บทที่ 157: การบรรยายของมือใหม่ (2)
โจวเซียนหลงตกตะลึง
เขาไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องวิชาการมากนัก
ก่อนที่เขาจะจัดแจงความคิดทั้งหมดของตัวเอง สวี่อันกั๋วก็เอ่ยต่อว่า “ผมได้ยินมาว่าผู้เฒ่ายวีกำลังศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ แต่มันยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ วิญญาณไม่สามารถถูกจับได้ พวกมันไม่สามารถสัมผัสกับวัตถุในแดนมนุษย์ได้ และวัตถุในแดนมนุษย์ก็ไม่สามารถสัมผัสกับมันได้เช่นกัน แล้วถ้าหากเราไม่สามารถสัมผัสมันได้ เราจะสามารถศึกษามันได้อย่างไร?”
ชายสูงวัยปรับท่านั่งของตัวเองและเอ่ยต่ออย่างไม่รีบร้อนนัก “ก่อนหน้านี้ศูนย์วิจัย SRC ได้ปิดล้อมพื้นที่และเฝ้าสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดว่ามันจะพัฒนาไปอย่างไร เช่นเดียวกันกับที่พวกเขาทำใน ‘ภารกิจเขตไล่ล่าที่สาบสูญ’ ที่เมืองไดซาน แต่มันก็ยังไม่มีประสิทธิภาพมากพอ อีกทั้งยังใช้เวลานานเกินไปกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ นอกจากนี้มันยังมีความเสี่ยงสูงมากที่งานวิจัยในหลายพื้นที่ที่มีการปิดล้อมเหล่านี้จะต้องถูกยกเลิกเพื่อรักษาระบบนิเวศน์ตามธรรมชาติและที่อยู่อาศัยบริเวณนั้น และเมื่อเป็นเช่นนั้น มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถศึกษาการเปลี่ยนแปลงไปของวิญญาณในพื้นที่เหล่านี้ได้ คุณสามารถอ่านเอกสารเกี่ยวกับ ‘ภารกิจเขตไล่ล่าที่สาบสูญ’ ได้อย่างละเอียดหากคุณต้องการ”
แววตาของโจวเซียนหลังไหววูบเล็กน้อย “คุณหมายความว่า….”
“สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อก็คือหัวข้อวิจัยนี้มันกว้างเกินไปสำหรับอาจารย์เพียงคนเดียว” สวี่อันกั๋วเอ่ยอย่างใจเย็น “อาจารย์คนที่เลือกหัวข้อเดียวกันกับหัวข้อในการวิจัยของทาง ศูนย์วิจัย SRC มันอาจจะเป็นการเปิดหูเปิดตาสำหรับตอนนี้ แต่เขามีความรู้มากเพียงพอที่จะสนับสนุนชุดการบรรยายตลอดภาคการศึกษาหรือเปล่า?”
“ผู้เฒ่าโจว หากเขาไม่สามารถทำตามสิ่งที่ตัวเองพูดเอาไว้ได้ แม้ว่าคุณจะอยู่ขั้นตุลาการนรก แต่ผลประเมินที่ออกมาคงไม่มีใครสนใจเรื่องนั้น”
เห็นได้ชัดว่าสวี่อันกั๋วไม่ได้คาดหวังกับการบรรยายของฉินเย่มากนัก
โจวเซียนหลงไม่ได้พูดอะไร ความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อนั้นชัดเจนมาก คุณอาจจะเป็นผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรก แต่ตอนนี้พวกเราไม่ได้อยู่ที่หน่วยสอบสวนพิเศษ สำหรับการศึกษาแล้วความรู้คือทุกสิ่ง ต่อให้คุณชอบเขา มันก็ไม่ได้แปลว่าเราจะชอบเขาด้วย
สวี่อันกั๋วกำลังบอกให้เขาเตรียมใจสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น
โจวเซียนหลงพยักหน้าเล็กน้อยและหันกลับไปมองที่โต๊ะบรรยายอีกครั้ง และโดยบังเอิญ หัวข้อส่วนแรกของการบรรยายเพิ่งปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ
“ชนิดของวิญญาณ”
ไม่มีใครพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เหล่าพวกระดับสูงของสำนักถึงกับเบิกตากว้างนั่งหลังตรงอย่างตั้งใจฟัง
พวกเขารู้ดีว่าคำพูดพวกนี้อาจจะดูง่าย แต่เนื้อหาที่แฝงอยู่นั้นไม่ง่ายเลย!
