บทที่ 213: คุณมีนักเขียนนิรนามมาช่วยใช่ไหม?!
ณ เมืองไดซาน เมืองหลวงของมณฑลอันฮุ่ย
การจราจรแออัดและท้องถนนที่เต็มไปด้วยผู้คน ศาสตราจารย์ยวีนั่งอยู่ภายในคฤหาสน์ขนาดปานกลาง จ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ของตน ชายในชุดเสื้อคลุมยาวสีขาวสามคนยืนอยู่เบื้องหน้า หัวข้อของเอกสารที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอคือ “วิวัฒนาการและการปรับตัวสู่สภาพแวดล้อมของวิญญาณ”
“หยุดงานที่กำลังทำอยู่ไปก่อน” ศาสตราจารย์ยวีนวดขมับของคนด้วยมือเพียงข้างเดียวและกวักมือ ทันใดนั้นผู้ช่วยส่วนตัวของเขาก็รีบนำถ้วยชามาวางให้อย่างรวดเร็ว ชายสูงวัยถอนหายใจออกมาและขมวดคิ้วให้กับหน้าจอ LED ตรงหน้า “มันไม่ได้ผล”
ชายในชุดปฏิบัติการทั้งสามหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น และชายที่ยืนอยู่ตรงกลางก็ถอนหายใจออกมา “ข้อมูลยังน้อยไปจริง ๆ ครับ คุณทุ่มเทความสนใจทั้งหมดให้กับหัวข้อวิจัยนี้ตั้งแต่กลับมาจากเมืองเป่าอัน พวกเราได้ค้นหาทั่วทั้งประเทศ แต่กลับพบคดีที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดการกลายพันธุ์เพียงไม่กี่สิบคดีเท่านั้น แต่หากเราเปรียบเทียบตัวเลขพวกนี้กับจำนวนวิญญาณทั้งหมดที่อยู่ในฐานข้อมูล สิ่งที่เราได้มานั้นแทบจะไม่ส่งผลอะไรเลย”
ศาสตราจารย์ยวีปิดเปลือกตาลงและเงียบไป
เขานึกถึงวันที่เด็กหนุ่มบอกกับเขาว่าการกลายพันธุ์ของวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และมันก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วตั้งแต่สมัยอดีต น่าเสียดายที่ตารางเวลาที่ยุ่งมากของเขาทำให้เขาต้องกลับมาที่เมืองไดซานในวันต่อไป ไม่เช่นนั้นเขาก็อยากจะฟังการบรรยายของเด็กหนุ่มคนนี้อีกสักสองหรือสามครั้งด้วยความหวังที่ว่ามันจะจุดประกายแรงบันดาลใจบางอย่างให้กับตัวเอง
เขาไม่เคยคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าละอาย เพราะอย่างไรแล้วเขาก็เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่ามันมีบางสิ่งบางอย่างที่เขาสามารถเรียนรู้จากทุกคนได้ ในทางกลับกัน การยึดติดอยู่กับมุมมองของตัวเองมากเกินไปจะเป็นการปิดกั้นแนวคิดและทฤษฎีใหม่ ๆ เสียเอง และนี่จะเป็นการขัดขวางไม่ให้แดนมนุษย์พัฒนาและเอาชนะวิญญาณร้ายได้
“หลักฐานของเรายังอ่อนเกินไป” สิบวินาทีต่อมาเขาก็ลืมตาขึ้นและสั่ง “ติดต่อกับสำนักฝึกตนแห่งแรกเดียวนี้ ขอให้พวกเขาส่งเนื้อหาทั้งหมดที่อาจารย์ผู้สอนของพวกเขาพูดในตอนการบรรยายเปิดมา…รอสักครู่”
ในเวลานั้นเอง โทรศัพท์ของเขาก็สั่นเทา ชายสูงวัยหยิบขึ้นมาและมองที่หน้าจอ “รุ่น 89 นักเรียนเถา ส่งข้อความหาคุณ”
ใครนะ?
