บทที่ 17 โศกนาฏกรรมนั้นเมื่อห้าปีก่อน(2)
อาร์ทิสเห็นด้วย
นางเต็มใจที่จะวางเดิมพันสูงขึ้นหากการสนทนานี้เกิดขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อนระหว่างนางกับยมทูตนรกใต้บังคับบัญชานางผู้หนึ่ง นางคงจะตัดสินให้เขาถูกกำจัดแทบเท้าของตี้จ้างหวังผู่ซา
การอดทนอดกลั้น….คนบางคนที่ถูกขังอยู่ในลูกบอลผนึกวิญญาณไม่มีทางเลือกนอกจากก้มหัวยอมแพ้ในตอนนี้…
ผู้คนจะว่าอย่างไรกับประวัติของยมทูตคนล่าสุดกันนะ หากพวกเขารู้ว่าพรสวรรค์เฉพาะตัวของเขาคือการมีชีวิตอยู่ด้วยการโกงและการหลอกลวง?
ข่มความไม่สบายใจในใจแล้ว นางก็แค่นเสียงอย่างดูถูก “แต่ปล่อยให้เขาอยู่ไม่เท่ากับว่าหาเคราะห์กรรมให้ตัวเจ้าเองหรือไง?”
“ไม่ ๆ ๆ” ฉินเย่ส่ายนิ้วอย่างมั่นใจ “ก่อนอื่นเลย เจ้าคงลืมไปแล้วถึงเรื่องกุญแจสำคัญของคุณหวัง”
“…แล้วใครคือกุญแจสำคัญของคุณหวังล่ะ?”
“นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักหรอก ประเด็นสำคัญก็คือผู้เป็นกุญแจคือลูกชายของหวังเจ๋อหมิน และเขาก็เป็นคนเดียวที่สามารถเข้าห้องของซีอีโอหวังได้ อย่างที่สอง เขาสามารถไปในตอนกลางวันได้ ขณะที่ผีทั้งหลายยังคงซ่อนตัวอยู่
อาร์ทิสคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้…แผนนี้ช่างรอบคอบรัดกุมนัก!
“พูดอย่างมีเหตุผลก็คือ ไม่มีอะไรผิดในแผนของเจ้าหรอก แต่ด้วยเหตุผลพิลึกบางอย่าง บางอย่างเกี่ยวกับมันก็ยังรู้สึกไม่เข้าท่าอยู่ดี ข้าจะพักสักหน่อยแล้ว อย่าเรียกข้าถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่ล่ะ”
นางรู้สึกอับอายอย่างแรง
……..…………………………………..
หวังเฉิงห่าวพบว่าตัวเองสะดุ้งตื่นจากฝ่ามือของฉินเย่ที่ตบหน้าเขาเป็นจังหวะ
แต่ความจริงก็คือแก้มทั้งสองของเขาที่ร้อนผ่าวเป็นสิ่งที่เขาห่วงน้อยที่สุดในตอนนี้ เขากะพริบตาและกวาดมองไปรอบ ๆ อย่างไม่อยากเชื่อ “ฉัน…ฉันพึ่งเห็นพ่อของฉันงั้นเหรอ? เขามาทำอะไรที่นี่ล่ะ?”
เขาคู้กายราวกับกระต่ายที่อยู่ต่อหน้านักล่า ร้องขอด้วยอาการสั่นเทิ้ม “เกิดอะไรขึ้น…ฉินเย่…ฉันขอร้องนายล่ะ…ได้โปรด…ได้โปรดบอกฉันที…ฉัน…ฉันรู้สึกว่ากำลังจะเป็นบ้าแล้ว!”
ฉินเย่ตะปบแก้วของหวังเฉิงห่าวไว้และเงยหน้าของเขาขึ้นขณะจ้องมองตรงเข้าไปในส่วนลึกของดวงตา “พ่อนายเสียแล้ว แล้วแม่เลี้ยงนายก็เหมือนโดนสิง หากฉันเดาถูก นายเป็นคนเดียวเท่านั้นในครอบครัวที่ยังมีชีวิตอยู่”
หวังเฉิงห่าวอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เขากะพริบตาด้วยสายตาว่างเปล่า ทั้งร่างสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่อยู่
ความรู้สึกหวาดกลัวท่วมท้นทำให้เขาตัวสั่นไปทั้งตัว
เป็นไปได้ยังไง? เราอยู่ด้วยกันมานานมากแล้วนะ นั่น…นั่นหมายความว่าฉันอยู่กับฝูงศพมาตลอดเลยเหรอ?!
เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?!
ฉินเย่จับตามองท่าทางใจสลายของหวังเฉิงห่าวทุกอิริยาบถจากความสับสนสู่ความสิ้นหวัง และก็เป็นตอนที่น้ำตาเริ่มรื้นขึ้นมาตรงหางตาของหวังเฉิงห่าวที่ทำให้ฉินเย่ยิ้มบาง “นายอยากมีชีวิตอยู่ไหมล่ะ?”
หวังเฉิงห่าวพยักหน้าอย่างหมดรูป ด้วยเหตุผลพิกลบางอย่าง เขารู้สึกว่าอารมณ์ในตอนนี้ของฉินเย่ดูน่ากลัวไม่น้อย แม้จะมีรอยยิ้มบนใบหน้าของฉินเย่ แต่ท่าทางคุกคามของฉินเย่ก็เพียงพอที่จะทำให้กระตุ้นให้หวังเฉิงห่าวเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวเขาอย่างหมดใจ
“จุ๊ ๆ ๆ …ดูสภาพนายตอนนี้สิ ท่าทางก้าวร้าวที่นายเคยวางท่าอวดเบ่งในโรงเรียนหายไปไหนแล้วล่ะ? เงยหน้าขึ้น ยืดอก ยืนตรง!” ฉินเย่ตบบ่าหวังเฉิงห่าว “นายต้องสู้เพื่อชีวิตของนายเองถ้ายังอยากจะมีชีวิตอยู่!”
หวังเฉิงห่าวขบฟัน ถูกแล้ว…ไม่มีใครยื่นมือมาช่วยเหลือฉันได้หรอก นอกจากขอความช่วยเหลือจากคนอื่นอย่างลม ๆ แล้ง ๆ แล้ว ทำไมฉันไม่ช่วยตัวฉันเองซะล่ะ?!
ในที่สุดฉินเย่ก็วางมือลงและเอ่ยต่อด้วยท่าทีอ่อนโยน “หลังจากที่นายสู้โดยเอาทุกอย่างเข้าแลกแล้ว นายก็จะพบว่าความพยายามของนายเสียเปล่าโดยสิ้นเชิง”
สีหน้าของหวังเฉิงห่าวบิดเบี้ยวอย่างน่าสมเพชในทันที เขาอ้าปากเล็กน้อยราวกับว่าจะพูดอะไรบางอย่าง ก่อนจะพบเพียงว่าคำพูดของเขาจุกอยู่ในลำคอ ให้ความรู้สึกราวกับว่าเขาพึ่งกินอุจจาระเข้าไป แต่แล้วด้วยเหตุผลพิกลบางอย่าง มันได้ทิ้งความหวานจาง ๆ ไว้ในปากของเขา
จากนั้นรอยยิ้มของฉินเย่ก็หุบลง และเผยสีหน้าเคร่งเครียดขณะอธิบาย “ถ้านายต้องการมีชีวิตอยู่ อย่างแรกที่นายต้องทำคือไปที่ออฟฟิศของพ่อนาย แล้วบอกที่ตั้งตู้เซฟของเขา รหัสคือ 200086 นายจะเจอหินชิ้นหนึ่งอยู่ในนั้น จงนำมันมาให้ฉัน”
“ก็ได้….ฉะ…ฉันจะเป็นคนเข้าไปก่อนคนแรกในตอนเช้า….กึก ๆ ๆ ๆ….” ฟันของหวังเฉิงห่าวกระทบกันเป็นจังหวะขณะที่เขาตัวสั่นงันงก เขาหลบสายตาของฉินเย่และก้มมองขาของตนเอง “ฮ่า ๆ….ทะ…ทำไมขาของฉันสั่นแบบควบคุมไม่ได้อย่างนี้ล่ะ? ฉัน…มะ…ไม่ได้กลัวสักหน่อย….”
“ดีแล้วที่นายไม่กลัว อย่ากังวลเลย คนกล้าหาญโชคดีเสมอล่ะ คนที่ไม่มีโชคคือคนที่ตายไปแล้ว” ฉินเย่ตบบ่า “มันอันตรายเกินกว่าที่จะกลับบ้านในตอนกลางคืนเวลานี้ ฉะนั้นตอนนี้นายพักอยู่ที่นี่เถอะ”
หวังเฉิงห่าวกอดอกด้วยท่าทางเก้กังพร้อมกับพยักหน้า จากนั้นเขาก็พันผ้าห่มรอบตัวเขาแน่นเป็นดักแด้และนอนหลับด้วยอาการสั่นเทา
เมื่อถึงเจ็ดโมงเช้าในวันต่อมา หวังเฉิงห่าวก็ออกจากถนนของผู้ล่วงลับด้วยสีหน้าซีดเซียว มีตะเกียงหนึ่งในสามดวงเหนือศีรษะของเขาเท่านั้นที่ยังส่องสว่างอยู่ แต่เปลวไฟที่เหลืออยู่ก็กะพริบอย่างน่าหวาดเสียวท่ามกลางดวงตะวันที่กำลังฉายแสง ราวกับว่ามันจะดับลงได้ทุกเมื่อ
ฉินเย่ทิ้งข้อเสนอของตนไว้ให้หวังเฉิงห่าวตัดสินใจ ส่วนตัวเขาเองก็เปิดคอมพิวเตอร์ส่วนตัวและเริ่มไถผ่านฟอรัมของไฮแอตต์คอร์ปที่ยุ่งเหยิงอีรุงตุงนังเมื่อห้าปีที่แล้ว แม้ช่วงเวลาสำคัญจะหมดอายุไปตั้งแต่ตอนนั้น แต่โพสต์ในฟอรัมก็ยังไม่ถูกลบออกจากสารบบออนไลน์มากนัก เขาจึงไม่รู้ว่าจะหาสิ่งที่เขาอยากหาตรงไหนดี
เขาล็อกอินเข้าไอดีเวยป๋อและพิมพ์คีย์เวิร์ด ไฮแอตต์ ไม่นานนักโพสต์เป็นร้อย ๆ ก็ปรากฏต่อหน้า
“เจ้าเป็นสมาชิกงั้นเหรอ?” อาร์ทิสประหลาดใจไม่น้อย
“เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนที่อยู่ท่ามกลางมนุษย์มาเป็นเวลานานขนาดนี้ ข้าเป็นสมาชิกของเว็บสำคัญทั้งหมดล่ะ” ฉินเย่คลิกหนึ่งในโพสต์ที่มีคอมเมนต์เป็นพัน ๆ เจ้าของกระทู้ของโพสต์นี้ย่อมเป็นชู้รักคนนั้น
นี่น่าจะเป็นโพสต์ต้นเหตุสินะ
มันยังอยู่ในจุดเริ่มต้นของโพสต์นับร้อยทั้งหมดด้วย
เหมือนกับที่อาร์ทิสเคยบอกไว้ สัจธรรมข้อแรกที่ยมทูตนรกทุกตนต้องเรียนรู้ก็คือไม่มีอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องกับอัตตาของผี ไม่ว่าสถานการณ์ในตอนแรกจะดูพิลึกพิกลขนาดไหน กลับกัน มันเป็นอัตตาของผีโดยแท้ที่ขับเคลื่อนให้เกิดการกระทำซ้ำๆ ไม่รู้จบ รายละเอียดพวกนี้อาจนำไปสู่กุญแจสำคัญในการปลดปล่อยผีในที่สุด
แม้ฉินเย่จะเริ่มเดินหน้าด้วยความคิดที่จะขโมยป้อมจากใต้จมูกศัตรูแล้วก็ตาม เขาก็ยังต้องเตรียมการสำหรับเหตุไม่คาดฝัน ประสบการณ์ชีวิตของเขามากมายสอนเขาถึงความสำคัญของการไม่ประมาท
ฉินเย่กวาดผ่านคอมเมนต์แต่ละคอมเมนต์อย่างต่อเนื่อง สิ่งต่าง ๆ ไม่แตกต่างจากสิ่งที่เขาจำได้เลยสักนิด