พวกเขาแต่ละคนล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาของตัวเอง และพวกเขาก็สามารถเห็นความจริงได้ในเวลาไม่ถึง 20 นาทีว่าฉินเย่เพียงแต่งเรื่องพวกนี้ขึ้นมา กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือความจริงที่ว่าฉินเย่เป็นพวกหลอกลวงหรือไม่จะถูกเปิดเผยออกมาในอีกไม่ช้า!
ฉินเย่ได้เข้าสู่โหมดจริงจังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาเท้ามือของตัวเองลงบนโต๊ะบรรยายและอธิบายต่อว่า “ตอนนี้ยังไม่มีระบบจำแนกชนิดของวิญญาณที่ชัดเจน ดังนั้นผมจึงใช้วิธีของตัวเองในการแบ่งมันออกเป็นสองประเภท ประเภทแรก: จำแนกโดยใช้ระดับของความสามารถ ประเภทที่สอง: จำแนกโดยดูจากชนิดของมัน”
“หึ….” หนึ่งในชายชุดดำแสยะยิ้มออกมาอย่างดูถูก เขาสะกิดเพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่ด้านข้างและกระซิบเบา ๆ ว่า “เขาใช้ตัวชี้วัดสองตัวในการจำแนก…เขาเป็นอาจารย์ที่อายุยังไม่ถึง 20 ปีด้วยซ้ำ คนที่มีชื่อเสียงในหมู่พวกเราบางคนยังไม่สามารถคิดแนวคิดแบบนี้ขึ้นมาได้เลย แม้แต่ผู้เฒ่ายวีเองก็ประสบปัญหากับเรื่องนี้เช่นกัน แล้วเด็กนี่คิดว่าตัวเองเป็นใคร? จู่ ๆ จะมากำหนดตัวชี้วัดการจัดประเภทของวิญญาณพวกนั้นขึ้นมาโดยพลการได้เนี่ยนะ?”
เพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขาไม่ได้สนใจอะไรนัก และเพียงกระซิบกลับมาว่า “ฟังที่เขาจะพูดก่อน หัวข้อนี้…เป็นหัวข้อที่ยิ่งใหญ่มากจริง ๆ”
ฉินเย่ไม่ได้ยินว่าทั้งคู่คุยอะไรกัน หรือต่อให้ได้ยิน เขาก็ไม่สนใจเช่นกัน นี่ถือเป็นหัวข้อที่ยิ่งใหญ่สำหรับแดนมนุษย์อย่างนั้นเหรอ?
มันไม่ใช่ว่าเขาเป็นพวกชอบตัดสินคนหรอกนะ แต่ทุกคนที่นี่….
