บทที่ 203: การก่อจลาจลของวิญญาณ (1)
โดยไม่รีรอ ฉินเย่รีบใช้เศษตราจ้าวนรกอย่างรวดเร็ว และเขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูนรกภายในสิบวินาที
ตูม!! ทันทีที่เขาไปถึง เขาก็ได้ยินเสียงดังสนั่นมาจากทุกทิศทาง ตอนนี้ฉินเย่กำลังยืนอยู่ที่ด้านหน้าของประตูนรก และเขาก็สามารถบอกได้ว่าม่านพลังถูกเปิดใช้งานแล้ว สายลมนรกที่น่าขนลุกพัดผ่านไปทั่วทั้งดินแดน อักขระภาษาสันสกฤตสีขาวและสีทองก่อตัวเป็นกำแพงที่ตกลงมาตามม่านพลังตรงหน้าที่ปรากฏระลอกคลื่นให้เห็นอย่างต่อเนื่อง
ระลอกคลื่นที่เห็นได้ชัดว่าเกิดจากที่ใครบางคน หรือบางสิ่งกำลังกระแทกเข้ากับม่านพลังอย่างไม่หยุดหย่อน และมันก็ไม่ได้เกิดจะแหล่งกำเนิดเดียว ในความเป็นจริง มันแทบจะเหมือนกับหยาดฝนนับไม่ถ้วนที่ตกกระทบลงกับผิวน้ำ กระทบกันอย่างไม่รู้จบ
“นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น?!” ฉินเย่หันหลังกลับไปมองเพียงเพื่อที่จะพบว่าผู้ตรวจสอบอดีตกรรมกว่า 200 ตนลุกขึ้นยืนทันที ที่ได้ยินเสียงตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยวของเขาก่อนที่ทั้งหมดจะคุกเข่าลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว ซูตงเซวี่ยคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเจ้าหน้าที่ทั้งหมดและอธิบายด้วยใบหน้าซีดเผือด “นายท่าน…ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก…ทุกอย่างเกิดขึ้นเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ มีเสียงที่ฟังดูเหมือนคนทะเลาะกันดังขึ้น จากนั้น…มันก็กลายเป็นการต่อสู้ เมื่อเหล่าหัวหน้าแผนกของบริษัทก่อสร้างหยินพยายามที่จะไกล่เกลี่ยสถานการณ์ พวกเขาก็ถูกดึงเข้าไปร่วมด้วยเช่นกัน…”
นางมองไปรอบ ๆ อย่างหวาดกลัว และในตอนนั้น รอบข้างก็เกิดเสียงดังสนั่น ม่านพลังสีขาวที่อยู่รอบประตูนรกสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงราวกับฟ้าจะถล่มลงมา ผู้ตรวจสอบอดีตกรรมหลายตนกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว และมีบางตนที่แทบจะลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ!
“คุกเข่า!!” เสียงของฉินเย่ดังกึกก้อง เปลวไฟสีเขียวหยกที่แขวนอยู่บนรูปปั้นทั้งหมดวูบไหวอย่างรุนแรง เกิดเป็นเงาดำมืดปกคลุมทั้งโถงกลางเอาไว้
ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรออกมา ฉินเย่ไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอกเลยไม้แต่น้อย เขาค่อย ๆ เดินไปที่หน้าประตูนรก ผ่านหน้าเหล่าผู้ตรวจสอบอดีตกรรมที่ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นทีละตน วิญญาณทั้งหมดตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวอย่างไม่สามารถห้ามได้
“ดูพวกเจ้าสิ” ฉินเย่แค่นหัวเราะเสียงเย็น “ผู้ตรวจสอบอดีตกรรม…ตัวแทนของยมโลก แต่พวกเขากลับไม่สามารถกระทำตนได้อย่างเหมาะสม เมื่อเผชิญหน้ากับการก่อจลาจลของเหล่าวิญญาณด้านนอก! พวกเจ้าไม่ต่างอะไรกับกระต่ายที่เป็นลมหมดสติไปเลยสักนิด!”
