บทที่ 166: มีคนตาย
ฉินเย่ไม่ได้กลับห้องของเขาจนกระทั่งถึงเช้าวันถัดมา
โจวเซียนหลงสอบถามเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดตลอดคืน A32 เองก็คงต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่ได้เจอกันหลังจากนั้น
การสอบสวนสิ้นสุดลงในตอนตีห้า หลังจากนั้นเขาก็ทำตามขั้นตอนการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อแลกหินวิญญาณให้เรียบร้อยและได้รับแจ้งว่าอีกฝ่ายจะนำหินวิญญาณมาส่งให้ที่ห้องภายในวันนี้
เวลาตอนนี้คือ 07.30 น. โชคดีที่วันนี้เขาไม่ต้องมีไปบรรยายที่ไหน…เด็กหนุ่มบิดตัวไปมาเพื่อสลัดความปวดเมื่อยออกจากร่างและเดินออกมาจากสำนักวิชาการ เขารู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย
“ไอ้ตัวนั้นมันคืออะไรกัน…กล้าดีอย่างไรถึงมากระตุกหนวดเสืออย่างสำนักฝึกตนแห่งแรก? เป็นราชาผีทั้งสามเหรอ? แล้วถ้าหากเป็นพวกนั้น พวกเขาจะมาที่นี่ทำไม? หรือว่าพวกเขารับรู้ถึงการก่อตั้งใหม่ของยมโลกแล้ว?”
เขายังคงคาดเดาต่อไปขณะที่เดินกลับไปที่สำนักเพื่อทานอาหารเช้า ทันใดนั้น ขณะที่เขากำลังทาน เขาก็ปฏิเสธความคาดเดาของตัวเองก่อนหน้านี้ทั้งหมด
“นั่นไม่น่าเป็นไปได้ ยมโลกในตอนนี้ยังไม่เป็นที่สนใจนัก หากพูดตามตรงก็คือเรายังไม่มีค่าพอให้พวกเขาจะสนใจด้วยซ้ำ อย่างที่อาร์ทิสเคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ราชาผีแต่ละตนล้วนเป็นวิญญาณชั่วร้ายที่มีพลังเทียบเท่ากับขั้นฝู่จวิน สิ่งที่พวกนั้นต้องการก็คือปกครองเหล่าวิญญาณจำนวนมาก และเมืองเป่าอันก็เล็กเกินไปสำหรับความต้องการนั้น พวกเขาอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายมโลกได้ถูกก่อตั้งขึ้นอีกครั้งแล้ว”
“ถ้าเราเป็นพวกเขา และถ้าเราเดาได้ว่ายมโลกแห่งใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้น เราคงไม่มีทางมุ่งหน้ามาที่นี่และเผชิญหน้ากับกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของแดนมนุษย์เด็ดขาด เราคงจะสังเกตการณ์จะที่ไกล ๆ และถ่วงเวลาไว้จนกว่าจะแน่ใจว่าตัวเองจะชนะก่อนจึงค่อยเริ่มลงมือ เพราะอย่างไรแล้วราชาผีทั้งสามก็ไม่ได้เป็นยมทูตเหมือนกับเชาโยวเต๋า ที่จะได้มีพลังในการลงมือภายใต้จมูกของหน่วยสอบสวนพิเศษโดยที่ไม่ถูกจับได้เลยสักนิด…และเมื่อเป็นเช่นนั้น วิญญาณตนนี้คือใครกัน?”
