บทที่ 218: ความเกี่ยวข้อง (1)
เขาเคยได้กลิ่นเช่นนี้มาจากที่ไหนกันนะ ? เด็กหนุ่มขมวดคิ้วและคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่เขาก็ยังนึกไม่ออก
มันน่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ด้วย นอกจากนั้นเขายังสามารถบอกได้ว่ากลิ่นนี้ค่อนข้างสดใหม่ แทบจะเหมือนกับว่าต้นตอของกลิ่นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ที่หลินฮั่นไม่ได้กลิ่นนี้ก็เพราะว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้อยู่ขั้นยมทูตขาวดำ และกลิ่นนี้ก็กลืนไปกลับพลังหยินของคนตายได้อย่างแนบเนียน หากไม่ใช่เพราะว่าฉินเย่ได้เลื่อนเป็นขั้นยมทูตขาวดำแล้วล่ะก็ เขาก็คงตรวจจับมันไม่ได้เช่นกัน
“คุณคงไม่ได้กำลังจะบอกผมใช่ไหมว่ามีวิญญาณอาฆาตอยู่ที่นี่ ?” หลินฮั่นจ้องฉินเย่ด้วยสายตาแปลกประหลาด “คิดให้ดี ที่นี่คือเมืองเป่าอัน หากขับรถไปพวกเราอยู่ห่างจากเมืองเป่าฮั่นแค่สิบนาทีเท่านั้น และที่นี่ผู้ฝึกตนลาดตระเวนอยู่ทั่วไปหมด มันไม่มีทางที่จะเกิดอะไรขึ้นที่นี่ได้”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงปัดความคิดในหัวของตนและคิดว่าตัวเองเพียงคิดมากไป เขาชี้ไปที่ประตู “นำทางไปเลย !”
ที่ใต้ประตูทางเข้าสู่ภูเขามีโต๊ะยาวหลายเมตรวางอยู่ ร่างดำมืดมากมายนั่งอยู่ด้านหลังของโต๊ะและจดรายชื่อของผู้เข้าร่วมในขณะที่วิญญาณส่วนใหญ่ต่อแถวรออยู่ที่ขั้นบันไดอย่างอดทน
“หน่วยสอบสวนพิเศษได้ทำการเข้าควบคุมตลาดไสยเวทย์ทั้งหมดตั้งแต่เมื่อสองสามปีก่อน ที่ทางเข้าออกทั้งหมดของตลาดจะต้องมีการลงทะเบียน ดังนั้นหากเราต้องการที่จะเข้าไปในตลาด เราต้องใช้สิ่งนี้” หลินฮั่นโบกใบอนุญาตพิเศษในมือของตน “ตามมา”
สิ้นสุดเสียงพูดเขาก็เดินไปที่หน้าสุดของแถว
ฉินเย่หวาดกลัวกับการกระทำของหลินฮั่นจนแทบเสียสติ บ้าเอ้ย คุณช่วยสงวนท่าทีบ้างได้ไหม ?! คิดว่าทุกคนที่นี่ตาบอดหรือไง ? ในกลุ่มวิญญาณพวกนี้อาจจะเป็นนักฝึกตนก็ได้ไม่ใช่เหรอ ? ทำไมคุณถึงไปแทรกแถวอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ ? อยากจะถูกไล่ออกจากสถาบันก่อนที่เราจะได้มีโอกาสยินดีไปกับความรุ่งโรจน์ของการแลกเปลี่ยนทางวิชาการหรืออย่างไร ?
แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว หลินฮั่นพุ่งตัวไปข้างหน้าราวกับหมูป่าตกมัน แทรกตัวขึ้นไปหน้าสุดของแถว จากนั้นเขาก็หันกลับไปกวักมือเรียกฉินเย่
หลังจากที่ระงับความโกรธภายในใจของตน ฉินเย่ทำให้จิตใจของเขาเข้มแข็งขึ้นและเดินไปข้างหน้า บอกกับตัวเองให้เตรียมหนีให้เร็วที่สุดทันทีที่แผนการชั่วร้ายของพวกเขาถูกเปิดโปง
พวกเขายืนต่อแถวอยู่ด้านหลังของวิญญาณที่สวมหน้ากากเท็นงู คนประมาณเจ็ดคนที่สวมชุดเครื่องแบบลายพรางที่มีตราสัญลักษณ์ของหน่วยสอบสวนพิเศษประทับอยู่บนอกนั่งอยู่ที่โต๊ะยาว ผู้ที่นั่งอยู่กลางสุดเป็นชายที่น่าจะอายุประมาณ 30 กว่า ๆ ที่มีเคราสวย เขารับตราวิญญาณและขมวดคิ้วหลังจากที่มอง “คุณจะต้องต่ออายุมันเร็ว ๆ นี้ไม่ใช่เหรอ ?”