“ให้ฉันพักเถอะ! คลิกเบตแบบนี้มีเกลื่อนเป็นสิบ ๆ อันแล้ว ไม่มีอะไรใหม่ๆ มาเลยหรือไง? เปลืองเซลล์สมองของฉันสิ้นดี” – ยูสเซอร์ 029344
“ฮ่า ๆ ไม่มีรูปก็ไม่ต้องมาคุยกันนะ เธอมโนว่าซีอีโอแก่ ๆ นั่นมองเธออยู่งั้นเหรอ? เธอคิดว่าตัวเองเป็นสาวฮอตหรือยังไงกัน?” – โคนัน คาเธ่ย์
“ต่อให้เป็นเรื่องจริง เธอมันก็แค่นังร่านเจ้าเล่ห์ที่หวังจะขึ้นวอเท่านั้นแหละจริงไม่จริง? เธอตกกระป๋องไปแล้ว ตอนนี้เธอยังจะมาเสนอหน้าขอความเห็นใจให้เธออีกเหรอ? ไปตายซะไป!” – ยูสเซอร์ผู้เกรี้ยวกราดมองโลกในแง่ร้าย
คำพูดรุนแรงเช่นนี้ดูราวกับมีดที่มองไม่เห็น มันถูกพ่นออกจากปากของผู้ใช้งานคนอื่นอย่างลอย ๆ แต่กลับแทงลึกเข้าไปในหัวใจของเป้าหมาย ฉินเย่เลื่อนผ่านคอมเมนต์ต่าง ๆ ด้วยอาการเรียบนิ่ง ไม่นานนักเขาก็เจอคอมเมนต์ที่มีรูปนับสิบแนบมา เขาถึงกับหยุดมือ
“อะไรกัน?”
“นี่มันน่าแปลก…” ฉินเย่มองภาพถ่ายด้วยสีหน้ามืดครึ้ม “ภาพพวกนี้น่าจะต้องแสดงถึงกิจกรรมทางเพศระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงสิ แล้วระบบเว็บก็น่าจะต้องล่มไปแล้ว นี่มันโพสต์ของชู้รักคนนั้นที่เป็นจุดสะท้อนของโพสต์นี้ทั้งหมด มันต้องเป็นเพราะภาพพวกนี้ที่ทำให้โพสต์นี้กลายเป็นไวรัสไปทั่ว แต่…ทำไมโพสต์นี้ถึงไม่โดนเซนเซอร์ล่ะ?”
ความเป็นจริงก็คือ ภาพที่ปรากฏไม่ได้แสดงกิจกรรมทางเพศระหว่างชายหญิง แต่กลับกัน…มันเป็นแค่ภาพถ่ายพื้นที่ในออฟฟิศธรรมดาเท่านั้น!
นี่คือออฟฟิศของซีอีโอหวัง
มันถูกถ่ายตอนกลางคืนที่มีแค่แสงไฟ แต่ไม่มีบุคคลอยู่ในเฟรมของภาพแม้แต่คนเดียว ทุกภาพถูกถ่ายจากมุมมองต่าง ๆ กัน ดูราวกับว่า…มีดวงตาที่มองไม่เห็นคู่หนึ่งกำลังมองพื้นที่ออฟฟิศอย่างเงียบๆ ในแต่ละคืน
“ดูนี่สิ” อาร์ทิสพลันเอ่ยขึ้นมา ฉินเย่เบนความสนใจไปตรงจุดที่อาร์ทิสชี้ และเขาก็เห็นมันทันที มันเป็นเงาสะท้อนจากหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังเก้าอี้ของซีอีโอหวัง ตรงนั้นเป็นหญิงสาวผมยาวยุ่งเหยิงยืนอย่างไร้อารมณ์ความรู้สึกภายใต้แสงสลัวในห้องด้วยอาการแขนตกห้อยต่องแต่ง
ทั้งมุมมองในรูปภาพกับแสงในภาพมีคุณภาพต่ำมาก ทำให้คนมองสามารถมองผ่านรายละเอียดไปง่าย ๆ หากไม่เพ่งมองใกล้ ๆ หญิงสาวคนนี้ใส่ชุดสีดำราวกับจะกลืนหายไปในความมืดยามราตรี! เมื่อมองใกล้ขึ้น ฉินเย่ก็มองเห็นดวงตาแดงก่ำพร่าเลือนกำลังจ้องเขม็งผ่านปอยผมไปยังเก้าอี้ที่ซีอีโอหวังใช้สร้างธุรกิจของเขา
ช่างเป็นภาพที่น่ากลัวนัก!
