบการณ์ทั้งหมดของตัวเองให้กับนกอินทรีที่พร้อมจากทะยานไปสู้ท้องฟ้า ความรู้สึกพวกนี้…มันช่างดีอย่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ
มันเหมือนกับสายไหมนุ่มฟูที่มีส่วนที่หวานที่สุดคือบริเวณตรงกลาง แต่มันก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงแค่รสหวานละมุนที่ยังติดอยู่ที่ปลายลิ้น
รู้สึกดีชะมัด!
“ไม่ต้องห่วง ผมจะสอนทุกอย่างให้พวกคุณเอง สาขาการต่อสู้คือสาขาที่มีโอกาสสัมผัสกับการต่อสู้จริงมากที่สุด ขอแสดงความยินดีด้วยที่คุณเลือกสาขาถูกแล้ว” ฉินเย่ตอบคำถามของหญิงสาวอย่างรวบรัดก่อนจะเอ่ยเสริมว่า “ในกระเป๋ามีอะไรเหรอครับ? คุณต้องการให้ช่วยอะไรไหม?”
“อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ มันก็แค่ซากศพธรรมดาเนี่ยแหละค่ะ ไม่หนักเลยสักนิดเดียว” ใบหน้าสวยยังคงประดับไปด้วยความดีใจ ราวกับว่าเธอคือลูกอินทรีที่เพิ่งเห็นท้องฟ้าสีครามเป็นครั้งแรก เธอโค้งคำนับอีกฝ่ายพร้อมกับเอ่ยว่า “ขอบคุณค่ะอาจารย์ฉิน! ฉันจะตั้งตารอคำแนะนำและการสอนของคุณ! ฉะ.. ฉันจะตั้งใจเรียนอย่างเต็มที่แน่นอนค่ะ!”
ทันทีที่เอ่ยจบ หญิงสาวก็ยกกระเป๋าเดินทางของตนเองเดินขึ้นรถบัสไปอย่างเขินอาย
ซะ–… ซากศพ?
ผมของฉินปลิวไปตามสายลม กลิ่นอายแห่งรักในฤดูใบไม้ผลิ….ดูเหมือนว่าจะปนมากับกลิ่นถุงเท้าเหม็น ๆหรือเปล่านะ….นี่เขาไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม…
ฉินเย่ปัดความคิดไร้สาระออกไปอีกครั้ง และกลับมาอยู่ในอารมณ์ปกติอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเมื่อครู่เขาจะดูนิ่งสงบและเป็นธรรมชาติ แต่หัวใจของเขาก็ยังเต้นกระหน่ำ เด็กหนุ่มมองไปรอบ ๆ และพบว่านักเรียนคนอื่น ๆ ต่างก็มาถึงแล้ว และอาจารย์คนอื่นยื่นแบบสอบถามให้พวกเขาเหมือนกับที่ฉินเย่ทำก่อนหน้านี้ แต่มีเพียงคนที่มีสัมผัสไวอย่างฉินเย่เท่านั้นที่สามารถบอกได้ว่าลมหายใจของอาจารย์พวกนั้นเร็วขึ้นเล็กน้อยอย่างเป็นกังวล
บรรยากาศในตอนนี้เต็มไปด้วยความคาดหวัง ตื่นเต้น เคร่งเครียดและเต็มตื้น เหล่าอาจารย์และนักเรียนใหม่ของสำนักฝึกตนแห่งแรกต่างพูดคุยกันอย่างร่าเริงที่บริเวณด้านหน้าของทางเข้าสำนัก
30 นาทีต่อมา ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งก็มายืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะของสาขาการต่อสู้
เขาสวมเสื้อสเวตเตอร์สีแดงและหมวกเบสบอลของกุชชี่ สะพายเป้ไว้บนหลังใบหนึ่ง ไม่มีกระเป๋าเดินทางมาด้วยเลยแม้แต่ใบเดียว ส่วนสูงประมาณ 183 เมตร และที่สำคัญที่สุด….
หล่อ…
อย่างน้อย… ก็หล่อกว่าตัวเขา…
ลักษณะของเขาดูเหมือนกับพวกหนุ่มหล่อพิมพ์นิยม คิ้วหนาและตาสองชั้น อีกฝ่ายเดินมาพร้อมกับบรรยากาศที่แปรปรวนอยู่รอบตัว แต่การเคลื่อนไหวของเขานั้นกลับสงบนิ่งเป็นอย่างมาก
เขาประสานมือทำความเคารพฉินเย่และเอ่ยเสียงดังว่า “A0178 เย่ซิงเฉิน คารวะอาจารย์ฉิน!”
ใบหน้าของเขาแดงเล็กน้อย และลมหายใจของเขาถี่รัว สายลมในฤดูใบไม้ผลิยังคงหนาวเย็น จนฉินเย่สามารถมองเห็นการหายใจของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน เด็กหนุ่มยิ้มพร้อมกับส่งแบบสอบถามให้คนตรงหน้า “ใจเย็น ๆ มากรอกแบบสอบถามนี้ก่อน เรายังต้องเจอหน้ากันไปอีกสองปี”
“ผมรู้ครับ!” เย่ซิงเฉินเงยหน้าขึ้นและมองด้วยแววตาที่ลุกโชน “ผมแค่ไม่คิดว่าอาจารย์ฉินจะอายุพอ ๆ กับตัวเองก็เท่านั้น! ผมแทบไม่อยากจะเชื่อตอนที่ได้เห็นรายละเอียดของเหล่าอาจารย์ของสำนัก!”
ชายหนุ่มพูดต่อเหมือนกับปืนกล “คุณอายุ 18 ปี แต่อยู่ขั้นนักล่าวิญญาณ…ท่านพ่อของผมสั่งให้ผมเลือกสาขาการต่อสู้ทันทีที่ท่านเห็นข้อมูลของคุณ! ตอนแรกผมยังไม่เชื่อนัก แต่หลังจากที่ได้รบกวนให้ท่านหาข้อมูลเพิ่มเติม เราก็พบว่าคุณคือผู้ที่อยู่ในเมืองเป่าอันในคืนนั้น…แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ผมดีใจมาก ๆ ที่ตัวเองได้เลือกสาขาของคุณ!”
“ผมเชื่อเป็นอยากยิ่งว่าคุณจะต้องมีเรื่องมากมายที่จะสอนเรา! อาจารย์ฉิน สองปีต่อจากนี้ ผมฝากตัวด้วยนะครับ!!”
สิ้นเสียงพูด เขาก็โค้งคำนับฉินเย่ 90 องศา