“แถมคุณยังพยายามใช้ใบอนุญาตของที่มณฑลตงไห่กับที่มณฑลอันฮุ่ยอีกเนี่ยนะ ? คุณได้ใบอนุญาตเข้าชั่วคราวหรือเปล่า ? ไม่หรือ ? ถ้าอย่างนั้นแล้วรออะไรอยู่ล่ะ ? ใบอนุญาตนี้จะเหลือเวลาอีกแค่สองวันเท่านั้น นี่อยากจะถูกจับฐานะของวิญญาณร้ายหรือไง ?”
ชายสวมเสื้อคลุมวิญญาณตรงหน้าลอยขึ้นราวกับกระโปรงของมาริลิน มอนโร เพียงเพื่อจะเผยให้ห็นว่าบริเวณที่ควรจะเป็นเท้ากลับปกคลุมไปด้วยกลุ่มก้อนพลังหยิน “มันค่อนข้างเร่งด่วน ข้าเพิ่งมาถึงเลยยังไม่มีเวลาไปดำเนินเรื่อง… ท่านช่วย… ทำเป็นมองไม่เห็นสักครั้งจะได้หรือไม่ ?”
เขาวางกล่อง ๆ หนึ่งลงบนโต๊ะขณะที่เอ่ยออกมา
ชายไว้หนวดเปิดกล่องตรงหน้าตนและมองสิ่งที่อยู่ข้างใน “ครั้งต่อไปจะไม่มีข้อยกเว้ยอีก เข้าไป”
เขาหมดคำจะพูดแล้ว… ฉินเย่กลอกตา ภาพนี้ช่างคุ้นเคยอย่างน่าตกตะลึง… เขาจะต้องลงโทษคนพวกนี้ในยมโลกซะ ! กล้าดีอย่างไรถึงกล้ามาเรียกเงินจากผู้ตายทั้ง ๆ ที่จ้าวนรกผู้นี้นั้นขัดสนราวกับขอทาน !
วิญญาณตรงหน้าพยักหน้าอย่างขอบคุณและลอยเข้าไปในทางเข้า ชายไว้หนวดตบโต๊ะ “ต่อไป”
ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ และกำมือแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาภาวนาในใจอยู่หลายครั้งขอให้สิ่งที่หลินฮั่นเตรียมมานั้นเชื่อถือได้
โชคนี้ที่ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี
ชายไว้หนวดตรวจดูข้อมูลของเขา ดำเนินการลงทะเบียนและอนุญาตให้เขาเข้าไปด้านในทันที อันที่จริง การตรวจสอบนั้นราบรื่นจนฉินเย่แทบไม่อยากจะเชื่อแม้ว่าพวกเขาจะเดินเข้ามาด้านในแล้วก็ตาม
“ไม่ใช่ว่า… การควบคุมตลาดไสยเวทย์ของรัฐบาลนั้นหละหลวมไปหน่อยหรือ ?” เขาเอ่ย “ถ้าแบบนี้ผมก็สามารถมาที่ตลาดไสยเวทย์ในครั้งหน้าได้อีกน่ะสิ ?”
หลินฮั่นมองฉินเย่ราวกับว่าอีกฝ่ายโง่เต็มทน “คุณคิดบ้าอะไร ? นั่นพี่ชายตามสายเลือดของผม”
อีกนัยหนึ่งก็คือ “คุณมันโง่ชะมัด !”