เขาคิดไม่ออกเลยสักนิด ส่วนยมโลก…เขาก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกองกำลังที่เคยมีอยู่ในยมโลกแห่งเก่าเลยสักนิด สิ่งแรกที่ต้องทำตอนนี้ก็คือไปหาอาร์ทิสและถามนางเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น นางจะต้องรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นอย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงเดินกลับไปที่สำนักฝึกตนแห่งแรก เมืองเป่าอันถูกกำหนดให้เป็นเมืองฝึกตนแห่งแรกที่อยู่ร่วมกับประชาชนปกติ ดังนั้นเมื่อรุ่งสางมาถึง ถนนบริเวณด้านนอกของสำนักก็เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยของผู้คนมากมายที่บริเวณร้านค้าและตลาดยามเช้าอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้หอพักของตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็เห็นนักเรียนหลายคนเดินออกมาด้วยสีหน้าตกใจขณะที่พูดคุยกันอย่างไม่หยุดหย่อน นักเรียนบางคนรีบวิ่งไปยังอาคารที่อยู่ใกล้ ๆ ทันที
“เกิดอะไรขึ้น?” เขาคว้าร่างของนักเรียนคนหนึ่งเอาไว้และถาม
“เอ่อ…คุณ…อาจารย์ฉิน!” นักเรียนตรงหน้าอ้าปากค้าง ใบหน้าของเขาฉายชัดถึงความตื่นตระหนกและหวาดกลัว ร่างกายสั่นเทาขณะที่เอ่ยออกมา “มะ มะ มีคนตายครับ!”
มีคนตาย?
ฉินเย่รีบเชื่อมโยงความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์แปลกประหลาดที่สนามบาสเกตบอลเมื่อคืนทันที เขาตบไหล่อีกฝ่าย “อย่าเพิ่งแตกตื่น พูดช้า ๆ เล่าให้ผมฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“หอพัก 3 ห้อง 214 ครับ” การปรากฏตัวของฉินเย่ทำให้เหล่านักเรียนรู้สึกปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เขายกมือทาบอกของตัวเองขณะที่อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “มะ ไม่มีใครเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นครับ ตะ แต่…แต่ตอนที่ผมตื่นขึ้นมาเมื่อเช้านี้ ผม…ผมก็พบว่าเพื่อนร่วมชั้นของผมตายไปแล้ว! แล้ว…แล้วท่าทางการตายของเขาก็แปลกมาก! ผะ ผมไม่รู้อะไรนอกจากนี้แล้วครับ!”
แววตาของฉินเย่วูบไหว เขามองไปรอบ ๆ และสังเกตเห็นว่าสนามหญ้าบริเวณโดยรอบเริ่มคึกคักไปด้วยนักเรียนจำนวนนับไม่ถ้วน เสียงที่จับกลุ่มคุยกันของเหล่านักเรียนดังขึ้นเป็นพัก ๆ ในเวลานี้นักเรียนเกือบพันคนต่างมารวมตัวกันด้วยความตกตะลึงและหวาดกลัวเกี่ยวกับข่าวที่พวกตนเพิ่งได้ยิน
“ได้ยินหรือเปล่า? เมื่อคืนนี้มีคนตาย!”
“เป็นไปได้ยังไง…ที่นี่คือสำนักฝึกตนแห่งแรกนะ!”
“มีวิญญาณร้ายอยู่ในกลุ่มพวกเราอย่างนั้นเหรอ?”
“ฉันไม่รู้…ฉันได้ยินเรื่องนี้มาจากคนอื่นอีกที ตอนนี้ทุกอย่างวุ่นวายไปหมดแล้ว!”