เขาเอ่ยต่อ “การจำแนกโดยใช้ระดับของความสามารถนั้นง่ายมาก วิญญาณเร่ร่อน วิญญาณอาฆาต วิญญาณร้าย และภูตผี สอดคล้องกับผู้ฝึกตนในระดับขั้นยมเทพจนถึงขั้นตุลาการนรก ส่วนวิญญาณที่เหนือจากนี้ ผมเรียกมันว่าภูตผีคลุ้มคลั่ง”
“อ่า….” คราวนี้ ชายในชุดสูทสีดำที่ไม่สนใจเพื่อนของตนก่อนหน้านี้ก็เอนตัวไปหาเพื่อนและกระซิบตอบ “แหม นี่เขาอุตส่าห์ชื่อซะสวยหรูราวกับว่ามันมีอยู่จริงอย่างนั้นแหละ นี่เขาคิดว่าตัวเองเป็นปรมาจารย์จิตศาสตร์อาถรรพณ์จริง ๆ หรือไง? คิดว่าตัวเองเก่งกว่าขั้นตุลาการนรกสินะ? พูดอย่างกับเขาเคยเห็นมากับตาอย่างนั้นแหละ”
“ภูตผีคลุ้มคลั่ง อย่างที่ชื่อของมันบอก….” ฉินเย่ยังคงเอ่ยต่อ
ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็หยุดพูดไป
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ทุกคนที่นั่งอยู่ภายในห้องบรรยายก็มองตามสายตาของเด็กหนุ่มและมองไปที่ประตูหลังทันที สวี่อันกั๋วเองก็มองไปด้านหลังอย่างสงสัย แต่แล้วสายตาของชายสูงวัยก็ต้องเปลี่ยนจากมึนงงเป็นประหลาดใจ
“ผู้เฒ่ายวี?” เขาเอ่ยออกไปเบา ๆ ขณะที่รีบลุกขึ้นและยื่นมือออกไปหาอีกฝ่าย “คุณยังไม่กลับอีกเหรอครับ? มีอะไรอีกหรือเปล่า?”
ผู้เฒ่ายวีเดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบ ๆ เขาอยู่ในชุดปฏิบัติการสีขาวและมาพร้อมกับชายในชุดปฏิบัติการสีขาวอีกสิบกว่าคนและบอดี้การ์ดอีกจำนวนหนึ่ง ด้วยรอยยิ้มบางบนใบหน้า ผู้เฒ่ายวียื่นมือไปจับมือสวี่อันกั๋วและเอ่ยว่า “ทำไมล่ะ? ที่นี่ไม่ต้อนรับผมอย่างนั้นเหรอ?”
เป็นไปได้อย่างไร?
พวกระดับสูงทั้งหมดลุกยืนขึ้นทันที อีกฝ่ายไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นปรมาจารย์ในสาขาวิชาทั้งปวง! หากนิกายหรือตระกูลไหนต้องการจะเชิญเขาน่ะหรือ….
ไม่มีทางเสียหรอก!
“ผู้เฒ่ายวี คุณมาได้ยังไงครับ?” ชายในชุดดำทั้งสี่คนต่างยิ้มออกมาขณะที่มองดูผู้เฒ่ายวีเดินเข้ามาในห้องบรรยายราวกับโมเสสที่ใช้ไม้เท้าแยกทะเลแดง และนั่งลงในที่นั่งของผู้อำนวยการของสำนักวิชาการราวกับมันเป็นเรื่องธรรมชาติ ผู้อำนวยการที่ถูกแย่งที่นั่งมองหาที่นั่งใหม่ให้ตัวเองทันที เขารู้สึกค่อนข้างเป็นเกียรติด้วยซ้ำที่ผู้เฒ่ายวีมานั่งที่นั่งของตน
“ขอบใจ” ผู้เฒ่ายวีรับถ้วยชามาจากผู้ช่วยที่ยืนอยู่ด้านหลังของตน
เขาแย้มยิ้มอย่างสดใสแล้วพูดต่อว่า “เด็กคนนี้มีมุมมองที่ไม่เหมือนใคร และผมเองก็ค่อนข้างสนใจมัน ก่อนหน้านี้เขาบอกว่าการบรรยายของเขาจะเป็นการเปิดหูเปิดตาสำหรับผม ดังนั้นผมจึงค่อนข้างตั้งตารอฟังเขา”
อะไรนะ?!!
คนทั้งหมดนั่งประจำที่ของตัวเองอีกครั้ง ทิ้งไว้เพียงชายสองคนที่พูดคุยกันก่อนหน้านี้เท่านั้นที่ยังตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน!