โอเค…
ฉินเย่กลืนคำพูดมากมายที่ติดอยู่ในลำคอของตนลงไปและเดินตามหลินฮั่นขึ้นไปเงียบ ๆ
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาเลยหลังจากที่ข้ามจุดลงทะเบียบเข้ามา ภายในตลาดไสยเวทย์มีผู้คนอยู่จำนวนมาก แต่จากการสังเกตอย่างใกล้ชิด เขาสามารถบอกว่าได้ว่าความเข้มข้นของพลังปราณที่ไหลเวียนอยู่ในสถานที่แห่งนี้เบาบางมาก ผู้ฝึกตนมนุษย์ส่วนใหญ่อยู่ขั้นยมเทพ ในขณะที่ส่วนที่เหลือไม่แม้แต่จะถึงขั้นนั้นด้วยซ้ำ และยังมีบางครั้งที่เขาเห็นวิญญาณลอยไปลอยมาด้วยความเร็วที่มากกว่ามนุษย์ปกติ
ทว่าคนอื่น ๆ กลับเมินเฉยต่อสิ่งนี้ ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะเว้นระยะห่างของตนขณะที่ค่อย ๆ เดินไปที่ยอดเขา ความเฉยเมยท่ามกลางความระมัดระวังนี้นำมาซึ่งภาพที่หาได้ยากของความสามัคคีกันระหว่างวิญญาณและมนุษย์
ด้วยความเร็วของพวกเขา ทั้งสองไปถึงที่ยอดเขาเหลาจุนภายในเวลาประมาณสิบนาทีต่อมา
บริเวณนี้ของภูเขามีหลุมฝังศพอยู่แค่ไม่กี่หลุมเท่านั้น ทว่าหลุมฝังศพแต่ละหลุมล้วนมีระดับและหรูหรา มันถูกทำขึ้นด้วยหินอ่อนสีขาวที่ถูกแกะสลักเป็นรูปของสัตว์อสูรที่แม้แต่ฉินเย่เองก็ไม่รู้จัก และถูกกั้นระหว่างกันด้วยราวที่กั้นเป็นวงกลม เสาไฟที่อยู่ขนาบทั้งสองฝั่งของหลุมฝังศพส่องแสงสว่าง ขณะที่กิ่งสนสีเขียวถูกตัดมาเพื่อทำพวงหรีดอย่างสวยงาม
และตอนนี้… มันก็มีร่าง ๆ หนึ่งยืนอยู่บนหลุมฝังศพแต่ละหลุม
ซึ่งมันก็มีแผงขายของตั้งอยู่ตรงหน้าของพวกเขาพร้อมกับแผ่นไม้เล็ก ๆ ที่ยื่นออกมาเพื่อบอกราคาของสินค้า ส่วนที่เหลือของตลาดเองก็เต็มไปด้วยแผงลอยและบูธที่เรียงรายต่อกันออกไป แต่ละแผงจะมีเทียนเล่มหนึ่งถูกจุดไว้อยู่ด้านหน้า มีเทียนบางส่วนเป็นเพียงเทียนธรรมดาๆ ในขณะที่เทียนเหลือถูกจุดด้วยเปลวไฟนรกสีเขียวหยก
สายลมของยามราตรีพัดผ่าน ส่งผลให้ต้นไม้พลิ้วไหวและเสียงใบไม้สีกันดังขึ้นเบา ๆ แสงจันทร์สาดส่องลงมาบนเขา สร้างความรู้สึกเย็นยะเยือกแผ่ซ่านไปทั่ว มันเหมือนกับว่ามีวิญญาณนับหมื่นตนได้มารวมตัวกันเงียบ ๆ ในบริเวณนี้
ทันใดนั้นเองโทรศัพท์ของฉินเย่ก็สั่นเบา ๆ เมื่อเขาเหลือบมองมันก็พบว่าเป็นหลินฮั่นนั่นเองที่ส่งข้อความมาหาเขาโดยใช้แอปส่งข้อความทั่วไปแทนที่จะใช้โม่โม่ “เทียนปกติหมายถึงมนุษย์ เทียนที่มีเปลวไฟสีเขียวหมายความว่าเจ้าของแผงลอยแผงนั้นคือวิญญาณ เมื่อเวลาตีห้าตรง เทียนทุกเล่มจะดับลงพร้อมกัน เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าตลาดไสยเวทย์ได้ปิดลงแล้ว อย่าอ้าปากพูดเด็ดขาด มันมีสิ่งแปลกปลอมมากมายที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ความสงบนี้ ในความเป็นจริงแล้วมันจะวุ่นวายมาก ลองเดินดูรอบ ๆ ดู ผมเองก็จะทำแบบนั้นเช่นกัน”