ศาสตราจารย์ยวีจำไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร วัน ๆ หนึ่งเขาต้องติดต่อกับบุคคลระดับสูงจำนวนมาก รวมถึงผู้อำนวยการของสถาบันวิจัยหลักที่อยู่ระดับเทียบเท่ากับโจวเซียนหลง ดังนั้นเขาจึงกดดูข้อความ และแล้วเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อข้อความที่ถูกส่งมานั้นมีชื่อของบุคคลที่เขากำลังให้ความสนใจอยู่
อาจารย์ฉิน…
ดังนั้นเขาจึงทำในสิ่งที่โดยปกติแล้วจะไม่ทำและตอบกลับ “เขาเป็นคนเขียนบทความวิจัยนี้หรือ?”
รุ่น 89 นักเรียนเถา: “ใช่ครับ ผมขอรบกวนเวลาของคุณสักครู่ได้ไหมครับ?”
ยวี: “ส่งมันมาให้ผม”
ไฟล์เอกสารถูกส่งมาให้เขาผ่านโปรแกรมแชทอย่างรวดเร็ว ชายในชุดปฏิบัติการสีขาวทั้งสามมองดูชายสูงวัยเงียบ ๆ ขณะที่อีกฝ่ายเปิดไฟล์เอกสารและอ่านเนื้อหาด้านใน
หัวข้อ: การกลายพันธุ์ของวิญญาณ: สาเหตุ พัฒนาการ และความเป็นไปได้
ดวงตาของศาสตราจารย์ยวีเป็นประกายขึ้น เขายืดหลังตั้งตรงโดยไม่รู้ตัว คนที่เหลือตกตะลึงไปทันที
นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่ามีอะไรบางอย่างดึงดูดความสนใจของศาสตราจารย์ยวี
และสิ่งเดียวที่สามารถดึงความสนใจจากชายสูงวัยก็จะต้องเป็นบทความทางวิชาการหรืองานวิจัยที่ล้ำลึกเท่านั้น มีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับศาสตราจารย์ยวีได้ในระดับเดียวกัน พวกเขาอยากรู้จริง ๆ ว่าสิ่งที่ถูกส่งมานั้นคือข้อมูลวิจัยใหม่ ๆ หรือการคาดคะเนกันแน่?
ภายในใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความอยากรู้ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครกล้าขัดจังหวะ
ในอีกด้านหนึ่ง ศาสตราจารย์ยวีนั้นไม่ได้สังเกตสีหน้าของชายทั้งสามเลยสักนิด เขาถูกดึงความสนใจทั้งหมดไปหลังจากที่ได้อ่านสามประโยคแรกของบทความ
เยี่ยมยอด!
ผู้ที่เขียนบทความนี้จะต้องอยู่ระดับผู้นำมณฑลเป็นอย่างต่ำ หากเขาไม่ใช่คนขององค์กรพิเศษองค์กรใด! และหากอีกฝ่ายมาจากองค์กรพิเศษ…ชายสูงวัยเริ่มนึกถึงรูปแบบการเขียนของสหายเก่า ๆ และคนรู้จักของตัวเอง
ไม่…ไม่ใช่เหล่าเฉิน รูปแบบการเขียนของเขาไม่ใช่แบบนี้ ด้วยอายุและชื่อเสียง เพื่อนของเขาจะเขียนทุกอย่างตามใจชอบ ข้อโต้แย้งของเขาจะเฉียบคมและแม่นยำขนาดนี้เลยหรือ? ไม่น่าเป็นไปได้
และมันก็ไม่ใช่เหล่าหม่าเช่นกัน รูปแบบการเขียนของเขาอ่อนโยนกว่านี้มาก เขาสามารถบอกได้จากการเปิดย่อหน้าเลยว่ารูปแบบการเขียนของผู้เขียนคนนี้สงบ ทว่าเฉียบคม เหมือนกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวน้ำนิ่ง รูปแบบการเขียนของเขาไม่แย่เลยสักนิด…
ใครกัน?!