ผู้เฒ่ายวี…ยังไม่ได้จากไปในทันที เพราะต้องการจะฟังการบรรยายของเด็กใหม่คนนี้น่ะหรือ?
ล้อกันเล่นหรือเปล่า?!
“ผู้เฒ่ายวี…” หนึ่งในชายชุดดำกลืนน้ำลายและพึมพำเบา ๆ “แต่…แต่เขาเลือกหัวข้อเดียวกันกับคุณเลยนะครับ…”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เขาต้องการจะบอกว่าฉินเย่กำลังประเมินตัวเองสูงเกินไปและอวดความสามารถของตัวเองต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญตัวจริง
สวี่อันกั๋วเหลือบตามองชายชุดดำและไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
ผู้เฒ่ายวีหัวเราะเบา ๆ และในเวลาต่อมาน้ำเสียงของชายสูงวัยก็เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก “มันมีสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้จากผู้อื่นได้เสมอ ความถ่อมเนื้อถ่อมตัวของคุณหายไปไหนหมดแล้ว?”
“เขาจะเลือกหัวข้อเดียวกันแล้วอย่างไร? นั่นทำให้พวกคุณมีสิทธิว่าร้ายใส่เขาได้อย่างนั้นเหรอ?”
“คุณไม่มีทางรู้ว่าเขามีอะไรดีจนกว่าคุณจะฟังสิ่งที่พวกเขาพูด การบรรยายเพิ่งผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีเท่านั้น และระดับสูงของสำนักฝึกตนแห่งแรกก็ยังไม่แสดงความเห็นใด ๆ เกี่ยวกับเขาเลยสักคน ดังนั้นพวกคุณก็ควรที่จะหุบปากแล้วตั้งใจฟังนะครับ”
“คุณกำลังทำให้ตัวเองดูโง่” เขาพูดทิ้งท้ายและหันหน้าไปหาสวี่อันกั๋ว และก็พบกับสายตาสงสัยของอีกฝ่าย “…ผู้เฒ่ายวีครับ คุณคงไม่ได้เดินทางมาที่นี่เพียงเพื่อที่จะสนับสนุนเด็กคนนี้เพียงอย่างเดียวใช่ไหมครับ?”
“จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร?” ผู้เฒ่ายวีแย้มยิ้มอย่างจริงใจ
“ดีครับ” สวี่อันกั๋วถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หากชายคนนี้ปรบมือ หรือเอ่ยออกมาว่ายอดเยี่ยม เพราะนั่นจะไม่เท่ากับเป็นการโกงหรอกหรือ?! ยังมีอาจารย์อีกหลายคนที่รอบรรยายต่อจากฉินเย่ ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายต้องการบังคับให้เขายอมรับเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ?
ผู้เฒ่ายวีพยักหน้าให้ฉินเย่ และเด็กหนุ่มเองก็โค้งศีรษะตอบกลับอย่างฝ่ายอย่างสื่อความหมาย และในขณะที่เขากำลังจะพูดต่อ เด็กหนุ่มก็ชะงักไป
นี่คือกลไกการทำงานของมนุษย์ มันมีบางครั้งที่ความทรงจำหรือคลื่นสมองเข้าโจมตีคนคนหนึ่งโดยไม่ทันตั้งตัว
เช่นเดียวกับตอนนี้
ฉินเย่จำสคริปต์ในการบรรยายของเขาได้ แต่ความไม่ใส่ใจของอาร์ทิสที่มีต่อความเข้าใจในจิตศาสตร์อาถรรพณ์ของแดนมนุษย์นั้นทำให้เขาอยากรู้ขึ้นมาทันทีว่าแดนมนุษย์นั้นเลวร้ายเพียงใด
แผนการสอนของเขาสามารถเรียกได้ว่าเป็นเหมือนคัมภีร์ม้วนยาว ที่จะค่อย ๆ แสดงให้เห็นถึงความลึกลับของเนื้อหาภายในอย่างช้า ๆ แต่ในตอนนี้เขากลับปรารถนาที่จะทำความเข้าใจสิ่งที่มนุษย์เรียกว่าจิตศาสตร์อาถรรพณ์ขึ้นมาจริง ๆ เสียแล้ว
หากเขายังคงดำเนินทุกอย่างไปตามแผนการสอนของตัวเองเป็นเวลาสองชั่วโมงเต็ม เขาก็อาจจะไม่เข้าถึงเนื้อหาสำคัญที่ต้องการจะพูดถึงด้วยซ้ำ ดังนั้นแทนที่จะดำเนินทุกสิ่งไปอย่างเชื่องช้า มันจะไม่ดีกว่าหรือที่จะ…หาสิ่งที่น่าสนใจมาเพื่อกระตุ้นความสนใจของคนพวกนี้แทน?
ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงนึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้วางแผนที่จะพูดในการบรรยายครั้งนี้ ตัดมันออกทั้งหมด และเข้าประเด็นสำคัญทันที
“ทุกท่าน ที่จริงผมไม่ใช่ผู้ที่เป็นคนคิดชื่อภูตผีคลุ้มคลั่งขึ้นมาหรอกนะครับ”
ดวงตาของผู้เฒ่ายวีเป็นประกายขึ้น ภูตผีคลุ้มคลั่ง…คำนี้อีกแล้ว ทั้ง ๆ ที่เขาเพิ่งมาถึง แต่ความอยากรู้ของเขากลับถูกกระตุ้นทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายพูด
มันเป็นเพียงสิ่งที่ถูกคิดขึ้นมาเอง หรือเขามีหลักฐานมาอธิบายอยู่จริง ๆ?
“‘ภูตผีคลุ้มคลั่ง’ คือชื่อที่ถูกตั้งตามแนวคิดของเมตาเพลเซีย (metaplasia) ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ จากชนิดหนึ่งไปเป็นเซลล์อีกชนิดหนึ่ง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือมันคือการวิวัฒนาการหรือการเกิดใหม่ ผมไม่แน่ใจว่าคุณเคยสังเกตกันมาก่อนหรือเปล่า แต่มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพบวิญญาณอาฆาตที่มีความสามารถเหนือกว่าขั้นตุลาการนรกขึ้นไป!”
ฟึ่บ…เขาแตะไปที่หน้าจอ LED และเลือกตัวเลือกบางอย่าง จากนั้นแผนที่ประเทศจีนที่มีการเกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ
วงกลมสีเหลือง สีส้ม และสีแดงขนาดต่าง ๆ ปรากฏขึ้นมาในแต่ละเขต “วิญญาณอาฆาตทั้งหมดล้วนเริ่มต้นจากวิญญาณเร่ร่อน วิญญาณที่มีความคับแค้นใจอย่างมากในขณะที่เสียชีวิตก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะกลายเป็นวิญญาณอาฆาต ด้วยสถานการณ์และเงื่อนไขที่ถูกต้อง วิญญาณเร่ร่อนที่มีความคับแค้นใจจะกลืนกินวิญญาณด้วยกันเองและกลายเป็นวิญญาณอาฆาต…”
ฟืบบบบบ!
จู่ ๆ เขาก็รู้สึกถึงความเย็นที่ไล่ไปตามกระดูกสันหลัง เมื่อครู่นี้ผู้สังเกตการณ์ของศูนย์วิจัย SRC ยังคงนั่งคุยและหัวเราะกันอยู่เลย แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาเอ่ยออกมา อีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นและมองมาที่เขาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ถึงแม้ว่าเขาจะตระหนักถึงความจริงที่ว่าตัวเองเพิ่งหย่อนเหยื่อตัวโตลงไป แต่ฉินเย่ก็แสร้งทำเป็นไม่สังเกตเห็นและเอ่ยต่อ “เมื่อวิญญาณพวกนั้นเริ่มมีสติปัญญา….”