เขายังคงมองไปรอบ ๆ ขณะที่นักเรียนมาล้อมรอบตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ สถานการณ์พลิกผันอย่างกะทันหันทำให้พวกนักเรียนส่วนใหญ่ลืมที่จะทำความเคารพเขาอย่างเหมาะสม แต่แทนที่จะเข้าไปในตึก เขาหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาและลองเข้าใช้เว็บไซต์ของสำนัก
“ในระหว่างการซ่อมบำรุง เซิร์ฟเวอร์ที่คุณต้องการเข้าถึงจะไม่สามารถเปิดได้ชั่วคราว”
มีบางอย่างผิดปกติ
ฉินเย่ขมวดคิ้วยุ่งพร้อมกับเดาะลิ้นและเก็บโทรศัพท์ สำนักฝึกตนแห่งแรกเว็บไซต์ไม่ควรมีปัญหาเลยจริง ๆ การที่เขาไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ของสำนักได้นั้นเป็นผลมาจากความพยายามของสำนักในการควบคุมไม่ให้มีใครแสดงความคิดเห็นได้ ดูเหมือนว่า…จะมีบางอย่างเกิดขึ้นจริง ๆ สินะ
บางทีข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจจะยังไม่ถึงหูของโจวเซียนหลง และเขาก็อาจจะยังหารือเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนกับกองกำลังพิฆาตวิญญาณอยู่ แต่ไม่ว่าอย่างไรตอนที่ฉินเย่มาถึง เขาพบว่าที่นี่มีอาจารย์และศาสตราจารย์เพียงไม่กี่คนที่ไม่ได้ไปที่ขุมทรัพย์ของกลุ่มผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์เมื่อคืน ซึ่งกำลังรักษาความสงบอยู่บริเวณหอพัก 3 พวกเขากระจายตัวออกไปโดยรอบ ปิดการเข้าออกสถานที่ทั้งหมดโดยสมบูรณ์โดยมีกลุ่มนักเรียนที่ตื่นตระหนกและวิตกกังวลยืนอยู่ด้านนอก แต่กลับไม่มีใครกล้าเข้าไปด้านในเลยสักคน
“เกิดอะไรขึ้นครับ?” ฉินเย่เดินไปหาศาสตราจารย์ทั้งห้าผู้ซึ่งยืนอยู่บริเวณทางเข้า นอกจากนี้ยังมีชายในชุดปฏิบัติการสีขาวที่มีตราสัญลักษณ์ของศูนย์วิจัย SRC อีกสองคนยืนอยู่ด้วย สีหน้าของทุกคนเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก ทั้งหมดแยกทางให้กับฉินเย่เมื่อเห็นการมาถึงของเขาและพยักหน้าเบา ๆ เพื่อทักทายเขากลับ
“เมื่อคืนฝนตกแรงน่ะ” เถาหรานถอนหายใจออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมขณะที่เขาตบไหล่ของฉินเย่ “สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือทำให้ความกังวลที่อยู่ภายในใจของเหล่านักเรียนของเขาสงบลง คุณเข้าไปดูด้านใน แล้วมาบอกพวกเราหากพอจะรู้อะไร และอย่าส่งเสียงร้องอะไรเด็ดขาด สถานการณ์ข้างในนั้น…มันแปลกมาก”
ตอนนี้สถานการณ์หลาย ๆ อย่างยังคงย่ำแย่…ฉินเย่พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม และเมื่อเขากำลังจะก้าวเข้าไปในอาคาร เขาก็ถามอีกฝ่ายว่า “ทางสำนักว่าอย่างไรบ้างครับ?”
สายตาของเถาหรานเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกขณะที่กวาดสายตาไปยังเหล่านักเรียน “พวกเราคิดว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ บางสิ่งบางอย่างได้ซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มของพวกนักเรียน…ไม่มีใครไม่รับรู้ถึงมัน…หรือแม้แต่ผมเองก็เช่นกัน หัวหน้าสาขาโจวจะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม เราอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้กันเลย คุณไม่ต้องกังวลไป”