“ข้ายังไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาสักคำ และข้าก็ไม่ได้หันหลังและหนีไป แล้วพวกเจ้ากลัวอะไรกันนักหนา?!”
เสียงตำหนิที่ทรงพลัง แต่กลับสามารถข่มหัวใจของเหล่าผู้ตรวจสอบอดีตกรรมสงบลงได้อย่างน่าประหลาด ฉินเย่สังเกตเห็นว่าลมหายใจของเจ้าหน้าที่ทั้งหมดค่อย ๆ สงบลง เขาสามารถบอกได้เลยว่าม่านพลังยังคงกระเพื่อมอย่างต่อเนื่อง จากการจู่โจมของเหล่าวิญญาณ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมันแต่อย่างใด เด็กหนุ่มหันกลับไปหาซูตกเซวี่ยอีกครั้งและเชิดหน้าขึ้น “พูดต่อสิ”
“รับทราบ” น้ำเสียงของซูตงเซวี่ยดูสงบลงกว่าเดิมมาก นางเอ่ยต่อด้วยเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม “ตอนแรกพวกเราคิดว่ามันไม่ต่างอะไรกับการทะเลาะและสู้กันของวิญญาณทั่วไป แต่แล้ว…หลังจากผ่านไปเพียงครึ่งชั่วโมง ที่ใจกลางของวงล้อมก็เกิดประกายแสงสีดำขึ้นก่อนจะเกิดเป็นลมพายุที่ทรงพลังพัดผ่านไปทั่ว หลังจากนั้นเราก็เริ่มรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนบนพื้น ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างกำลังพุ่งตรงมาที่นี่ และก็เป็นตอนนั้นเองที่ม่านพลังปรากฏขึ้น”
ฉินเย่พยักหน้า “หัวหน้าแผนกทั้ง 7 ของบริษัทก่อสร้างหยิบกลับมาครบหรือยัง? แล้วผู้อาวุโสกู่ล่ะ? เขาได้รับบาดเจ็บอะไรหรือไม่?”
“นายท่าน ข้ารับใช้ของท่านอยู่ที่นี่แล้ว” เสียงที่ค่อนข้างอ่อนน้อมถ่อมตนของกู่ชิงดังมาจากโถงเสริม ฉินเย่รีบเดินไปหาอีกฝ่ายทันที กู่ชิงและหัวหน้าแผนกทั้งเจ็ดต่างมีใบหน้าซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว และกำลังพูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ด้านหลังของห้องโถงรวมอย่างระส่ำระสาย
เขามองไปรอบ ๆ และพบว่าที่ด้านหลังของโถง มีโต๊ะขนาดหนึ่งตารางเมตรวางอยู่พร้อมกับมีแบบวาดทางวิศวกรรมกางอยู่ด้านบน นอกจากนี้ยังมีปากกาหลายด้ามวางกระจัดกระจายอยู่รอบ ๆ ดูเหมือนว่ากู่ชิงจะเริ่มวาดแผนการออกแบบสำหรับยมโลกแล้ว
“มีใครได้รับบาดเจ็บหรือไม่?” เขารู้สึกราวกับมีคนยกก้อนหินที่หนักอึ้งออกไปจากใจของเขา กู่ชิงปลอดภัย…เขาโชคดีจริง ๆ ที่ผู้ที่มีความสามารถระดับชาติของเขามาที่เมืองเป่าอัน และการรักษาดวงวิญญาณของชายสูงวัยเองก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน เขาคงจะควักหัวใจของใครบางคนออกมาแน่ หากเกิดอะไรขึ้นกับคนตรงหน้า
“การก่อจลาจลของวิญญาณ” กลุ่มก้อนพลังหยินรวมตัวเข้าด้วยกันกลางอากาศ ก่อนจะกลายเป็นกระแสน้ำวนที่อาร์ทิสก้าวออกมา นางถอนหายใจ “นี่คือปัญหาที่ยมโลกใหม่ทั้งหมดจะต้องพบเจอ อันที่จริงเจ้าสามารถพูดได้เลยว่าจนกว่าที่ยมโลกจะถูกก่อตั้งขึ้นใหม่อย่างเป็นทางการ เราจะพบเจอกับเรื่องแบบนี้จนกลายเป็นเรื่องปกติเชียวล่ะ แต่ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่เรายังอยู่ ผู้ที่ปลุกระดมจนก่อให้เกิดการจลาจลและการกบฏก็คือชิ้นเนื้อดี ๆ นี่เอง แต่ว่า…”
นางเอียงร่มกระดาษของตนไปด้านข้างเล็กน้อย เผยให้เส้นผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงราวกับอสรพิษที่ดุร้าย พลังหยินปริมาณมหาศาลหลั่งไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดอย่างต่อเนื่อง ขณะที่จ้องไปยังเหล่าวิญญาณที่อยู่ภายในห้องอย่างน่ากลัว “มันเกิดเรื่องบ้านี่ขึ้นได้อย่างไร! ใครสักคนในที่นี้รีบอธิบายมาซะ!”