“เดี๋ยวก่อน!” ทันใดนั้น หนึ่งในผู้สังเกตการณ์ของทาง SRC ก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียงดัง นักเรียนทั้งหมดต่างหันกลับไปมองด้วยความประหลาดใจ
หนึ่งในกลุ่มคนของศูนย์วิจัย SRC ที่สวมชุดปฏิบัติการสีขาวลุกขึ้นยืน สายตามองตรงไปที่ฉินเย่และเอ่ยว่า “เมื่อครู่คุณพูดว่าอะไรนะ…วิญญาณจะวิวัฒนาการได้อย่างนั้นเหรอ?”
“โดยผ่านการกลืนกิน” ฉินเย่ตอบกลับไปอย่างหนักแน่นและไม่หวั่นเกรง เขาทบทวนคำพูดในแผนการสอนของตัวเองกับอาร์ทิสนับครั้งไม่ถ้วน และเขายังสามารถอ้างอิงถึงตัวอย่างมากมายที่มีอยู่ในหัวของเขาตอนนี้ได้อีกด้วย
“หลังฐานล่ะ?!” ชายในชุดปฏิบัติการสีขาวถามกลับ และเสียงของเขาก็ดังก้องไปทั่วทั้งห้อง มีเพียงตอนที่สวี่อันกั๋วกระแอมออกมาเบา ๆ เท่านั้นที่เขากลับมาได้สติอีกครั้ง
ให้ตายเถอะ เขาลืมเรื่องนี้ไปเลย….
ที่นี่คือห้องบรรยายของสำนักฝึกตนแห่งชาติ และยิ่งกว่านั้น…พวกเขาก็ไม่ควรที่จะมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ! พวกเขาแค่ติดตามผู้เฒ่ายวีมาก็เท่านั้น!
เขาพูดออกไปแบบนั้นได้อย่างไรในเมื่อผู้เฒ่ายวียังไม่พูดอะไรแม้แต่นิดเดียว?
ไม่ใช่ว่าตอนนี้เขากำลังตั้งใจทำให้อาจารย์ฉินขายหน้าหรือไง? แต่…การกลืนกินเนี่ยนะ?
ไม่ใช่ว่าพวกวิญญาณอาศัยการดูดซับพลังจากความรู้สึกด้านลบของมนุษย์ รวมถึงความตื่นตระหนก ความกลัวอะไรพวกนั้นเหรอ? หรือบางทีพวกมันอาจจะเกิดขึ้นพร้อมกับความคับแค้นภายในใจ และอาศัยการซึมซับพลังจากแสงจันทร์เพื่อกลายเป็นวิญญาณที่มีระดับสูงขึ้นหรอกหรือ?
พวกเขาเคยพิสูจน์เรื่องนี้โดยผ่านการทดลองมาแล้ว! นายหลอกเราไม่ได้หรอก! นี่เป็นเพียงทางเดียวที่วิญญาณเร่ร่อนจะสามารถเปลี่ยนแปลงกลายเป็นวิญญาณอาฆาตได้! นายไปเอาความคิดเรื่องการกลืนกินพวกนี้มาจากไหน?
เช่นเดียวกับนักวิชาการอื่น ๆ เขาคุ้นชินกับการหักล้างสมมติฐานที่ไม่ชัดเจน ความครุมเครือเพียงเล็กน้อยสามารถทำให้เกิดการถกเถียงกันอย่างจริงจังได้ และที่เขาลุกขึ้นยืนก่อนหน้านี้ก็เป็นเพราะเหตุผลนั้น
เขาควรทำอย่างไรดี?
เขากลืนน้ำลายอย่างร้อนรน ข่มความรู้สึกอึดอัดในใจ เขากวาดตามองเพื่อนร่วมงานของตัวเอง เพียงเพื่อที่จะพบว่า….
อะไร?! ทำไมพวกนายมองหน้าฉันแบบนั้น? พยายามเร่งให้ฉันถามคำถามให้จบอย่างนั้นเหรอ?