อย่างไรก็ตาม ความคิดทั้งหมดนี้ถูกเก็บเข้ากรุไปอย่างรวดเร็ว
สำหรับคนเช่นเขาที่อุทิศทั้งชีวิตให้กับความก้าวหน้าของแวดวงวิชาการของโลกแห่งการบ่มเพาะ บทความวิจัยที่ดีเป็นเหมือนกับบูกัตติ เวย์รอนในสายตาของคนรักรถ หรือสุราที่เข้มข้นในสายตาของนักดื่ม ความลึกลับในตัวตนของผู้เขียนสามารถไขกระจ่างได้หลังจากนี้! เพราะสุดท้ายแล้ว หัวข้อวิจัยนี้ก็อยู่ในความสนใจของเขา และเขาก็กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับมุมมองที่แตกต่างในเรื่องนี้อย่างมาก
เขาอ่านข้อสนับสนุนแรงอย่างรวดเร็ว และปล่อยให้เนื้อหาทั้งหมดซึมซับเข้าไปในหัวของเขา สามนาทีต่อมา เสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นภายในห้องที่เงียบสนิท
ตุบ!
แววตาของศาสตราจารย์ยวีเป็นประกายสดใสขณะที่เขาตบที่วางแขนของเก้าอี้ไม้ที่ตนนั่งอยู่ ชายสูงวัยถอนหายใจออกมาและเอ่ยเพียงว่า “งดงามมาก”
“ใช้อาชีพของคนขับรถขนศพในการพิสูจน์ว่าวิญญาณจะวิวัฒนาการภายใต้สภาพแวดล้อมพิเศษ และความแข็งแกร่งของวิญญาณก็จะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังจากการวิวัฒนาการของพวกมัน…เป็นการเปรียบเทียบที่ฉลาดมาก! และมันก็เป็นข้อเท็จจริงที่ได้รับการยอมรับอย่างทั่วถึงจนไม่สามารถโต้แย้งได้! ไม่มีจุดไหนเลยที่ทำให้รู้สึกขัดแย้งกับสมมติฐานพวกนี้!”
“ทำไมเราถึงไม่คิดเรื่องคนขับรถขนศพมาก่อนกัน?!” เขาพึมพำออกมาก่อนจะอ่านต่อ
คำนำของข้อสนับสนุนต่อไปนั้นทำให้เขาสนใจยิ่งกว่าเดิม
สามนาทีต่อมา
“วิญญาณผสาน…มันมีอะไรแบบนี้อยู่จริง ๆ อย่างนั้นเหรอ? ปรสิตที่อาศัยอยู่ในร่างกายของมนุษย์ตั้งแต่เด็ก? ร่างสิงสู่จะมีทั้งลักษณ์ของหยินและหยางอยู่ในตัว เขาจะเกิดมาพร้อมกับดวงตานรก ในขณะที่วิญญาณผสานจะถือได้ว่าเป็นครึ่งหยินและครึ่งหยาง มันจะเติบโตไปพร้อมกับร่างที่สิงสู่ และทันทีที่มันโตเต็มที่ มันก็จะระเบิดออกมาจากร่างของร่างสิงสู่…ผลที่ตามมานั้นเลวร้ายอย่างคาดไม่ถึง?”
“สมมติฐานนี้…ได้รับการพิสูจน์โดยการมีอยู่ของเด็กที่เฝ้าอยู่ในขุมทรัพย์ของกลุ่มผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์…ตัวอย่างที่มีชีวิต…และเขายังสามารถบอกถึงวิธีที่จะนำวิญญาณผสานออกมาจากร่างสิงสู่ได้อีกด้วย! เสี่ยวหลี่!”
หนึ่งในชายชุดขาวก้าวมาข้างหน้า “ครับ ศาสตราจารย์”
“ไปที่ขุมทรัพย์ของกลุ่มผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์! และนำ…รหัส A มาที่นี่! คนที่ดูเหมือนครึ่งคนครึ่งผีนั่น! พาเขามาที่นี่เดี๋ยวนี้! เสี่ยวหวัง!”
“ครับ ศาสตราจารย์” ชายในชุดขาวอีกคนหนึ่งก้าวออกมา
“คุณ! เปิดห้องวิจัยใต้ดินของผมและตรวจดูอุปกรณ์ทุกชิ้นว่าอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานหรือไม่!”