หัวใจของฉินเย่รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย หลินฮั่นนั้นเป็นพี่ชายที่ดีสำหรับเขาอย่างแท้จริง อีกฝ่ายยอมตกลงช่วยพาเขามาที่นี่โดยที่ไม่ถามอะไรมาก และตอนนี้พวกเขาอยู่ที่นี่แล้ว หลินฮั่นก็ปล่อยให้ฉินเย่ไปทำธุระของตัวเองด้วยตัวคนเดียวภายใต้ข้ออ้างของการแยกไปดูสินค้า
ทุกคนสวมหน้าที่ต่างกันในเวลาที่ต่างกัน หลินฮั่นไม่มีทางประสบความสำเร็จมาได้มากขนาดนี้หากรู้จักแต่วิธีเล่นสนุกเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด
ฉินเย่ได้บอกการมาของเขากับตัวแทนของโรงประมูลเจียเต๋อตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว ดังนั้นเขาจึงนำขนนกสีแดงออกมาและติดมันที่บริเวณไหล่ของตนเอง จากนั้นเขาก็เริ่มเดินดูสินค้าบนแผงลอยอย่างสนใจ
ตลาดไสยเวทย์ขายสินค้าแปลกหลายอย่าง และสินค้าพิเศษบางอย่างที่เขาเห็นก็คือกิ่งไม้สีดำสนิท กะโหลกมนุษย์ที่มีเขางอกออกมาจากบริเวณหน้าผาก ขวดโหลของวิญญาณแห่งความมั่งคั่งทั้งห้าที่ถูกปิดสนิทด้วยยันต์จำนวนมาก… และสินค้าอื่น ๆ ที่ถูกขายส่วนใหญ่ก็คือเศษชิ้นส่วนของวัตถุหยิน
เศษชิ้นส่วนพวกนี้มีพลังอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นและระดับของมันก็ต่ำมาก ฉินเย่ส่ายหน้าเบา ๆ โดยไม่รู้ตัว ตอนนี้เขาเดินมาจนสุดทางของตลาดไสยเวทย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทันใดนั้นเองเด็กหนุ่มก็รู้สึกว่ามีใครบางคนมาสะกิดไหล่ของเขาเบา ๆ สามครั้ง
คนที่อยู่ด้านหลังของเขาคือชายที่สวมเสื้อคลุมยาวสีดำและสวมหน้ากากตือโป๊ยก่าย อีกฝ่ายโค้งคำนับเขา 90 องศา
มาแล้ว
ฉินเย่แย้มยิ้มบางภายใต้หน้าคลุมหน้า นี่คือวิธีที่การที่พวกเขาตกลงกัน ฝ่ายตรงข้ามจะสวมหน้ากากตือโป๊ยก่ายและสะกิดไหล่เขาสามครั้ง ในขณะที่เขาติดขนนกสีแดงไว้ที่ไหล่
โดยไม่เอ่ยอะไรออกมา ชายในชุดคลุมสีดำผายมือเป็นการเชื้อเชิญและฉินเย่ก็เดินตามการนำของอีกฝ่ายไป สุสานทุกที่ล้วนเป็นเหมือนกัน ทว่าในส่วนที่ต่ำลงมาจะเต็มไปด้วยจำนวนหลุมศพ อานุเสาวรีย์และรั้วกั้นที่แออัดกว่าเดิม สุสานบนภูเขาเหลาจุนเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นจากสิ่งนี้ พวกเขาเดินลงมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเดินมาถึงบริเวณ C8 ของชั้นที่สาม ในที่สุดฉินเย่ก็มองเห็นแสงสว่างแม้ว่าจะน้อยมากก็ตาม
