บทที่ 210: ส่งเล่มวิจัยครั้งที่หนึ่ง (1) อาร์ทิสแทบจะร้องออกมาอย่างตกตะลึงทันทีที่พวกนางกลับเข้าไปในห้องของหลินฮั่น คำว่า ‘รก’ ไม่สามารถบรรยายสภาพของความวุ่นวายภายในห้องได้เลยสักนิด ถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปวางกลาดเกลื่อนเต็มไปหมด เศษขี้เถ้ากองอยู่ทั่วทุกที่ ในขณะที่หน้ากระดาษที่เต็มไปด้วยรอยขีดเขียนถูกวางกระจัดกระจายอยู่ทุกมุมของห้อง และนี่ยังไม่ได้พูดถึงกองหนังสือที่วางกองกันอยู่ที่พื้นด้วยซ้ำ “ความเป็นไปได้ของความหลากหลายของวิญญาณ” “วิญญาณยังคงมีความเคยชินและนิสัยเดิมของตนในชาติที่แล้วของตนอยู่หรือไม่?” และ “จะสามารถหาความแตกต่างของวิญญาณได้อย่างไร?” หนังสือทั้งหมดดูใหม่มาก และเห็นได้ชัดว่าพวกมันคงถูกซื้อมาไม่ถึงห้าวัน มีหนังสือแนวนี้กว่า 30 เล่มที่วางเรียงรายอยู่บนพื้น และสิ่งที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือ เห็นได้ชัดเลยว่าพวกมันถูกอ่านแล้วทั้งหมด หนังสือที่เปิดอยู่บางเล่มยังมีแม้กระทั่งการพับที่มุมหน้ากระดาษเพื่อง่ายต่อการอ้างอิงอีกด้วย ภายในห้องถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศทางวิชาการอย่างรุนแรง “นี่เจ้าทำมันจริง ๆ หรือ?” อาร์ทิสกระซิบเสียงเบา “แน่นอน!” ฉินเย่กัดฟันแน่นและตอบเสียงเบา “ข้าคืออาจารย์เพียงคนเดียวในสำนักที่คิดหัวข้อวิจัยนี้ขึ้น และตอนนี้ศาสตราจารย์ทั้งหมดก็กำลังจับตาดูข้าอยู่! นอกจากนี้สำนักฝึกตนแห่งแรกนั้นแตกต่างจากสถาบันการศึกษาอื่น ๆ ในประเทศ ข้าลองหางานวิจัยที่เคยถูกตีพิมพ์เมื่อไม่นานมานี้ และทุกประโยคที่ถูกเขียนลงไปล้วนอ้างอิงจากข้อเท็จจริงและมีเอกสารประกอบอย่างดี! ให้ตายเถอะ…นี่มันเป็นวัฏจักรแห่งความตายที่ไม่มีที่สิ้นสุดชัด ๆ!” “นี่คุณประสาทหลอนไปแล้วหรือไง?” ซู่เฟิงเงยหน้าจากแล็ปท็อปของตัวเองและจิบกาแฟดำที่เข้มข้นของตัวเองอึกหนึ่ง ดวงตาของเขาแดงก่ำ “เรียนรู้ที่จะคุยกับอากาศแล้วเหรอ? เอาล่ะ มานั่งนี่ได้แล้วหากยังมีชีวิตอยู่! ผมจะบอกให้เลยนะ ตอนนี้…ผู้เขียนร่วมทั้งสองคนกำลังทำงานหนักพอ ๆ กับผู้เขียนหลักแล้ว!” “ปล่อยเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่” อาร์ทิสกระซิบทันทีที่เสียงกดแป้นพิมพ์ของแล็ปท็อปดังขึ้นอีกครั้ง “ให้พวกเขาพักก่อน เจ้าต้องรักษาสมดุลระหว่างการทำงานและการพักผ่อนด้วย เจ้าจึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดี…นี่พวกเจ้าทำแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว? ข้าจำได้ว่าเจ้าไม่ได้กลับไปที่ห้องตั้งแต่เมื่อสองวันที่ผ่านมาใช่หรือไม่?” ฉินเย่คลึงหัวคิ้วของตนและถอนหายใจออกมา “ตลอดสามวันที่ผ่านมา พวกเราได้นอนไปทั้งหมดประมาณ 12 หรือ 13 ชั่วโมง เอกสารเชิงวิชาการพวกนี้มีเนื้อหาเยอะมาก เมื่อท่านได้ลงมือทำมันแล้วเท่านั้นท่านถึงจะตระหนักได้ว่ามหาสมุทรแห่งความรู้นั้นกว้างใหญ่มากเพียงใด…” “ซู่เฟิง หลินฮั่น พวกคุณไปพักสักหน่อยเถอะ เดียวผมจัดการเอง และเดี๋ยวผมโทรหาอีกที” ฉินเย่เอ่ยออกมาเสียงดัง สิ้นสุดเสียงพูด ร่างสองร่างก็พากันเดินไปที่เตียง ภายในไม่ถึงหนึ่งนาที เสียงกรนเบา ๆ ก็ดังขึ้นให้ได้ยิน ฉินเย่นั่งลงตรงหน้าแล็ปท็อปของซู่เฟิง และเขาก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังแชทคุยกับเถาหรานอยู่ บทสนทนาของทั้งคู่ล้ำลึกเป็นอย่างมาก มีตั้งแต่การค้นพบครั้งแรกของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติไปจนถึงการแพร่ระบาดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติไปทั่วทั้งประเทศ นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงคดีหลายคดีที่คล้ายคลึงกับ “ภารกิจเขตไล่ล่าที่สาบสูญ” ที่เมืองไดซานและตัวอย่างอื่น ๆ อีกด้วย เขาเลื่อนดูบทสนทนาทั้งหมดและพบว่ามันมีหลายสิบหน้า แม้แต่ศาสตราจารย์เองก็กำลังช่วยเราสินะ…เขามองไปยังกองหนังสือมากมายที่อยู่ข้างเตียง ไม่จำเป็นต้องพูด ทั้งหมดนี่ถูกซื้อมาโดยเถาหรานทั้งสิ้น ความรับผิดชอบนั้นเป็นสิ่งที่น่าสนใจ บางครั้ง มันก็อาจเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยากสำหรับคนบางคน แต่บางครั้งมันก็อาจเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและไม่สามารถต้านทานได้ บางทีแรกบันดาลใจแรกเริ่มในการคิดหัวข้อวิจัยนี้ของฉินเย่อาจเกิดขึ้นโดยความต้องการที่จะเปิดเส้นทางการค้าทองคำของไม้ฮวงหัวลี่ และการประมูลถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีมา แต่ตอนนี้ หลังจากที่ใช้ความพยายามอย่างหนัก เขาต้องการที่จะได้เห็นผลผลิตจากความพยายามของตัวเองอย่างถึงที่สุด และเผยแพร่เล่มวิจัยของเขาลงในหนังสือพิมพ์ผู้ฝึกตนรายสัปดาห์อย่างแท้จริง ก๊อก ก๊อก…เสียงเคาะประตูดังขึ้น หวังเฉิงห่าวเดินเข้ามาและพบว่าอาจารย์ทั้งสองท่านของตนหลับอยู่ เขาจึงยื่นแฟ้มในมือของตนให้กับฉินเย่และกระซิบเสียงเบา “อาจารย์ฉิน แฟ้มนี้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่คุณบอกให้เราหา มันเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ไม่ธรรมดาที่เกิดขึ้นในเมืองเยียนจิงและต่งไห่ ผมแยกทั้งหมดตามหมวดหมู่ไว้แล้ว” ฉินเย่ตรวจดูเนื้อหาคร่าว ๆ จากนั้นก็โบกมือไล่ “ทำให้ดี นี่จะมีผลกับประวัติส่วนตัวของนาย หรือต่อให้งานวิจัยนี้ไม่ได้ออกมาดีตามที่คาด ก็จะไม่มีใครตำหนิพวกนาย” “คุณพูดอะไรน่ะ?” หวังเฉิงห่าวหัวเราะ “คุณยอมเสียทั้งเลือด เหงื่อและน้ำตากับการค้นคว้านี้ มันจะต้องได้รับการตีพิมพ์อย่างแน่นอน!” “ขอให้มันเป็นอย่างที่นายพูดก็แล้วกัน” เมื่อเอ่ยจบ หวังเฉิงห่าวก็เดินจากไป ฉินเย่เปิดโฟลเดอร์งานที่ใช้ร่วมกันและเปิดร่างเล่มวิทยานิพนธ์ที่มีความยาวประมาณพันคำให้อาร์ทิสได้ตรวจสอบ ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา อาร์ทิสพิจารณาเนื้อหาทั้งหมดคำต่อคำและมีการแบ่งวรรคตอนออกเป็นครั้งคราว ฉินเย่ได้อ่านเนื้อหาทั้งหมดนี้หลายต่อหลายครั้งจนเขาแทบจะสามารถจำมันได้หมดแล้ว หลายนาทีต่อมา อาร์ทิสเงยหน้าขึ้นและพยักหน้า “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่แน่ใจว่าพวกเจ้าเขียนมันออกมาได้อย่างไร…แต่ข้าสามารถบอกได้เลยว่าพวกเจ้ามาถูกทางแล้ว” “ทุกประโยคล้วนชัดเจน ข้อสนับสนุนแรกก็มีคำอธิบายและการพิสูจน์อย่างดี ข้อความทั้งหมดได้รับการจัดตำแหน่งอย่างชัดเจน และข้อโต้แย้งพวกนี้ก็ไม่คลุมเครือเลยแม้แต่น้อย หากพวกเจ้ายังรักษามาตรฐานเหล่านี้ไว้ได้ ผลลัพธ์ที่ออกมาจะต้องเป็นสิ่งที่ได้รับการเผยแพร่แม้แต่ในยมโลกแห่งเก่าก็ตาม” ฉินเย่หยิบปากกาขึ้นมาและชี้ไปบนหน้าจอ “ข้อสนับสนุนแรกเป็นเพียงของเรียกน้ำย่อยเท่านั้น สิ่งสำคัญก็คือพวกเราสามารถเชื่อมโยงแนวคิดทั้งหมดเข้าด้วยกันได้หรือไม่ ท่านลองดูข้อต่อไป…” เขาสลับหน้าจอและเปิดอีกโฟลเดอร์หนึ่งและคลิกไปที่วิดีโอที่มีชื่อว่า ‘ข้อสนับสนุน2’ “นี่คือข้อสนับสนุนที่สองที่เราเตรียมเอาไว้ และนี่ก็คือจุดที่เรามีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกมา สิ่งเราที่เราทั้งสามคนเห็นตรงกันก็คือมันไม่ค่อยเหมาะที่จะนำมาใช้สักเท่าไหร่ หากท่านมีความคิดที่ดีกว่านี้ก็สามารถเสนอมาได้เลย…” “อ๊าาา….โอ้ว!! แรง…โอ๊ย เจ็บ….แรงอีก~! สุดยอด~!” เสียงที่ไม่ค่อยน่าฟังนักดังขึ้นทันที ในความมึนงงของฉินเย่ หลินฮั่นหันมาจากที่เตียงและถาม “อาจารย์ซากุไรยะเหรอ….” !!! ทั้งฉินเย่และนกกระเรียนกระดาษต่างหันไปมองหลินฮั่นราวกับเพิ่งเห็นผี จากนั้นทั้งคู่ก็หันกลับมามองหน้าจอที่มีภาพของชายหนึ่งที่กำลังบดเบียดร่างกายของพวกเขาเข้าด้วยกัน ช่างหัวข้อสนับสนุน2! ช่างหัวข้อมูลวิจัย! “อ่าาา…พวกผู้ชาย…” สามวินาทีต่อมา อาร์ทิสเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงดูถูก “ในหัวของพวกเจ้ามีแต่เรื่องพวกนี้อย่างนั้นหรือ?” “มันดูเหมือนของข้าอย่างนั้นหรือ?! ท่านคิดว่าข้าจะบันทึกอะไรแบบนี้หรืออย่างไร?!” ฉินเย่กัดฟันกรอดและเอ่ยเสียงเบา “แล้วท่านหมายความว่าอย่างไร?! มันยังมีเท็นไค ซึบาสะ โอฮาชิ มิมิยะ โมโมยะ เอริกะ อากิระ ฮานะ นิชิโนะ ยูซูกิ ทีน่า ฮิชิซากิ เจสสิก้า มุราคามิ ลิฆ่า อามามิยะ โคะโตะเนะ และอีกหลายคน!” จากนั้นเขาจึงหันไปมองชายสองคนที่กำลังหลับลึกอย่างอาฆาต “นอกจากนี้ ไอ้เด็กสองคนนี้ก็มีแค่ซากุไรยะ อ่อนหัดชะมัด…” “หืม? แล้วเจ้าเก็บมันไว้ที่ไหนล่ะ?” อาร์ทิสถามอย่างอยากรู้ “เหตุใดข้าจึงหามันไม่เจอ?” “ฮ่า ๆๆๆ ด้วยสติปัญญาของท่านน่ะหรือ? ไดร์ฟ E โฟลเดอร์ที่สอง มันจะเปิดโลกอันกว้างใหญ่ให้กับท่านได้เชียวล่ะ…” ความเงียบเข้าปกคลุมภายในห้องอย่างกะทันหัน สิ่งที่มนุษย์ทุกคนหวาดกลัวมากที่สุด ไม่กี่วินาทีต่อมา ฉินเย่ก็กระแอมออกมาเบา ๆ “ช่างเถอะ ท่านลองอ่านดู อย่างลืมกดไลก์ แสดงความคิดเห็น และกดติดตาม เรื่องอื่นไม่ได้สำคัญนัก…” อาร์ทิสมองฉินเย่ด้วยสายตาเหยียดหยามอีกครั้ง ก่อนจะกระพือปีกและบินจากไป “เจ้ามาถูกทางแล้ว หากเกิดปัญหาอะไรอีกก็ไปหาข้าได้ ข้าจะไม่ขอโอ้อวดอะไรมาก แต่ข้ารับรองได้เลยว่าตัวอย่างคดีที่ข้ารับรองจะต้องไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนมนุษย์ที่ต่ำต้อยพวกนี้สามารถมองเห็นอย่างแน่นอน” “ทำให้ดี ต่อให้เจ้าจะไม่ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ แต่เจ้าก็จะไม่รู้สึกเสียใจที่ได้ทุ่มเทอย่างเต็มที่” คำให้กำลังใจอย่างกะทันหันของอีกฝ่ายทำให้ฉินเย่ตกตะลึง เขากระแอมออกมาและนั่งลงตรงหน้าแล็ปท็อปและเริ่มพิมพ์งานต่ออีกครั้ง 8 พฤษภาคม วันที่เจ็ต- 1,200 คำ 11 พฤษภาคม วันที่สิบ – 1,700 คำ 14 พฤษภาคม วันที่สิบสาม – 2,400 คำ 15 พฤษภาคม วันที่สิบสี่ – 2,700 คำ อีกหนึ่งอาทิตย์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ด้วยข้อเสนอแนะและคำวิจารณ์ของอาร์ทิส ความคืบหน้าในงานวิจัยของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การสนับสนุนเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเขียนงานวิจัย คุณสามารถพิสูจน์ได้อย่างไรว่าข้อสนับสนุนและข้อโต้แย้งของคุณนั้นถูกต้อง? ความแตกต่างระหว่างมุมมองของพวกเขาและมุมมองของฉินเย่นั้นมีให้เห็นตั้งแต่แรกเริ่ม ความคิดของฉินเย่นั้นเฉียบคมและแม่นยำจนแม้แต่หลินฮั่นและซู่เฟิงเองยังตกตะลึง ตัวอย่างและคดีที่เด็กหนุ่มอ้างอิงนั้น เหมาะสมสำหรับสถานการณ์จนพวกเขาไม่สามารถหาตัวอย่างที่ดีกว่านี้ได้! สิ่งที่ฉินเย่เลือกมานั้นคือตัวอย่างที่ดีและเหมาะสมมากที่สุด! ทั้งสองจ้องมองฉินเย่อย่างอาฆาต พวกเขามีประสบการณ์มากมายกับทางศูนย์วิจัย SRC แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังแทบไม่เชื่อกับสิ่งที่ตนได้เห็น! จำนวนของคดีที่เกิดขึ้นในอดีตนั้นมีมากราวมหาสมุทร บางเหตุการณ์เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยโบราณ และแม้จะดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่พวกเขาทำอยู่เลยแม้แต่น้อย แต่ทุกอย่างกลับลงตัวอย่างพอดิบพอดีราวกับชิ้นพิซซ่าที่ถูกนำไปใส่ที่เดิม ในเนื้อหาวิจัยที่ฉินเย่ร่างออกมา ราวกับว่ามันมีไว้เพื่อสิ่งนี้ ความช่วยเหลือจากตุลาการนรก ทำให้ความคืบหน้าของพวกเขาพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็ว จากนั้น ในวันเสาร์เวลา 07.00 น. ขณะที่ชายทั้งสามกำลังอ้าปากหาวอย่างเหน็ดเหนื่อยและกำลังจะล้มตัวลงนอนพัก เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นที่หน้าห้อง เถาหรานและโจวเซียนหลงเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถุงหนังสือในมือ และก่อนที่ทั้งสามจะได้ลุกขึ้นยืน โจวเซียนหลงก็ทำท่าเชิงให้ทั้งหมดนั่งลงที่เดิม “นั่งเถอะ ไม่จำเป็นต้องพิธีรีตองนัก” ทั้งสามรู้สึกเหนื่อยเป็นอย่างมาก พวกเขาจึงพยักหน้าเบา ๆ และนั่งลงกับพื้น โจวเซียนหลงมองไปรอบ ๆ ห้องและถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกมากมาย “ตอนแรกที่ผมเห็นใบสมัครของคุณ ผมนึกว่าคุณแค่ล้อเล่น…เหล่าเถา เอาให้พวกเขาสิ” มันคือนมถั่วเหลืองอุ่น ๆ สามถ้วย แป้งทอดสองสามชิ้นและซาลาเปาอีกเล็กน้อย ทั้งหมดนี้เป็นเพียงอาหารเช้าที่สามารถหาทานได้ทั่วไป แต่มันกลับทำให้หัวใจของทั้งสามรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เสียงท้องของเขาร้องครวญครางออกมาทันที มันแปลกมาก พวกเขาไม่ได้หิวเลยสักนิด แต่การเห็นอาหารตรงหน้ากลับทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนกับว่าตนไม่ได้ทานอะไรเลยมาเป็นเวลานาน “คนดี…” หลินฮั่นที่กำลังเคี้ยวแป้งทอดอยู่พึมพำออกมาเบา ๆ สีหน้าของเขาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในทางกลับกัน ภายในหัวของฉินเย่กลับมีความคิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หากพวกคุณเป็นคนดีขนาดนี้ ทำไมพวกคุณไม่รีบมาช่วยผมสักหน่อยล่ะ? ผมขอให้พวกคุณตายโดยเร็ว…แล้วผมจะเตรียมเกี้ยวที่ดีที่สุดไว้รอรับวิญญาณของพวกคุณเอง… โจวเซียนหลงไม่ได้สนใจอะไรอีกฝ่ายและเอ่ยต่อ “บางทีพวกคุณอาจจะยังไม่รู้ถึงผลการกระทำของตัวเองในตอนนี้ นกตัวแรกที่บินออกจากป่าอาจจะถูกโดนยิงได้ แต่มันก็จะดึงดูดความสนใจของคนโดยรอบเช่นกัน” “นี่คืองานวิจัยงานแรกที่ถูกตีพิมพ์ในชื่อของสำนักผู้ฝึกตนแห่งแรก ความสนใจที่พุ่งมายังพวกคุณตอนนี้มันเหนือกว่าที่พวกคุณคิดเอาไว้มาก การตีพิมพ์ของสถาบันของเราบนผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ ย่อมหมายความว่าทุกคนจะได้อ่านเนื้อหาของมันอย่างละเอียด หากพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ พวกคุณเป็นตัวแทนของสำนักผู้ฝึกตนแห่งแรกต่อหน่วยงานอื่น ๆ ของประเทศ ดังนั้นแค่งานวิจัยที่ดีมันจึงไม่เพียงพอ มันจะต้องเป็นเล่มวิจัยที่พิเศษยิ่งกว่านั้น” “ส่วนที่เหลือของชาติกำลังจ้องมองพวกเราด้วยสายตาอิจฉา ตั้งคำถามว่าสำนักฝึกตนแห่งแรกเหมาะสมที่จะมีเมืองเป็นของตัวเองหรือไม่ พวกเรามีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการสนับสนุนจากนโยบายของรัฐบาล? แล้วทำไมผู้ที่จบการศึกษาจากที่นี่ถึงได้รับตำแหน่งสูงในองค์กรอื่น ๆ? และตอนนี้ งานวิจัยนี้ก็จะเป็นการประกาศถึงมาตรฐานเหล่านั้น” ทั้งสามที่กำลังดื่มนมถั่วเหลืองอยู่พยักหน้าอย่างขึงขัง แม้ว่าฉินเย่มีอายุมากจนเฉยชาต่อคำพูดจูงใจพวกนี้ไปแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นเร็วขึ้นอยู่ดี บางทีแรงบันดาลใจและความมุ่งมั่นอาจจะไม่ได้ถูกจำกัดโดยอายุ ทั้งหมดที่มันต้องการมีเพียงการบรรจบกันของเวลา สถานที่และความรู้สึกที่เหมาะสม เถาหรานเอ่ยต่อจากจุดที่โจวเซียนหลงค้างเอาไว้ “ผมจะเป็นคนตรวจเล่มวิจัยให้คุณเอง หากมันยังไม่ดีพอ ผมจะไม่ยอมให้พวกคุณตีพิมพ์มันเด็ดขาด ซึ่งนั่นหมายถึงว่าเล่มวิจัยของคุณไม่ดีพอที่จะได้รับการตีพิมพ์ลงในผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ด้วย แต่พวกคุณไม่จำเป็นต้องเครียดมากนัก ถือเสียว่ามันเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ ตั้งใจทำมันให้ดีและบอกพวกเราหากต้องการอะไรเพิ่มเดิม พวกเราจะสนับสนุนพวกคุณให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ อ้อ แล้วก็อีกเรื่อง….” ชายสูงวัยก้มมองนาฬิกาของตัวเอง “พวกเรามานี่ก็เพื่อบอกพวกคุณว่าห้องวิจัยวิญญาณถูกสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว วิญญาณบางตนที่ถือว่าพิเศษกว่าวิญญาณอื่น ๆ เองก็ถูกจับโดยลูกบอลผนึกและถูกขนย้ายไปที่นั่นแล้วเช่นกัน ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณการมีส่วนร่วมของคุณในการบรรยายเปิด ห้องวิจัยจะถูกเปิดในเดือนหน้า แต่พวกคุณได้รับสิทธิ์ในการใช้สถานที่ก่อนที่จะถึงเวลาเปิดจริง จะไม่มีใครเข้าไปรบกวนพวกคุณในระหว่างนี้” “นอกจากนี้” โจวเซียนหลงเอ่ยเสริม “หากเล่มวิจัยของคุณสามารถได้รับการตีพิมพ์ลงบนผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ อาจารย์ที่มีส่วนร่วมทั้งหมดจะได้รับรางวัลอย่างงาม ผู้เขียนหลักจะได้รับ 500 คะแนนการสอน! ผู้เขียนร่วมจะได้รับ 300 คะแนนการสอน! และนักเรียนทั้งหมดจะได้รับ 50 คะแนนวินัย!” มันคือรางวัลที่งดงามอย่างแท้จริง! มันคือคะแนนสูงสุดที่พวกเขาสามารถได้รับตามคำอธิบายของหลี่เทาในช่วงเปิดภาคการศึกษา ทั้งสามรู้สึกราวกับหัวใจของตนเต้นผิดจังหวะ แต่พวกเขาก็ยังพยักหน้าเบา ๆ เป็นความจริงที่ว่าหากพวกเขาต้องบรรลุเป้าหมายที่สูงยิ่งกว่านี้ หมายความว่าพวกเขาจำเป็นต้องมีหัวใจที่แข็งแกร่ง พวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบในการทำเล่มวิจัยเล่มแรกที่จะถูกตีพิมพ์ภายใต้ชื่อของสำนักฝึกตนแห่งแรก ในฐานะลูกผู้ชายที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี มันเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะทำมันออกมาให้ดีที่สุด
บทที่ 210: ส่งเล่มวิจัยครั้งที่หนึ่ง (1)
อาร์ทิสแทบจะร้องออกมาอย่างตกตะลึงทันทีที่พวกนางกลับเข้าไปในห้องของหลินฮั่น
คำว่า ‘รก’ ไม่สามารถบรรยายสภาพของความวุ่นวายภายในห้องได้เลยสักนิด
ถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปวางกลาดเกลื่อนเต็มไปหมด เศษขี้เถ้ากองอยู่ทั่วทุกที่ ในขณะที่หน้ากระดาษที่เต็มไปด้วยรอยขีดเขียนถูกวางกระจัดกระจายอยู่ทุกมุมของห้อง และนี่ยังไม่ได้พูดถึงกองหนังสือที่วางกองกันอยู่ที่พื้นด้วยซ้ำ “ความเป็นไปได้ของความหลากหลายของวิญญาณ” “วิญญาณยังคงมีความเคยชินและนิสัยเดิมของตนในชาติที่แล้วของตนอยู่หรือไม่?” และ “จะสามารถหาความแตกต่างของวิญญาณได้อย่างไร?”