ภาพถ่ายนี้ไม่ได้ถ่ายด้วยฝีมือมนุษย์แต่อย่างใด มันคือวิญญาณร้ายตนนี้ที่ถ่ายภาพไปรอบ ๆ ห้องแล้วโพสต์ลงบนเว็บ แต่ถึงจะลงในที่สาธารณะ ก็ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่พบว่ามันเป็นภาพล่าสุด!
“มันเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?” ฉินเย่อึ้งไป เขามองด้านบนสุดของโพสต์ ตรงนั้นมีวันเวลาระบุเอาไว้ว่า 19 สิงหาคม 2025
“สิบวันที่แล้ว”
นี่เป็นโพสต์ของชู้รักคนนั้น และภาพถ่ายพวกนี้ก็ถูกอัปโหลดด้วยฝีมือของเธอ พูดอีกอย่างหนึ่งคือ หญิงสาวที่ตายไปแล้วเมื่อห้าปีก่อนเพิ่งแก้ไขโพสต์ของตัวเองเมื่อสิบวันที่แล้ว! ความจริงก็คือ นี่คือหลักฐานชัดเจนว่าเธอได้จ้องมองแผ่นหลังของซีอีโอหวังอย่างอาฆาตแค้นในทุกคืนตั้งแต่สิบวันที่แล้ว!
ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายราวกับว่ามีไฟลุกโชน เขารีบเลื่อนกลับไปที่โพสต์ต้นเรื่องและพินิจพิจารณามันอีกครั้ง
“เจ้าเห็นอะไรไหม?”
“เห็นสิ” ดวงตาของฉินเย่เรืองแสงวับวาวขณะชี้ไปที่จำนวนคอมเมนต์บนหน้าจอ “ถ้ามีอะไรบ่งบอกถึงตัวผมในฐานะบุคคลหนึ่ง ความจริงนั้นก็คือผมมีความจำค่อนข้างดีอยู่ หากผมจำไม่ผิด…จำนวนโพสต์เมื่อก่อนหน้านี้คือ 8,472”
“พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ มีคน 8,472 มาคอมเมนต์หรือตอบโพสต์นี้เพราะว่าถูกดึงดูดเข้ามา แต่ตอนนี้…เจ้าเห็นตัวเลขไหม?”
8,473!
กล่าวอีกด้านหนึ่งก็คือ นับจากเวลาที่เขาเข้ามาในโพสต์ที่ร้างไปแล้ว บางคน…หรือบางสิ่ง…ได้คอมเมนต์มันอย่างเงียบ ๆ อีกครั้ง
จากกฎของเว็บ โพสต์ต้นเรื่องจะถูกดันขึ้นมาอยู่ในหน้าแรกของเว็บทันทีที่มีคนคอมเมนต์หรือตอบกลับ นี่คือนิยามของคำว่าเลื่อนโพสต์
แต่ว่า โพสต์นี้กลับไม่เลื่อน
ฉินเย่สูดหายใจลึกและเลื่อนลงไปหาหน้าสุดท้ายของโพสต์ เมื่อหน้าสุดท้ายโหลดขึ้นมา เขาก็เห็นคอมเมนต์หลายอย่างยาวพรืดเป็นแถวเดียว ซึ่งมันถูกพิมพ์ด้วยอักษรสีแดงเลือดและมีลายเซ็นของ…
ชู้รักคนนั้น!
จะเป็นใครอื่นไปได้นอกจากหญิงสาวที่ตายไปเมื่อห้าปีที่แล้วคนนั้น!