ฉินเย่พยักหน้าและเดินไปที่ห้อง 214 ทันที เมื่อเขามาถึง สิ่งเดียวที่เห็นก็คือมีอาจารย์คนอื่น ๆ ได้ยืนอยู่ในพื้นที่อยู่ก่อนแล้ว
หลินฮั่นและคนอื่น ๆ เองก็อยู่ที่นี่เช่นกัน ทันทีที่พวกเขาสังเกตเห็นการมาถึงของเขา อีกฝ่ายก็ปล่อยให้เขาเดินเข้าไปด้านในโดยไม่เอ่ยอะไรเลยแม้แต่น้อย และฉินเย่ที่เดินเข้าไปก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากันทันที
ศพที่แห้งเหี่ยว
ร่างตรงหน้าเพียงนอนนิ่งอยู่บนพื้นเงียบ ๆ โดยที่แขนทั้งสองข้างยกขึ้นมาไขว้ปิดอยู่บริเวณหน้าอก และผิวหนังของศพก็เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นราวกับเปลือกส้มแห้งที่เกาะอยู่บนกระดูกอย่างแน่นหนา ดวงตาของศพปิดสนิท และสีหน้าโดยรวมก็ดูสงบสุข ไม่มีร่องรอยของบาดแผลปรากฏบนร่างให้เห็นเลยแม้แต่รอยเดียว
“ผู้เสียชีวิตชื่อโม่จวิน อายุ 18 ปี เพศชาย” ซู่เฟิงโน้มตัวลงมาและกระซิบเบา ๆ “เขามาจากพันธมิตรผู้ฝึกตนที่อยู่ทางทะเลตะวันออก ไม่มีอะไรน่าสงสัย เวลาเสียชีวิต…ประมาณเที่ยงคืน”
เมื่อฉินเย่เห็นสภาพศพ สิ่งแรกที่เขาทำก็คือตรวจดูบริเวณคอของศพ น่าเสียดายที่เขาไม่พบรอยฟันเลยแม้แต่รอยเดียว
อย่างไรก็ตาม…เมื่อเขายกมือของอีกฝ่ายขึ้น เขาก็พบว่านิ้วมือของศพชื้นเล็กน้อย
“เที่ยงคืน….” เด็กหนุ่มหรี่ตาลงและเหลือบไปมองทางหน้าต่าง ซึ่งมันยังคงสภาพเดิมทุกอย่าง
มันห่างจากช่วงเวลาหลังจากที่โจวเซียนหลงมุ่งหน้าไปที่ขุมทรัพย์ของกลุ่มผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น!
ล่อลวงให้ศัตรูออกไป…ไม่ มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน อีกฝ่ายเพียงแค่ไหลไปตามสถานการณ์เท่านั้น
มันบาดเจ็บ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าวิญญาณขั้นนักล่าวิญญาณตนนั้นสามารถรอดมาจากการโจมตีของอาร์ทิสได้อย่างไร แต่มันก็จะต้องได้รับบาดเจ็บอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนี้…บาดแผลที่ได้ก็อาจส่งผลให้มันถูกพบตัวได้ ดังนั้นมันจึงถูกสถานการณ์บีบบังคับจนต้องหลบหนีมายังหอพักและสังหารโม่จวิน แม้ว่าจะเสี่ยงต่อการถูกค้นพบก็ตาม
และในเวลานั้น ความสนใจของทางสำนักก็คงจะถูกดึงไปโดยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่ขุมทรัพย์ มันจึงใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นี้….ฉินเย่ถูนิ้วชี้และนิ้วโป้งก่อนจะถามออกไปว่า “ของเหลวที่ติดอยู่นี่คืออะไร?”
“แค่น้ำธรรมดา” หลินฮั่นกวาดสายตามองรอบ ๆ พร้อมกับปล่อยจิตสังหารออกมา “ไฟในหอดับลงในตอนเที่ยงคืน ซึ่งนี่หมายความว่านักเรียนทุกคนได้หลับกันไปหมดแล้ว ดูเหมือนว่าวิญญาณตนนั้นได้จู่โจมร่างของโม่จวินด้วยน้ำหลังจากที่ฆ่าเขาแล้ว”
“สาเหตุการตายคือเสียเลือดมากเกินไปใช่หรือเปล่า?”
“ไม่ใช่แค่นั้น…” ซู่เฟิงที่สวมถุงมือยางอยู่เอ่ยขึ้นและถกเสื้อของศพขึ้นเล็กน้อย ฉินเย่อ้าปากค้างทันทีกับภาพตรงหน้า บริเวณอกและหน้าท้องของศพถูกเปิดออก! แต่ทว่า…กระเพาะของเขากลับหายไป!
หากพูดกันตามความจริง อวัยวะภายในของเขาหายไปทั้งหมด!