“มัน…” ขณะที่หูเฟิงกำลังจะเอ่ยออกมาเขาก็เผลอสบตากับฉินเย่ และนั่นทำให้เขารีบก้มหน้าทันที “เป็นข้ารับใช้ของท่านเองที่ไร้ความสามารถ…”
ผู้นำของพวกเขาไม่มีทางผิด ผู้ที่ผิดคือตัวเขาเอง…
“ไม่ว่ามันจะเป็นผลมาจากการไร้ความสามารถของเจ้าหรือไม่นั้น พวกข้าจะตัดสินใจด้วยตัวเอง” ฉินเย่วางมือลงบนโต๊ะเบา ๆ “พูดความจริงมา หากเจ้าปกปิดรายละเอียดแม้เพียงเล็กน้อย…”
แววตาของเขาเป็นประกายเย็นยะเยือก “เจ้าก็จงไปรวมกับพวกวิญญาณข้างนอกนั่นซะ”
ฉินเย่ไม่คิดว่าการก่อจลาจลของวิญญาณจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ แต่มันก็เป็นเพราะสิ่งนี้ที่ช่วยเพิ่มเหตุผลให้เขาในการรีบสร้างฐานอำนาจที่มั่นคงของตัวเองขึ้นในยมโลกโดยเร็วที่สุดเสีย เพราะสุดท้ายแล้วในยมโลก…ก็ต้องมีแค่เสียงของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น!
“รับทราบ” หูเฟิงสูดหายใจเข้าช้า ๆ และลุกยืนขึ้น “ที่จริงแล้วสาเหตุของมันนั้นเล็กน้อยมาก…ข้อพิพาททั้งหมดเกิดขึ้น…เพราะสิทธิ์ในการใช้เครื่องขุด”
“นายท่าน…ทั้งหมดเป็นเพราะผมไม่สามารถจัดวางคนในแผนกได้อย่างเหมาะสม พวกเขาจึงว่างงานมานานเกินไป เดิมทีแล้วกลุ่มที่ 2 จะได้รับมอบหมายในการใช้เครื่องขุดในวันนี้ แต่มันกลับบังเอิญที่ว่ากลุ่มที่ 1 ยังทำงานของพวกเขาไม่เสร็จ ดังนั้นผมจึงคิดว่าจะให้พวกเขาทำงานส่วนของตนให้เสร็จก่อน แล้วจึงค่อยส่งมอบเครื่องขุดให้กับกลุ่มที่ 2 ผมไม่คิดเลยว่าหัวหน้าของกลุ่มที่ 2 จะรู้สึกไม่พอใจกับการตัดสินใจนี้และรวบรวมคนงานในกลุ่มของเขาทั้งหมดเพื่อสร้างความวุ่นวายขึ้นในพื้นที่ก่อสร้าง ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฝั่งไหนเป็นฝ่ายเริ่มต่อว่ากันก่อน แต่สถานการณ์ทั้งหมดกลับกลายเป็นการทะเลาะวิวาทกันอย่างรวดเร็ว…”
“ตอนแรกมันมีวิญญาณเพียงแค่สองตนเท่านั้น แต่ในไม่ช้า วิญญาณนับร้อยก็เข้าร่วมวงวิวาทนี้ด้วย…และในที่สุด…วิญญาณกว่าพันตนก็เริ่มก่อจลาจลและต่อสู้กัน พวกเรารู้สึกได้ทันทีว่ามันมีบางอย่างผิดปกติ แต่เราก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าควรจะแก้มันตรงไหน จากนั้นขณะที่เรากำลังจะรายงานท่าน แสงสีดำบางอย่างก็ระเบิดออกมาจากใจกลางวงล้อมนั้น และพวกเราก็แทบจะไม่สามารถกลับเข้ามาในม่านพลังได้ทันเวลา”
ฉินเย่ขมวดคิ้วยุ่ง หัวใจของเขากลับมารู้สึกหนักอึ้งอีกครั้ง
เขารู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องเป็นเช่นนี้…เขารู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องเกิดขึ้นจากปัญหาที่เล็กน้อยที่สุด!
ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีจากศีลธรรมสลายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อปราศจากการควบคุมของกฎหมาย และสิ่งนี้ก็ถูกกระตุ้นให้เกิดขึ้นโดยความเกียจคร้านและความเซื่องซึมที่เพิ่มขึ้นของเหล่าวิญญาณที่อยู่โดยรอบ ไม่มีใครต้องกังวล ไม่ว่าจะเรื่องอาหารหรือเสื้อผ้าที่ตนสวมใส่ พวกเขาเพียงนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ สงสัยเกี่ยวกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึงของตัวเองตลอดทั้งวัน จิตใจของพวกเขาที่เคยลุกโชนด้วยความมุ่งมั่นเกี่ยวกับโครงการสวนจี้ชั่ง แต่หลังจากผ่านไปหลายเดือน เปลวไฟแห่งความมุ่งมั่นของพวกเขาก็ค่อย ๆ หายไป เขาสามารถเดาได้เลยว่าวิญญาณทุกตน ไม่พึงพอใจกับความเป็นผู้นำของเขาเป็นอย่างมาก
“คำพูดนั้นไร้ค่า ลงมือทำสิถึงจะถูก!”
“ใช่แล้ว! ตอนนี้พวกเราไม่มีหลังคาคุ้มกะลาหัวด้วยซ้ำ พวกเราต้องพบเจอกับสิ่งพวกนี้ทั้งวัน นี่มันเป็นสถานที่แบบไหนกัน?!”
“นี่คือที่ที่ทุกคนต้องมาอยู่หลังจากที่ตายอย่างนั้นหรือ? ช่างดูดีกว่าที่ฉันคิดไว้เสียอีก! และนี่มันอะไร…พวกเขาสร้างบ้าน แล้วพวกเราก็นั่งรออยู่ใต้ต้นไม้เฉย ๆ อย่างนั้นหรือ? นี่มันบ้าอะไรเนี่ย?!”
นั่นคือสิ่งที่มนุษย์ควรจะเป็น มนุษย์ไม่เคยทุกข์จากการขาดแคลน พวกเขาทุกข์จากความไม่เท่าเทียม…
เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเห็นกลุ่มผู้ตรวจสอบอดีตกรรมเดินไปมาด้านในของประตูนรก พูดคุยและหัวเราะกันไปมา วิญญาณที่อยู่ด้านนอกต่างก็เริ่มรู้สึกอิจฉาและความอิจฉานั้นก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งนี้เป็นเหมือนกับดินปืนที่ก่อตัวขึ้น พร้อมที่จะระเบิดทันทีที่เกิดประกายไฟเพียงเล็กน้อย
ไม่มีใครสามารถทนต่อความน่าเบื่อเป็นเวลานาน ๆ ได้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมทุกคนถึงต่อสู้กันเพื่อใช้เครื่องขุด พวกเขาต้องการทำอะไรสักอย่าง พวกเขาต้องบางสิ่งบางอย่างเพื่อเสริมสร้างชีวิตของตัวเอง และสิ่งที่ดูเหมือนจะไม่สำคัญนี้ก็คือฟางเส้นสุดท้าย…ที่จุดชนวนเหตุการณ์ทั้งหมดขึ้น
และดินปืนแห่งความไม่พอใจก็ระเบิดโดยปราศจากการแจ้งเตือน
เขาครุ่นคิดทุกอย่างภายในหัว จากนั้นจึงถอนหายใจออกมาขณะที่ลุกขึ้นยืน “อยู่ที่นี่ อย่าออกไปนอกประตูนรก ข้าจะไปจัดเรื่องข้างนอก”
ทั้งเขาและอาร์ทิสเดินออกมาจากประตูนรก และรีบตรงไปที่ม่านพลังสีขาวเพื่อดูสถานการณ์ด้านนอก ทุกสิ่งทุกอย่าง….มันเละเทะไปหมด!