“รับทราบ”
หลังจากออกคำสั่งเสร็จ ภายในห้องก็ตกสู่ความเงียบอีกครั้ง เมื่อผ่านไปประมาณสิบนาที เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นให้ได้ยินเป็นครั้งคราว มันแทบจะเหมือนกับว่าศาสตราจารย์ยวีทุบแขนเก้าอี้ของตนราวกับพึงพอใจออกมาในทุกส่วนของบทความที่เขาอ่านผ่าน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และเขายังชูมือขึ้นบ้างเป็นครั้งคราวอีกด้วย
เขากำลังมีความสุขเป็นอย่างมาก
มันเป็นงานวิจัยที่ยอดเยี่ยม ด้วยมุมมองใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นจากรากฐานของการโต้แย้งและหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้ มันดีพอที่จะทำให้นักวิชาการหัวแข็งของเขาคล้อยตาม อันที่จริง แม้แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าการอ่านบทความวิจัยบทนี้จะทำให้เขารู้สึกมีความสุขและอิ่มเอมใจได้ขนาดนี้
คนอื่น ๆ ที่อยู่ภายในห้องก็ถูกเรียกชื่อเป็นครั้งคราวเช่นกัน “เสี่ยวโจว ไปเอาแฟ้มคดีที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เมือง XX มณฑล XX จาก SRC มาให้ผมที”
“เสี่ยวซวี ไปหยิบเอกสารระดับ B มาจากที่ SRC ให้ผมหน่อย…”
“วิเศษมาก…ผมเคยได้ยินเกี่ยวกับคดีนี้มาก่อน หากสิ่งนี้ได้รับการยืนยันจริง มันก็จะแสดงให้เห็นสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะสื่ออย่างชัดเจนเลยไม่ใช่หรือ? นี่ไม่ใช่แค่ความบังเอิญ…การที่เลือกคดีพวกนี้มาใช้มันสมบูรณ์แบบมาก!”
“ดีมาก นี่…สมมติฐานข้อที่สามแล้วแต่เขาก็ยังทำมันได้อย่างดีเยี่ยม…ผู้ที่เขียนบทความนี้ขึ้นมาเป็นใครกัน…แล้วเขาไปเอาข้อมูลทั้งหมดนี้มาจากไหน? ศูนย์วิจัย SRC มีคนที่มีความสามารถขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
สุดท้าย ทั้งห้องก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ
ศาสตราจารย์ยวีปิดเปลือกตาลง เพื่อให้ข้อมูลซึมซับเข้าไปในสมองของตนหลายต่อหลายครั้ง เขากำลังพิจารณาถึงสิ่งที่ตนเพิ่งได้อ่านเมื่อครู่และเขายังต้องข่มความกังวลภายในใจด้วยเช่นกัน เขาต้องการจะพิสูจน์ดูว่าสมมติฐานพวกนั้นถูกต้องและแม่นยำ ส่วนใหญ่ของเนื้อหาล้วนเป็นการอนุมานทั้งสิ้น แค่การทดลองเพียงครั้งเดียวกลับเพียงพอที่จะพิสูจน์สมมติฐานพวกนั้นได้ และถ้ามันสำเร็จ….
เขาลืมตาขึ้น จังหวะลมหายใจเริ่มติดขัด
หากเขาทำการทดลองนี้สำเร็จ…หัวข้อวิจัยที่เขาพยายามค้นคว้ามาอย่างหนัก…ก็จะเห็นปลายทางในที่สุด!
เขาไม่สงสัยเกี่ยวกับคุณภาพของบทความวิจัยนี้อีกต่อไป มันชัดเจน ลึกล้ำในหลาย ๆระดับและไม่สามารถหักล้างได้
“นี่คือการเขียนวิทยานิพนธ์ที่เป็นธรรมชาติมาก….และมันคือวิทยานิพนธ์ที่มาพร้อมคำโต้แย้งและคำสนับสนุนที่สมบูรณ์แบบ…” หางตาของเขากระตุกเล็กน้อยขณะที่เขาหยิบงานวิจัยขึ้นมา “แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร บทความนี้ก็แสดงให้เห็นถึงข้อสรุปที่ไม่สามารถโต้แย้งได้…ไม่ใช่แค่ไม่สามารถข้อโต้แย้งได้ การพิสูจน์ที่ล้ำลึก และความลื่นไหลของตรรกะ…นักวิชาการคนไหนกันที่เขียนบทความนี้? ทำไมหลังจากที่ดูรูปแบบการเขียนแล้วเราก็ยังนึกถึงใครไม่ออกเลย?”