“พวกเราสัมผัสพลังหยินของวิญญาณตนนั้นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย” ซู่เฟิงปิดร่างของศพอีกครั้งและทำความเคารพศพเป็นครั้งสุดท้าย “นอกจากนี้…วิธีสังหารแบบนี้ก็ไม่เคยมีมาก่อน!”
ฉินเย่ขมวดคิ้วเข้าหากัน ความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว แต่เมื่อเขาพยายามจะเจาะรายละเอียดลงไป เขาก็ไม่พบร่องรอยของมันเลยแม้แต่น้อย
มันคือตัวอะไรกันแน่…
มีบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกว่าสถานการณ์ตรงหน้าไม่ปกติ
“ไม่เคยมีมาก่อนเหรอ?” เขานวดขมับของตนขณะถามออกไป
“ใช่” หลินฮั่นนั่งยอง ๆ อยู่ที่ขอบเตียงด้วยคิ้วที่ย่นจนแทบจะชิดกันเอ่ยขึ้น “เหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยมีมาก่อน วิญญาณในแผ่นดินจีนมีวิธีการสังหารหลัก ๆ อยู่สองวิธี วิธีแรกก็คืออาศัยการข่มขู่ พวกมันจะทำให้เหยื่อหวาดกลัวเพื่อทำให้ลูกไฟทั้งสามของมนุษย์คนนั้นอ่อนแอลง และทันทีที่เปลวไฟเริ่มวูบไหว พวกมันก็จะมีอำนาจในการควบคุมและจัดการกับร่างดังกล่าว และผลมาก็คือการตายที่โหดร้าย แต่รูปแบบที่โม่จวินถูกสังหาร….”
ชายทั้งสามมองหน้ากันครู่หนึ่ง และเอ่ยออกมาพร้อมกัน “พิธีกรรม?”
มือของเขาถูกจับไขว้หลังจากที่ตายแล้ว ศพถูกทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่า อีกทั้งเครื่องในทั้งหมดก็หายไป มันเหมือนกับ…การฆ่าเพื่อทำพิธีกรรมบางอย่างไม่มีผิด
ตึก ตึก ตึก….ทันใดนั้นเองเสียงฝีเท้าดังก้องไปทั่วทางเดิน และก่อนที่พวกเขาจะทันได้ตั้งตัว ประตูห้องก็ถูกเปิดออกเสียงดัง โจวเซียนหลงยืนอยู่ที่หน้าประตูด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
พลังปราณหลั่งไหลออกมาจากรูทวารทั้งเจ็ด สายฟ้าปรากฏอยู่รอบ ๆ และเสียงลมที่รุนแรงก็พัดผ่านทางเดินด้านนอกเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วมากเพียงใด ชายสูงวัยไม่ได้ทักทายใครทั้งนั้น และทุกคนก็สามารถบอกได้เลยว่าตอนนี้เขากำลังอารมณ์ไม่ดีสุด ๆ
หากสำนักฝึกตนแห่งแรกสามารถสร้างชื่อได้ มันจะต้องป้องกันเหตุการณ์พวกนี้ไม่ให้เกิดขึ้นในสถานที่ แต่โศกนาฏกรรมก็ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่กลับเป็นสองครั้งในคืนเดียว
ที่สำคัญกว่านั้น ข้อเท็จจริงที่ว่านักเรียนเสียชีวิตแทบจะทันทีที่พวกเขามาถึงที่สำนักฝึกตนแห่งแรกจะต้องทำให้คนอื่น ๆ มองว่าทางสำนักไม่แม้แต่จะสามารถกันวิญญาณออกจากพื้นที่ของตัวเองได้ แล้วโลกภายนอกจะมองพวกเขาอย่างไร?
นี่เป็นการตบหน้าพวกเขาเป็นพันครั้ง!