หนังสือทั้งหมดดูใหม่มาก และเห็นได้ชัดว่าพวกมันคงถูกซื้อมาไม่ถึงห้าวัน มีหนังสือแนวนี้กว่า 30 เล่มที่วางเรียงรายอยู่บนพื้น และสิ่งที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือ เห็นได้ชัดเลยว่าพวกมันถูกอ่านแล้วทั้งหมด หนังสือที่เปิดอยู่บางเล่มยังมีแม้กระทั่งการพับที่มุมหน้ากระดาษเพื่อง่ายต่อการอ้างอิงอีกด้วย ภายในห้องถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศทางวิชาการอย่างรุนแรง
“นี่เจ้าทำมันจริง ๆ หรือ?” อาร์ทิสกระซิบเสียงเบา
“แน่นอน!” ฉินเย่กัดฟันแน่นและตอบเสียงเบา “ข้าคืออาจารย์เพียงคนเดียวในสำนักที่คิดหัวข้อวิจัยนี้ขึ้น และตอนนี้ศาสตราจารย์ทั้งหมดก็กำลังจับตาดูข้าอยู่! นอกจากนี้สำนักฝึกตนแห่งแรกนั้นแตกต่างจากสถาบันการศึกษาอื่น ๆ ในประเทศ ข้าลองหางานวิจัยที่เคยถูกตีพิมพ์เมื่อไม่นานมานี้ และทุกประโยคที่ถูกเขียนลงไปล้วนอ้างอิงจากข้อเท็จจริงและมีเอกสารประกอบอย่างดี! ให้ตายเถอะ…นี่มันเป็นวัฏจักรแห่งความตายที่ไม่มีที่สิ้นสุดชัด ๆ!”
“นี่คุณประสาทหลอนไปแล้วหรือไง?” ซู่เฟิงเงยหน้าจากแล็ปท็อปของตัวเองและจิบกาแฟดำที่เข้มข้นของตัวเองอึกหนึ่ง ดวงตาของเขาแดงก่ำ “เรียนรู้ที่จะคุยกับอากาศแล้วเหรอ? เอาล่ะ มานั่งนี่ได้แล้วหากยังมีชีวิตอยู่! ผมจะบอกให้เลยนะ ตอนนี้…ผู้เขียนร่วมทั้งสองคนกำลังทำงานหนักพอ ๆ กับผู้เขียนหลักแล้ว!”
“ปล่อยเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่” อาร์ทิสกระซิบทันทีที่เสียงกดแป้นพิมพ์ของแล็ปท็อปดังขึ้นอีกครั้ง “ให้พวกเขาพักก่อน เจ้าต้องรักษาสมดุลระหว่างการทำงานและการพักผ่อนด้วย เจ้าจึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดี…นี่พวกเจ้าทำแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว? ข้าจำได้ว่าเจ้าไม่ได้กลับไปที่ห้องตั้งแต่เมื่อสองวันที่ผ่านมาใช่หรือไม่?”
ฉินเย่คลึงหัวคิ้วของตนและถอนหายใจออกมา “ตลอดสามวันที่ผ่านมา พวกเราได้นอนไปทั้งหมดประมาณ 12 หรือ 13 ชั่วโมง เอกสารเชิงวิชาการพวกนี้มีเนื้อหาเยอะมาก เมื่อท่านได้ลงมือทำมันแล้วเท่านั้นท่านถึงจะตระหนักได้ว่ามหาสมุทรแห่งความรู้นั้นกว้างใหญ่มากเพียงใด…”
“ซู่เฟิง หลินฮั่น พวกคุณไปพักสักหน่อยเถอะ เดียวผมจัดการเอง และเดี๋ยวผมโทรหาอีกที” ฉินเย่เอ่ยออกมาเสียงดัง
สิ้นสุดเสียงพูด ร่างสองร่างก็พากันเดินไปที่เตียง ภายในไม่ถึงหนึ่งนาที เสียงกรนเบา ๆ ก็ดังขึ้นให้ได้ยิน
ฉินเย่นั่งลงตรงหน้าแล็ปท็อปของซู่เฟิง และเขาก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังแชทคุยกับเถาหรานอยู่ บทสนทนาของทั้งคู่ล้ำลึกเป็นอย่างมาก มีตั้งแต่การค้นพบครั้งแรกของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติไปจนถึงการแพร่ระบาดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติไปทั่วทั้งประเทศ นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงคดีหลายคดีที่คล้ายคลึงกับ “ภารกิจเขตไล่ล่าที่สาบสูญ” ที่เมืองไดซานและตัวอย่างอื่น ๆ อีกด้วย เขาเลื่อนดูบทสนทนาทั้งหมดและพบว่ามันมีหลายสิบหน้า
แม้แต่ศาสตราจารย์เองก็กำลังช่วยเราสินะ…เขามองไปยังกองหนังสือมากมายที่อยู่ข้างเตียง ไม่จำเป็นต้องพูด ทั้งหมดนี่ถูกซื้อมาโดยเถาหรานทั้งสิ้น
ความรับผิดชอบนั้นเป็นสิ่งที่น่าสนใจ บางครั้ง มันก็อาจเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยากสำหรับคนบางคน แต่บางครั้งมันก็อาจเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและไม่สามารถต้านทานได้