แม้กระทั่งคุณ ผู้อำนวยการของศูนย์วิจัย SRC? คุณมองผมด้วยสายตาที่เร่งเร้าแบบนั้นได้ยังไง?
ผู้เฒ่ายวีมองชายที่ลุกยืนขึ้นด้วยสายตาแข็งกร้าว สายตาของเขาสื่อความหมายชัดเจนและรุนแรง ถามให้จบ!
ให้ตายเถอะ…จะหยุดแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ก็ไม่ได้ด้วย…ชายในชุดปฏิบัติการสีขาวไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับพวกระดับสูงของสำนัก เขากัดฟันแน่นและข่มใจของตัวเอง “หากอาจารย์ฉินไม่ได้ทำการทดลอง หรือไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน นี่มันก็ไม่ต่างอะไรกับทำให้เด็ก ๆ เข้าใจผิด!”
ฉินเย่มองคนทั้งหมดราวกับเพิ่งเห็นผี เขากะพริบตาปริบ ๆ “พวกคุณ…ไม่รู้หรือ?”
ไม่…อาร์ทิสเคยบอกว่าพวกเขานั้นไม่ต่างอะไรกับเศษขยะ และในขณะเดียวกันพวกเขาก็ยังเป็นความหวังของเขาด้วยเช่นกัน ดังนั้นพวกคุณช่วยพยายามกันมากกว่านี้หน่อยได้ไหม….อย่าทำให้ความฝันและความหวังของผมหายไปแบบนี้สิ…
นี่ก็เป็นเพียงหมัดแรกที่ผมปล่อยออกไป คุณต้องต้านมันไว้ให้ได้สิ!
แต่ถึงกระนั้น…
สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงความเงียบ
แม้แต่สวี่อันกั๋ว โจวเซียนหลง และผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำคนอื่น ๆ เองก็จ้องกลับมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
จากนั้น คนทั้งหมดก็หันหน้าไปมองทางโจวเซียนหลง เห็ดได้ชัดเจนว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการจะสื่อก็คือ เขาเป็นคนของคุณ คุณถามสิ!
หืม? นั่นดูเหมือนจะไม่ใช่สายตาที่เป็นมิตรเลยนะ นี่พวกคุณกำลังสงสัยหรือว่าทำไมผมถึงไม่ถามคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจออกไป?
ผมหมายถึง…พวกเราไม่อยากที่จะถูกทำให้ขายหน้าต่อหน้าทุกคน…นี่เป็นการบรรยายสำหรับนักเรียน และมันก็ถูกจัดขึ้นแค่พอเป็นพิธีเท่านั้น จะให้เขาถามลึกไปกว่านี้ให้มันได้อะไร? แต่สำหรับนักวิชาการด้วยกันแล้ว สิ่งนี้คงเป็นเพียง…การสนทนาบทหนึ่งสินะ
ให้ตายเถอะ!
เส้นเลือดบริเวณขมับของโจวเซียนหลงเต้นตุบ ๆ อย่างไม่สามารถควบคุมได้ เขากระแอมออกมาเบา ๆ ท่ามกลางความเงียบที่น่าอึดอัด “S9527 คุณช่วย…อธิบายให้ละเอียดกว่านี้ได้หรือเปล่า?”
ฉินเย่สบถในใจเป็นพันครั้ง…
นี่มันเพิ่งเป็นแค่ส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น แต่พวกคุณกลับมองผมด้วยสายตากังขา พวกคุณแน่ใจจริง ๆ หรือว่าตัวเองมาเพื่อประเมินศักยภาพของผมจริง ๆ น่ะ?
ทำไมจู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าเจ้าที่หน้ามือใหม่ที่สุดของยมโลก ก็สามารถกลายเป็นศาสตราจารย์ในโลกมนุษย์คนหนึ่งได้เลยกันนะ?