“ฉะ…ฉันกลับมาแล้ว…”
“ฉันไม่ได้โกหก…”
“ฉันได้ตัวเขาแล้ว…”
“คืนนี้…”
และคอมเมนต์สุดท้ายคือคอมเมนต์ที่เพิ่งโพสต์
“ฉันรู้…ว่าคุณกำลังมองอยู่…”
และตอนนี้ก็เป็นเวลากลางวัน
มันเป็นเวลากลางวันบนถนนของผู้ล่วงลับ
แสงแดดสว่างจ้าฉายเข้ามาในร้านชีวิตหลังความตายของฉินเย่ ฉายลงมาบนตุ๊กตารับใช้กระดาษ ม้ากระดาษ ที่จุดไฟ ธูปและเทียน ดูราวกับทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยหมอกจาง ๆ สีขาว มันเป็นเวลากลางวันแสก ๆ แต่ภายในห้องกลับเงียบงันอย่างน่าอึดอัด ความเย็นเยือกราวขุมนรกอวลในอากาศ
“ให้ตายสิ มีบางอย่างจริง ๆ ด้วย” อาร์ทิสอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะขำ
“นั่นแหละคืออารมณ์บางส่วนของเธอ นานมาแล้วนับตั้งแต่ที่ฉันได้เห็นผีตนหนึ่งกล้าท้าทายยมทูต โอ้ จริงสิ นับจากเวลาที่เธอกลายเป็นวิญญาณร้าย ข้าก็เกรงว่าเธออาจไม่ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับนรกด้วยซ้ำ เมื่อดูจากตอนนี้แล้ว ข้าเกรงว่ามีเพียงผีอายุอย่างน้อยหนึ่งศตวรรษเท่านั้นแหละที่รู้จักเกรงกลัวต่อนรก”
ฉินเย่อึ้งไปกับเรื่องนี้เช่นกัน เป็นเวลาหลังจากที่เขาได้อยู่ในนรกด้วยตัวเองเท่านั้นเขาจึงรู้ว่ามันน่ากลัวเพียงใด ตุลาการนรกอย่างอาร์ทิสเคยถูกเนรเทศให้ไปซ่อนตัวอยู่ในหุบเหวลึกเพื่อความอยู่รอด ขณะที่ราชันผีชั้นหกเป็นสิ่งที่มีพลังอำนาจเพียงพอที่จะกำจัดตุลาการนรกด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว และนี่ก็ไม่รวมไปถึงยมราชแห่งวังทั้งสิบและจ้าวนรกที่ปกครองพวกเขาทั้งหมด
นรก แม้แต่ยายเมิ่งก็เป็นคนที่ทำให้ทุกคนต้องตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัวตั้งแต่แรกเห็น แล้วผีตนนี้มันมีน้ำยาอะไรถึงกล้าท้าทายองค์กรธรรมชาติอย่างนรกกัน?
ช่างหัวนางเถอะ!
นิ้วของฉินเย่รัวลงบนหน้าจออย่างรวดเร็ว “เธอคงไม่เคยได้ยินฉันมาก่อน ไม่เป็นไร ฉันให้โอกาสเธอเปิดเผยตัวเองแล้วกัน คืนนี้ตอนเที่ยงคืน เมื่อจันทร์ฉายแสงเหนือต้นหลิวและโลกตกอยู่ในความหลับใหล เธอว่าอย่างไรล่ะ?”
ไม่มีการตอบสนอง ราวกับว่าคอมพิวเตอร์ของอีกฝ่ายได้ล่มไป
บางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังให้ความรู้สึกพิกลอยู่…
ไม่กี่วินาทีต่อมา อักษรสีแดงอีกบรรทัดหนึ่งก็ปรากฏขึ้น “ดูที่โทรศัพท์ของคุณสิ”
เมื่อเขาอ่านคำตอบของผีแล้ว โทรศัพท์ของเขาก็แผดลั่นด้วยเสียงดังระดับสูงสุดในทันที
แทนที่จะรับสายในทันที ฉินเย่เหลือบมองนาฬิกาบอกวันที่บนผนังที่แขวนอยู่ด้านหลังเขา “เลขสิบสองแล้ว”
อาร์ทิสรับรู้ความสำคัญของมันในทันที มีบางสิ่งไม่เป็นไปตามแผน
มันเป็นเวลาห้าชั่วโมงแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ได้รับการโทรเข้าภายในเวลาแม้แต่สายเดียว ดูจากความหวาดกลัวที่หวังเฉิงห่าวมีแล้ว เขาต้องโทรหาฉินเย่ทันทีที่ภารกิจสำเร็จแน่นอน โชคร้ายที่ฉินเย่ไม่ได้รับสายจากเขาเลย…
ฉินเย่ถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าเขาจะดวงจู๋เสียแล้วล่ะ เขาตายหรือยังนะ?”
อาร์ทิสขบขันอย่างดูถูก “ข้าพยายามจะไม่ดูถูกผีตนนี้นะ มันก็แค่การฆ่ามนุษย์ในตอนกลางวันแสก ๆ เป็นสิ่งที่แม้แต่ข้ายังไม่คิดที่จะกระทำ ดังนั้นแล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่มันจะทำแบบนี้ได้ด้วยความสามารถขี้ปะติ๋วของมัน?”