บางทีแรกบันดาลใจแรกเริ่มในการคิดหัวข้อวิจัยนี้ของฉินเย่อาจเกิดขึ้นโดยความต้องการที่จะเปิดเส้นทางการค้าทองคำของไม้ฮวงหัวลี่ และการประมูลถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีมา แต่ตอนนี้ หลังจากที่ใช้ความพยายามอย่างหนัก เขาต้องการที่จะได้เห็นผลผลิตจากความพยายามของตัวเองอย่างถึงที่สุด และเผยแพร่เล่มวิจัยของเขาลงในหนังสือพิมพ์ผู้ฝึกตนรายสัปดาห์อย่างแท้จริง
ก๊อก ก๊อก…เสียงเคาะประตูดังขึ้น หวังเฉิงห่าวเดินเข้ามาและพบว่าอาจารย์ทั้งสองท่านของตนหลับอยู่ เขาจึงยื่นแฟ้มในมือของตนให้กับฉินเย่และกระซิบเสียงเบา “อาจารย์ฉิน แฟ้มนี้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่คุณบอกให้เราหา มันเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ไม่ธรรมดาที่เกิดขึ้นในเมืองเยียนจิงและต่งไห่ ผมแยกทั้งหมดตามหมวดหมู่ไว้แล้ว”
ฉินเย่ตรวจดูเนื้อหาคร่าว ๆ จากนั้นก็โบกมือไล่ “ทำให้ดี นี่จะมีผลกับประวัติส่วนตัวของนาย หรือต่อให้งานวิจัยนี้ไม่ได้ออกมาดีตามที่คาด ก็จะไม่มีใครตำหนิพวกนาย”
“คุณพูดอะไรน่ะ?” หวังเฉิงห่าวหัวเราะ “คุณยอมเสียทั้งเลือด เหงื่อและน้ำตากับการค้นคว้านี้ มันจะต้องได้รับการตีพิมพ์อย่างแน่นอน!”
“ขอให้มันเป็นอย่างที่นายพูดก็แล้วกัน”
เมื่อเอ่ยจบ หวังเฉิงห่าวก็เดินจากไป ฉินเย่เปิดโฟลเดอร์งานที่ใช้ร่วมกันและเปิดร่างเล่มวิทยานิพนธ์ที่มีความยาวประมาณพันคำให้อาร์ทิสได้ตรวจสอบ
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา อาร์ทิสพิจารณาเนื้อหาทั้งหมดคำต่อคำและมีการแบ่งวรรคตอนออกเป็นครั้งคราว ฉินเย่ได้อ่านเนื้อหาทั้งหมดนี้หลายต่อหลายครั้งจนเขาแทบจะสามารถจำมันได้หมดแล้ว
หลายนาทีต่อมา อาร์ทิสเงยหน้าขึ้นและพยักหน้า “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่แน่ใจว่าพวกเจ้าเขียนมันออกมาได้อย่างไร…แต่ข้าสามารถบอกได้เลยว่าพวกเจ้ามาถูกทางแล้ว”
“ทุกประโยคล้วนชัดเจน ข้อสนับสนุนแรกก็มีคำอธิบายและการพิสูจน์อย่างดี ข้อความทั้งหมดได้รับการจัดตำแหน่งอย่างชัดเจน และข้อโต้แย้งพวกนี้ก็ไม่คลุมเครือเลยแม้แต่น้อย หากพวกเจ้ายังรักษามาตรฐานเหล่านี้ไว้ได้ ผลลัพธ์ที่ออกมาจะต้องเป็นสิ่งที่ได้รับการเผยแพร่แม้แต่ในยมโลกแห่งเก่าก็ตาม”
ฉินเย่หยิบปากกาขึ้นมาและชี้ไปบนหน้าจอ “ข้อสนับสนุนแรกเป็นเพียงของเรียกน้ำย่อยเท่านั้น สิ่งสำคัญก็คือพวกเราสามารถเชื่อมโยงแนวคิดทั้งหมดเข้าด้วยกันได้หรือไม่ ท่านลองดูข้อต่อไป…”
เขาสลับหน้าจอและเปิดอีกโฟลเดอร์หนึ่งและคลิกไปที่วิดีโอที่มีชื่อว่า ‘ข้อสนับสนุน2’ “นี่คือข้อสนับสนุนที่สองที่เราเตรียมเอาไว้ และนี่ก็คือจุดที่เรามีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกมา สิ่งเราที่เราทั้งสามคนเห็นตรงกันก็คือมันไม่ค่อยเหมาะที่จะนำมาใช้สักเท่าไหร่ หากท่านมีความคิดที่ดีกว่านี้ก็สามารถเสนอมาได้เลย…”
“อ๊าาา….โอ้ว!! แรง…โอ๊ย เจ็บ….แรงอีก~! สุดยอด~!”
เสียงที่ไม่ค่อยน่าฟังนักดังขึ้นทันที ในความมึนงงของฉินเย่ หลินฮั่นหันมาจากที่เตียงและถาม “อาจารย์ซากุไรยะเหรอ….”
!!!
ทั้งฉินเย่และนกกระเรียนกระดาษต่างหันไปมองหลินฮั่นราวกับเพิ่งเห็นผี จากนั้นทั้งคู่ก็หันกลับมามองหน้าจอที่มีภาพของชายหนึ่งที่กำลังบดเบียดร่างกายของพวกเขาเข้าด้วยกัน
ช่างหัวข้อสนับสนุน2! ช่างหัวข้อมูลวิจัย!
“อ่าาา…พวกผู้ชาย…” สามวินาทีต่อมา อาร์ทิสเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงดูถูก “ในหัวของพวกเจ้ามีแต่เรื่องพวกนี้อย่างนั้นหรือ?”
“มันดูเหมือนของข้าอย่างนั้นหรือ?! ท่านคิดว่าข้าจะบันทึกอะไรแบบนี้หรืออย่างไร?!” ฉินเย่กัดฟันกรอดและเอ่ยเสียงเบา “แล้วท่านหมายความว่าอย่างไร?! มันยังมีเท็นไค ซึบาสะ โอฮาชิ มิมิยะ โมโมยะ เอริกะ อากิระ ฮานะ นิชิโนะ ยูซูกิ ทีน่า ฮิชิซากิ เจสสิก้า มุราคามิ ลิฆ่า อามามิยะ โคะโตะเนะ และอีกหลายคน!”