เปลวไฟนรกจำนวนนับไม่ถ้วนลอยขึ้นไปบนฟ้า ขณะที่กระแสพลังหยินพุ่งสูงขึ้นเกือบ 20 เมตรโอบล้อมดินแดนไว้! มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมองเห็นว่าสิ่งที่อยู่ท่ามกลางทั้งหมดนั้นคืออะไร เว้นแต่ใบไม้สีแดงหรือกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาให้เห็น รวมไปถึง…ดวงตาสีทองขนาดเท่าโคมไฟที่กะพริบบางเป็นครั้งคราว
เมื่อครู่นี้ คลื่นพลังหยินที่ดำมืดกระแทกเข้ากับม่านพลังที่อยู่รอบ ๆ ประตูนรก แต่เขาก็ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าสาเหตุที่แท้จริงของมันคืออะไร
“มันคืออะไร?” ฉินเย่เอ่ยออกมาอย่างหงุดหงิด เขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน!
“ท่านหมิง” อาร์ทิสไม่ได้ตอบคำถามของเขา ทว่าทันทีที่นางเอ่ยออกมา ลำแสงสีขาวก็ปะทุออกมาจากจุดสูงสุดของประตูนรกราวกับพระอาทิตย์ขึ้น หมิงชีหยินส่องลำแสงไปยังจุดหนึ่งบนพื้น สลายทะเลพลังหยินและเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายใน
ณ จุดนั้น ในกลางของคลื่นพลังหยิน…คือโครงกระดูกขนาดใหญ่ที่ยาวประมาณ 40-50 เมตร มันคลานไปตามพื้น ส่งเสียงกรีดร้องออกมา ขณะที่เหวี่ยงหมัดใส่ม่านพลังสีขาวอย่างบ้าคลั่ง!
ครื้นนนน!!!
ม่านพลังสั่นสะเทือนอีกครั้ง ฉินเย่มองเห็นวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนแหวกว่ายไปตามรอยแยกของโครงกระดูกยักษ์ตรงหน้า เปลวไฟนรกลุกโชนไปทั่วร่างของมัน โครงกระดูกดังกล่าวมีเพียงแค่ส่วนบนของร่างและดวงตาสีทองคู่หนึ่งเท่านั้น พร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้น วิญญาณจำนวนมากจะหลั่งไหลออกมาและพุ่งเข้าหาม่านพลังอย่างรุนแรง
“น่าตกใจใช่หรือไม่?” ตัวหนังสือสีแดงปรากฏขึ้นบนพื้น เห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือของหมิงชีหยิน “สิ่งนี้เรียกว่าหุ่นเชิดหยิน เจ้าคิดหรือว่าการจลาจลของวิญญาณที่เกิดขึ้นโดยวิญญาณหมื่นกว่าตนจะเป็นเพียงแค่การวิ่งชนเข้ากับประตูนรก? เจ้าคิดว่ามันจะเรียบง่ายขนาดนั้นจริง ๆ น่ะหรือ? โง่เง่าสิ้นดี”