ในความตื่นเต้นของเขา ศาสตราจารย์ยวีได้ลืมคำของศาสตราจารย์เถาก่อนหน้านี้ไปเสียสนิท เขาพลิกกลับไปดูหน้าแรกและสังเกตเห็นแถวรายชื่อในที่สุด
มุมบนสุดของบทความ รายชื่อของผู้เขียนถูกเขียนเป็นตัวหน้าสีดำ ผู้เขียนหลัก: ฉินเย่
ทันใดนั้นบูกัตติ เวย์รอนก็เปลี่ยนร่างเป็นผึ้งตัวใหญ่ และสุราที่เข้มข้นก็เปลี่ยนเป็นลาวาที่หลอมเหลว
อากาศภายในห้องรู้สึกร้อนราวกับเตาเผาขนาดใหญ่ ในขณะที่สีหน้าดีใจของศาสตราจารย์ยวีหายไปในทันที แทบจะเหมือนกับว่าเขาได้ทานบางสิ่งบางอย่างที่แย่มาก ๆ เข้าไป
นี่มัน… ค่อนข้างน่าอับอาย…
เดี๋ยวนะ…เป็นเด็กคนนี้ไปได้ยังไง?
เขาหมายถึง อีกฝ่ายอายุเท่าไหร่? ทำไมถึงสามารถเขียนบทความที่น่าเหลือเชื่อแบบนี้ได้? มันไม่ใช่ว่าเขาดูถูกฉินเย่หรืออะไรหรอกนะ แต่เด็กอายุเพียงเท่านี้กลับสามารถเขียนได้ขนาดนี้เลยเหรอ?! เด็กหนุ่มเพิ่งอายุแค่ 18 แต่กลับเขียนได้ราวกับคนที่อายุ 81!! นี่นายกำจัดวิญญาณตั้งแต่อยู่ในท้องแม่หรือไง?!
“เด็กนี่…เป็นจ้าวนรกกลับชาติมาเกิดหรือไง? ทำไมเขาถึงรู้เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณมากขนาดนี้?!” ผู้เฒ่ายวีนวดขมับ นายนี่มันน่ารำคาญจริง ๆ น่ารำคาญสุด ๆ เลยรู้ตัวหรือเปล่า? ฉันหมายถึง…นายกำลังพยายามทำให้เราดูแย่หรือไง? ฉันอายุมากกว่า 80 แล้วนะ และฉันก็ได้อุทิศเวลาส่วนใหญ่ของทั้งชีวิตให้กับการวิจัยเกี่ยวกับวิญญาณ แต่คนที่เปิดประตูสู่ความก้าวหน้าใหม่ในงานวิจัยกลับเป็นอาจารย์ผู้สอนที่ยังอยู่ในช่วงวัยรุ่นเท่านั้น?
เขาอ่านต่อ ผู้เขียนร่วม: หลินฮั่น ซูเฟิง
รายชื่อที่เหลือคือคนที่มีส่วนร่วมในกระบวนการวิจัยและการเขียน รวมถึงนักเรียนอีกสิบกว่าคน
เขามองกระดาษในมือ พยายามมองหาชื่อที่คุ้นเคย แต่น่าเสียดาย…มันไม่มีเลยแม้แต่ชื่อเดียว
วินาทีนั้นศาสตราจารย์ยวีก็รู้สึกเคว้งคว้างขึ้นมา
“ศาสตราจารย์…คุณจะไปไหนครับ?” ชายในชุดปฏิบัติการสีขาวสองคนถามขึ้นทันทีที่เห็นว่าชายสูงวัยลุกขึ้นยืน
“ไม่ต้องสนใจ…ผมแค่จะออกไปเดินเล่นเท่านั้น…” ศาสตราจารย์ยวียังคงคลึงขมับของตน ขณะที่มองไปยังการจราจรที่ติดขัดด้านนอก ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรง “คลื่นลูกใหม่นั้นแรงกว่าคลื่นรุ่นเก่า…เดี๋ยวก่อนนะ! แต่นี่มันไม่เกินไปหน่อยหรือไง?! เขาจะต้องมีนักเขียนนิรนามซุกซ่อนไว้อยู่แน่ ๆ ใช่ไหม?”