จากนั้นเขาจึงหันไปมองชายสองคนที่กำลังหลับลึกอย่างอาฆาต “นอกจากนี้ ไอ้เด็กสองคนนี้ก็มีแค่ซากุไรยะ อ่อนหัดชะมัด…”
“หืม? แล้วเจ้าเก็บมันไว้ที่ไหนล่ะ?” อาร์ทิสถามอย่างอยากรู้ “เหตุใดข้าจึงหามันไม่เจอ?”
“ฮ่า ๆๆๆ ด้วยสติปัญญาของท่านน่ะหรือ? ไดร์ฟ E โฟลเดอร์ที่สอง มันจะเปิดโลกอันกว้างใหญ่ให้กับท่านได้เชียวล่ะ…”
ความเงียบเข้าปกคลุมภายในห้องอย่างกะทันหัน
สิ่งที่มนุษย์ทุกคนหวาดกลัวมากที่สุด
ไม่กี่วินาทีต่อมา ฉินเย่ก็กระแอมออกมาเบา ๆ “ช่างเถอะ ท่านลองอ่านดู อย่างลืมกดไลก์ แสดงความคิดเห็น และกดติดตาม เรื่องอื่นไม่ได้สำคัญนัก…”
อาร์ทิสมองฉินเย่ด้วยสายตาเหยียดหยามอีกครั้ง ก่อนจะกระพือปีกและบินจากไป “เจ้ามาถูกทางแล้ว หากเกิดปัญหาอะไรอีกก็ไปหาข้าได้ ข้าจะไม่ขอโอ้อวดอะไรมาก แต่ข้ารับรองได้เลยว่าตัวอย่างคดีที่ข้ารับรองจะต้องไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนมนุษย์ที่ต่ำต้อยพวกนี้สามารถมองเห็นอย่างแน่นอน”
“ทำให้ดี ต่อให้เจ้าจะไม่ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ แต่เจ้าก็จะไม่รู้สึกเสียใจที่ได้ทุ่มเทอย่างเต็มที่”
คำให้กำลังใจอย่างกะทันหันของอีกฝ่ายทำให้ฉินเย่ตกตะลึง เขากระแอมออกมาและนั่งลงตรงหน้าแล็ปท็อปและเริ่มพิมพ์งานต่ออีกครั้ง
8 พฤษภาคม วันที่เจ็ต- 1,200 คำ
11 พฤษภาคม วันที่สิบ – 1,700 คำ
14 พฤษภาคม วันที่สิบสาม – 2,400 คำ
15 พฤษภาคม วันที่สิบสี่ – 2,700 คำ
อีกหนึ่งอาทิตย์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ด้วยข้อเสนอแนะและคำวิจารณ์ของอาร์ทิส ความคืบหน้าในงานวิจัยของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การสนับสนุนเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเขียนงานวิจัย คุณสามารถพิสูจน์ได้อย่างไรว่าข้อสนับสนุนและข้อโต้แย้งของคุณนั้นถูกต้อง? ความแตกต่างระหว่างมุมมองของพวกเขาและมุมมองของฉินเย่นั้นมีให้เห็นตั้งแต่แรกเริ่ม ความคิดของฉินเย่นั้นเฉียบคมและแม่นยำจนแม้แต่หลินฮั่นและซู่เฟิงเองยังตกตะลึง
ตัวอย่างและคดีที่เด็กหนุ่มอ้างอิงนั้น เหมาะสมสำหรับสถานการณ์จนพวกเขาไม่สามารถหาตัวอย่างที่ดีกว่านี้ได้! สิ่งที่ฉินเย่เลือกมานั้นคือตัวอย่างที่ดีและเหมาะสมมากที่สุด!
ทั้งสองจ้องมองฉินเย่อย่างอาฆาต พวกเขามีประสบการณ์มากมายกับทางศูนย์วิจัย SRC แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังแทบไม่เชื่อกับสิ่งที่ตนได้เห็น!
จำนวนของคดีที่เกิดขึ้นในอดีตนั้นมีมากราวมหาสมุทร บางเหตุการณ์เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยโบราณ และแม้จะดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่พวกเขาทำอยู่เลยแม้แต่น้อย แต่ทุกอย่างกลับลงตัวอย่างพอดิบพอดีราวกับชิ้นพิซซ่าที่ถูกนำไปใส่ที่เดิม ในเนื้อหาวิจัยที่ฉินเย่ร่างออกมา ราวกับว่ามันมีไว้เพื่อสิ่งนี้
ความช่วยเหลือจากตุลาการนรก ทำให้ความคืบหน้าของพวกเขาพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็ว จากนั้น ในวันเสาร์เวลา 07.00 น. ขณะที่ชายทั้งสามกำลังอ้าปากหาวอย่างเหน็ดเหนื่อยและกำลังจะล้มตัวลงนอนพัก เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นที่หน้าห้อง
เถาหรานและโจวเซียนหลงเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถุงหนังสือในมือ และก่อนที่ทั้งสามจะได้ลุกขึ้นยืน โจวเซียนหลงก็ทำท่าเชิงให้ทั้งหมดนั่งลงที่เดิม “นั่งเถอะ ไม่จำเป็นต้องพิธีรีตองนัก”
ทั้งสามรู้สึกเหนื่อยเป็นอย่างมาก พวกเขาจึงพยักหน้าเบา ๆ และนั่งลงกับพื้น โจวเซียนหลงมองไปรอบ ๆ ห้องและถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกมากมาย “ตอนแรกที่ผมเห็นใบสมัครของคุณ ผมนึกว่าคุณแค่ล้อเล่น…เหล่าเถา เอาให้พวกเขาสิ”
มันคือนมถั่วเหลืองอุ่น ๆ สามถ้วย แป้งทอดสองสามชิ้นและซาลาเปาอีกเล็กน้อย
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงอาหารเช้าที่สามารถหาทานได้ทั่วไป แต่มันกลับทำให้หัวใจของทั้งสามรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เสียงท้องของเขาร้องครวญครางออกมาทันที
มันแปลกมาก พวกเขาไม่ได้หิวเลยสักนิด แต่การเห็นอาหารตรงหน้ากลับทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนกับว่าตนไม่ได้ทานอะไรเลยมาเป็นเวลานาน