อาร์ทิสเอ่ยต่อจากจุดที่หมิงชีหยินพูดค้างไว้ “วิญญาณที่ยังมีสติสัมปชัญญะทุกตนล้วนมีความปรารถนาเป็นของตัวเองทั้งสิ้น เมื่อความปรารถนานั้นมาถึงจุดสูงสุด ร่างวิญญาณของพวกเขาก็จะไม่สามารถรองรับมันได้อีกต่อไป ลองคิดแบบนี้ดู ร่างของวิญญาณประกอบไปด้วย 3 จิต 7 วิญญาณ[1] และ 7 อารมณ์กับ 6 ความปรารถนา [2] การรวมกันของทั้งสองสิ่งนี้ก่อให้เกิด ‘วิญญาณ’ ที่ไม่มีร่างจริง เมื่อตัวประกอบใดตัวประกอบหนึ่งเพิ่มขึ้นสูงเกินขอบเขตที่วิญญาณจะสามารถทนได้ มันก็จะระเบิดเป็นตัวบ่งชี้เฉพาะที่รู้จักกันในชื่อของอนุภาคแห่งเต๋า การระเบิดของประกายแสงสีดำที่ซูตงเซวี่ยพูดถึงก็คือการแสดงถึงตัวบ่งชี้เฉพาะพวกนี้”
“อนุภาคแห่งเต๋าพวกนี้จะดึงดูด ผู้ที่มีความปรารถนาที่คล้ายคลึงกันที่อยู่รอบ ๆ เข้าด้วยกัน ทันทีที่ความปรารถนาพวกนี้เกินสมดุล มันก็จะกระตุ้นให้เกิดการก่อจลาจลของวิญญาณ ซึ่งรูปแบบของมันจะขึ้นอยู่กับอารมณ์ที่แสดงออก มันสามารถเป็นหนึ่งในอารมณ์เชิงลบทั้ง 5 อย่างความโกรธ ความวิตกกังวล ความโศกเศร้า ความหวาดกลัว หรือความตื่นตระหนกก็ได้ พวกมันจะปรากฏขึ้นในรูปร่างของสัตว์ประหลาดหรือมารที่รู้จักกันในนามชี่ เหม่ย หวัง เหลี่ยง อวี้ [3] โดยมารแต่ละตนจะถูกแยกเป็นระดับตามจำนวนวิญญาณที่ก่อตัวขึ้น โดยมีตั้งแต่ 1 แสน 1 ล้าน 10 ล้าน ทั้งหมดนี้แสดงถึงสามระดับความรุนแรงของเหตุการณ์ตั้งแต่ การก่อจลาจล การก่อกบฏ และการก่อการกำเริบตามระดับ”
ฉินเย่อ้าปากค้าง
เขาไม่คิดเลยว่าเหตุจลาจลในยมโลกจะเป็นเช่นนี้ นี่มันแตกต่างของการก่อจลาจลในแดนมนุษย์อย่างสิ้นเชิง!
“แล้วเราต้องทำอย่างไร?”
“ฆ่ามัน” อาร์ทิสเอ่ย ขณะมองไปยังโครงกระดูกขนาดใหญ่ที่ยังคงคลานอยู่ที่พื้น “นี่คือการก่อตัวของความโกรธ และชื่อมันก็คือความโกรธแค้น เมื่ออยู่ในรูปนี้มันจะไม่สามารถเปลี่ยนกลับไปเป็นแบบเดิมได้อีก”
“เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นทุกปีในดินแดนอันกว้างใหญ่ของยมโลก นี่คือเหตุผลว่าทำไมกองกำลังรักษาความสงบถึงเป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ในยมโลก ตอนนี้ยังไม่เป็นไร แต่เมื่อยมโลกเริ่มขยายตัว และอสูรวิญญาณเริ่มปรากฏขึ้น…เชื่อเถอะ พวกมันจะเป็นเหมือนกับปรอท กระจายตัวไปทั่ว เมื่อปราศจากกองกำลังที่แข็งแกร่งและแม่ทัพที่มีฝีมือ ไม่ช้าก็เร็ว…ยมโลกจะกลายเป็นเพียงดินแดนที่ถูกทำลาย”
จากนั้น นางก็จ้องเข้าไปในตาของฉินเย่ก่อนจะเอ่ยต่อ “ทีนี้เจ้าเข้าใจหรือยังว่าเหตุใดข้าจึงตื่นเต้นมากเมื่อได้เห็นถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีนัก?”