ไม่ ไม่ ไม่ เขาคิดว่ามันยังมีที่ว่างพอให้ตาแก่คนนี้ปฏิเสธความจริงได้อยู่…เขาไม่สามารถยอมรับความจริงนี้ได้…เขารู้สึกว่ามันยังมีความหวังที่จะกอบกู้ความมั่นใจของตัวเองได้…
ราวกับระบายความรู้สึกของตัวเอง เขาทุบราวบันไดด้วยความโกรธขณะที่พึมพำออกมา “ผมยังสามารถเชื่อได้หากคุณบอกว่านี่คือหัวข้อวิทยานิพนธ์และสมมติฐานพวกนี้มาจากเขา แต่ข้อโต้แย้งที่เฉียบคม การจัดวางข้อมูลแบบดั้งเดิม การเลือกใช้ศัพท์อย่างมืออาชีพ และตรรกะที่ไหลลื่นอย่างน่าเหลือเชื่อ…ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นลักษณะของผู้ที่อยู่ระดับผู้ว่าราชการมณฑลหรือคนแบบผมใน ศูนย์วิจัย SRC ทั้งสิ้น ผมไม่เชื่อเด็ดขาดว่าทั้งหมดนี้มาจากฝีมือของอาจารย์ผู้สอนของสำนักฝึกตนแห่งแรก!”
เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ เพื่อสงบจิตใจของตัวเอง จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมา หาเบอร์โทรศัพท์ของเถาหรานและเริ่มโทรออกโดยรูปแบบของวิดีโอทันที
“ศาสตราจารย์ยวี?” เถาหรานค่อนข้างตกใจ เพราะอย่างไรแล้วมันก็เป็นเรื่องยากมากที่จะมีใครได้รับการติดต่อจากศาสตราจารย์ยวีโดยตรง
“บอกมาว่านักเขียนนิรนามคนนั้นเป็นใคร” ปลายสายเอ่ยด้วยความรู้สึกที่ผสมผสาน “มาตรฐานของบทความนี้แสดงถึงประสบการณ์ ความสามารถและความรู้ของผู้เขียนอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นบอกผมมา ใครเป็นคนช่วยเขาเขียน?”
“คุณไม่ได้เป็นคนช่วยเขาเขียนหรือครับ?!” โดยไม่คาดคิด ปฏิกิริยาของเถาหรานกลับตกตะลึงยิ่งกว่า
บ้าหน่า…นี่คุณกำลังจะบอกว่าเด็กพวกนั้นเขียนเองทั้งหมดจริง ๆ น่ะหรือ?
ชายทั้งสองมองหน้ากันอย่างมึนงง ตกตะลึงอย่างสิ้นเชิง หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ศาสตราจารย์ยวีก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ติดจะไม่พอใจเล็กน้อย “คุณคิดว่าผมเป็นใครกัน? เขาไม่ใช่ลูกชายนอกกฎหมายของผมสักหน่อย ทำไมผมต้องช่วยเขาเขียนด้วย?”
หัวใจของเถาหรานเริ่มเต้นแรงขึ้น เขาพยายามระงับความตื่นเต้นขณะที่เอ่ยตอบอย่างระมัดระวัง “ศาสตราจารย์ยวี…อย่างที่คุณทราบ เมืองเป่าอันนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของทหาร ไม่มีใครสามารถออกจากเมืองได้จนกระทั่งภาคการศึกษาหน้า แม้แต่ผมเองก็ไม่ได้ และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตก็เป็นไปไม่ได้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้…มันก็ไม่มีใครในสถาบันของเขาที่สามารถเขียนได้แบบนี้ นอกเหนือจากผู้อำนวยการทั้งสองท่าน…”
ผู้เฒ่ายวีสูดหายใจเข้าช้า ๆ
ไม่ใช่ว่าตัวเขาเองก็ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ได้อยู่แล้วอย่างนั้นหรือ?
ในความเป็นจริงเขาเองก็รู้ได้ตั้งแต่ประโยคแรกเลยว่ามันไม่ใช่ฝีมือหลี่เทาหรือสวี่อันกั๋ว ที่เขาโทรหาเถาหรานก็เพราะว่าเขาไม่สามารถยอมรับกับข้อสรุปนี้ได้เท่านั้น
เด็กบ้านั่นเป็นคนเขียนมันขึ้นมาเองจริง ๆ น่ะหรือ?
นี่…เขาขออยู่คนเดียวสักพักก็แล้วกัน…