“คนดี…” หลินฮั่นที่กำลังเคี้ยวแป้งทอดอยู่พึมพำออกมาเบา ๆ สีหน้าของเขาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ในทางกลับกัน ภายในหัวของฉินเย่กลับมีความคิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หากพวกคุณเป็นคนดีขนาดนี้ ทำไมพวกคุณไม่รีบมาช่วยผมสักหน่อยล่ะ? ผมขอให้พวกคุณตายโดยเร็ว…แล้วผมจะเตรียมเกี้ยวที่ดีที่สุดไว้รอรับวิญญาณของพวกคุณเอง…
โจวเซียนหลงไม่ได้สนใจอะไรอีกฝ่ายและเอ่ยต่อ “บางทีพวกคุณอาจจะยังไม่รู้ถึงผลการกระทำของตัวเองในตอนนี้ นกตัวแรกที่บินออกจากป่าอาจจะถูกโดนยิงได้ แต่มันก็จะดึงดูดความสนใจของคนโดยรอบเช่นกัน”
“นี่คืองานวิจัยงานแรกที่ถูกตีพิมพ์ในชื่อของสำนักผู้ฝึกตนแห่งแรก ความสนใจที่พุ่งมายังพวกคุณตอนนี้มันเหนือกว่าที่พวกคุณคิดเอาไว้มาก การตีพิมพ์ของสถาบันของเราบนผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ ย่อมหมายความว่าทุกคนจะได้อ่านเนื้อหาของมันอย่างละเอียด หากพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ พวกคุณเป็นตัวแทนของสำนักผู้ฝึกตนแห่งแรกต่อหน่วยงานอื่น ๆ ของประเทศ ดังนั้นแค่งานวิจัยที่ดีมันจึงไม่เพียงพอ มันจะต้องเป็นเล่มวิจัยที่พิเศษยิ่งกว่านั้น”
“ส่วนที่เหลือของชาติกำลังจ้องมองพวกเราด้วยสายตาอิจฉา ตั้งคำถามว่าสำนักฝึกตนแห่งแรกเหมาะสมที่จะมีเมืองเป็นของตัวเองหรือไม่ พวกเรามีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการสนับสนุนจากนโยบายของรัฐบาล? แล้วทำไมผู้ที่จบการศึกษาจากที่นี่ถึงได้รับตำแหน่งสูงในองค์กรอื่น ๆ? และตอนนี้ งานวิจัยนี้ก็จะเป็นการประกาศถึงมาตรฐานเหล่านั้น”
ทั้งสามที่กำลังดื่มนมถั่วเหลืองอยู่พยักหน้าอย่างขึงขัง
แม้ว่าฉินเย่มีอายุมากจนเฉยชาต่อคำพูดจูงใจพวกนี้ไปแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นเร็วขึ้นอยู่ดี
บางทีแรงบันดาลใจและความมุ่งมั่นอาจจะไม่ได้ถูกจำกัดโดยอายุ ทั้งหมดที่มันต้องการมีเพียงการบรรจบกันของเวลา สถานที่และความรู้สึกที่เหมาะสม
เถาหรานเอ่ยต่อจากจุดที่โจวเซียนหลงค้างเอาไว้ “ผมจะเป็นคนตรวจเล่มวิจัยให้คุณเอง หากมันยังไม่ดีพอ ผมจะไม่ยอมให้พวกคุณตีพิมพ์มันเด็ดขาด ซึ่งนั่นหมายถึงว่าเล่มวิจัยของคุณไม่ดีพอที่จะได้รับการตีพิมพ์ลงในผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ด้วย แต่พวกคุณไม่จำเป็นต้องเครียดมากนัก ถือเสียว่ามันเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ ตั้งใจทำมันให้ดีและบอกพวกเราหากต้องการอะไรเพิ่มเดิม พวกเราจะสนับสนุนพวกคุณให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ อ้อ แล้วก็อีกเรื่อง….”
ชายสูงวัยก้มมองนาฬิกาของตัวเอง “พวกเรามานี่ก็เพื่อบอกพวกคุณว่าห้องวิจัยวิญญาณถูกสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว วิญญาณบางตนที่ถือว่าพิเศษกว่าวิญญาณอื่น ๆ เองก็ถูกจับโดยลูกบอลผนึกและถูกขนย้ายไปที่นั่นแล้วเช่นกัน ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณการมีส่วนร่วมของคุณในการบรรยายเปิด ห้องวิจัยจะถูกเปิดในเดือนหน้า แต่พวกคุณได้รับสิทธิ์ในการใช้สถานที่ก่อนที่จะถึงเวลาเปิดจริง จะไม่มีใครเข้าไปรบกวนพวกคุณในระหว่างนี้”
“นอกจากนี้” โจวเซียนหลงเอ่ยเสริม “หากเล่มวิจัยของคุณสามารถได้รับการตีพิมพ์ลงบนผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ อาจารย์ที่มีส่วนร่วมทั้งหมดจะได้รับรางวัลอย่างงาม ผู้เขียนหลักจะได้รับ 500 คะแนนการสอน! ผู้เขียนร่วมจะได้รับ 300 คะแนนการสอน! และนักเรียนทั้งหมดจะได้รับ 50 คะแนนวินัย!”
มันคือรางวัลที่งดงามอย่างแท้จริง!
มันคือคะแนนสูงสุดที่พวกเขาสามารถได้รับตามคำอธิบายของหลี่เทาในช่วงเปิดภาคการศึกษา
ทั้งสามรู้สึกราวกับหัวใจของตนเต้นผิดจังหวะ แต่พวกเขาก็ยังพยักหน้าเบา ๆ
เป็นความจริงที่ว่าหากพวกเขาต้องบรรลุเป้าหมายที่สูงยิ่งกว่านี้ หมายความว่าพวกเขาจำเป็นต้องมีหัวใจที่แข็งแกร่ง พวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบในการทำเล่มวิจัยเล่มแรกที่จะถูกตีพิมพ์ภายใต้ชื่อของสำนักฝึกตนแห่งแรก ในฐานะลูกผู้ชายที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี มันเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะทำมันออกมาให้ดีที่สุด