ฉินเย่และคนอื่น ๆ สบตากันอย่างรู้กัน และขณะที่พวกเขากำลังจะเดินออกจากห้อง โจวเซียนหลงก็เอ่ยขึ้นว่า “ทำให้แน่ใจว่าหลังจากวันนี้จะไม่มีนักเรียนคนไหนพูดถึงเรื่องนี้อีก”
“รับทราบ”
“นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือรักษาความปลอดภัยของนักเรียนทุกคน พรุ่งนี้ ทางสำนักงานกิจการภายนอกจะเปิดระบบภารกิจให้เร็วขึ้นและประกาศภารกิจระดับ S ใครก็ตามที่สามารถหาตัวผู้กระทำผิดได้….”
เขากัดฟันแน่นพร้อมกับจิตสังหารที่ระเบิดออกมาจากร่าง “จะได้รับคะแนนความดี 50,000 คะแนนความดีและอีก 300 คะแนนการสอน!”
“และหากพวกคุณสามารถจับเป็นได้ รางวัลที่ได้จะเพิ่มเป็นสองเท่า!!”
ฉินเย่พยักหน้า เหลือบตาไปมองซู่เฟิงและหลินฮั่น จากนั้นจึงเดินออกมาจากห้อง
สถานการณ์กำลังปะทุขึ้น
หากผู้ใดกล้ามากระตุกหนวดเสือ มันผู้นั้นจะต้องทุกทรมานกับผลลัพธ์ที่ตามมาของตนเอง!
ฉินเย่เดินกลับไปที่ห้องของเขาอย่างเร่งรีบ ทันทีที่เข้าไปในห้อง สิ่งแรกที่เตะตาเขาก็คือกล่องขนาดใหญ่ที่มีขนาดหนึ่งลูกบาศก์เมตร
หินวิญญาณที่เขาได้ไปแลกมาก่อนหน้านี้มาถึงแล้ว
อาร์ทิสไม่ได้เล่นเกมอยู่ กลับกันดูเหมือนว่านางจะกำลังหารือบางอย่างกับหมิงซีหยินอยู่อย่างเคร่งเครียด แต่เมื่อเขาเข้ามาในห้อง ทั้งสองก็หยุดชะงักไปพร้อมกัน
“ไอ้ตัวบ้านั่นมันคืออะไร?” ฉินเย่เดินไปนั่งลงบนโซฟาและมองหน้าอีกฝ่าย “ก่อนหน้านี้พวกท่านไม่คิดที่จะบอกข้า แต่ตอนนี้พวกท่านจะบอกข้าได้หรือยัง?”
ไร้ซึ่งคำตอบ
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง อาร์ทิสก็พึมพำเบา ๆ ว่า “หากพูดตามความจริง ท่านหมิงและข้ากำลังหารือกันว่าเราควรบอกเจ้าเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้หรือไม่”
“แล้ว?”
“และผลสรุปของเราก็คือไม่ควรบอกเจ้า”
ฉินเย่กลอกตาและถอนหายใจออกมา จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนและชี้ไปนอกหน้าต่าง “ท่านรู้หรือไม่ว่ามีคนตาย”
“มีนักเรียนคนหนึ่งตายภายใต้จมูกของผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกและขั้นยมทูตขาวดำจำนวนมากในที่แห่งนี้! และทางสำนักก็ไม่สามารถระบุตัวของผู้กระทำผิดได้!”
“ข้าไม่สนใจว่าเขาจะตายหรือไม่ สิ่งที่ข้าสนก็คือข้าจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้หรือไม่ เพราะฉะนั้น ท่านช่วยอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้ข้าฟังสักนิดไม่ได้เลยหรือ?!”
เขาจ้องหันไปจ้องตาอาร์ทิส “มันคืออะไร? วิญญาณตนใดกันที่มีความสำคัญสูงกว่าราชาผีทั้งสามหรือไม่?”
“ทำไมแม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกของแดนมนุษย์ก็ไม่สามารถรับรู้ถึงมันได้…ไม่ แม้แต่ข้าก็ไม่สามารถสัมผัสถึงมันได้เช่นกัน….หือออ?”
Related