ที่หัวมุมของบริเวณ C8 มีต้นไทรขนาดใหญ่อยู่ ใบและกิ่งก้านขนาดใหญ่ที่ยื่นออกมาของมันส่งผลให้เกิดเงายาวที่ยื่นออกไปมากกว่าสิบเมตร เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปใกล้บริเวณปลายสุดของทาง ฉินเย่ก็เห็นแสงสว่างจากตะเกียงไฟสีขาวและเงาราง ๆ ของคนอีกสองคนที่รอเขาอยู่ก่อนแล้ว
รอบคอบมาก… ฉินเย่พยักหน้ายอมรับ ต่ำแหน่งนี้ทำให้พวกเขาสามารถมองเห็นได้ทุกมุมมองโดยรอบ แต่คนอื่นภายนอกกลับไม่สามารถมองเห็นพวกเขาได้เลยสักนิด
“คุณฉิน” ชายคนหนึ่งก้าวออกมาจากเงาและยื่นมือมาตรงหน้า “ได้ยินชื่อเสียงของคุณมานานในที่สุดก็ได้พบกัน”
แววตาที่ลุกโชนของเขาจ้องมองไปยังกล่องขนาดใหญ่ที่ฉินเย่กำลังถืออยู่ “สถานที่แห่งนี้ปลอดภัยมาก พวกเราเดินทางมาจากเมืองเยียนจิงและแม้กระทั่งเสี่ยงชีวิตเพื่อเดินทางมาที่นี่ เพราะฉะนั้น… พวกเรามาปฏิบัติต่อการพบกันครั้งนี้อย่างซื่อสัตย์และจริงใจดีหรือไม่ ?”
มือของอีกฝ่ายนั้นขาวมาก และฉินเย่ก็สามารถบอกได้เลยว่าชายตรงหน้านั้นได้รับการดูแลมาอย่างดี นอกจากนี้มันยังไม่มีรอยแผลเป็นหรือรอยเหี่ยวย่นบนมือของเขาเลยสักนิด
แต่ฉินเย่ไม่ได้ตอบรับการจับมือนั้น กลับกันเขาเอนตัวพิงกับป้ายหลุมศพที่อยู่ใกล้ๆ สูดหายใจเข้าช้าๆแล้วจึงวางกล่องลง “เราจะทำแบบนั้นได้อย่างไร ?”
“แบบนี้ครับ” ชายที่สวมหน้ากากซุนหงอคงถอดหน้ากากของตนออก มันเผยให้เห็นชายสวมแว่นที่น่าจะอายุประมาณ 30 ต้น ๆ ใบหน้าของเขาดูสุภาพและสงบเสงี่ยม “ไป๋อี้ชาน หัวหน้าโรงประมูลเจียเต๋อ สำนักงานใหญ่เมืองเยียนจิง เรียกผมว่าหัวหน้าไป๋ก็ได้ครับ”
“สุดท้ายเราก็จะได้เจอกันแบบตัวต่อตัวหากคุณตัดสินใจที่จะเข้าร่วมงานประมูลใหญ่ประจำฤดูร้อนที่จะมาถึง นอกจากนี้ในเมื่อคุณเป็นผู้ถือบัญชี VIP ระดับสูง พวกเราจึงอยากจะขอรวบรวมข้อมูลของคุณเพื่อที่จะสามารถบริการคุณให้ดีขึ้นในครั้งต่อ ๆ ไป คุณว่าอย่างไรครับ ?”
ฉินเย่มองอีกฝ่ายและแย้มยิ้มบาง ด้วยการสูดหายใจเข้าช้า ๆ เขายื่นมือออกไปในที่สุด “ไม่เลว”
ทันใดนั้นฉินเย่ก็กระชับมือของตนแน่นขึ้นขณะที่พวกเขาจับมือกัน ก่อนที่ชายอีกสองคนจะทันได้มีปฏิกิริยาอะไร มือของหัวหน้าไป๋ก็ถูกกำจนเคล็ดและอีกฝ่ายก็กรีดร้องออกมาเสียงดัง ในเสี้ยววินาทีต่อมา มีดเล่มหนึ่งร่วงออกมาจากแขนเสื้อ เด็กหนุ่มจับมันก่อนจะชี้มันไปที่คอของชายสวมหน้ากากหงอคง
ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในพริบตา และมันก็ไม่มีใครสามารถตอบสนองได้ทันเวลา ชายในชุดดำที่ยืนอยู่ในความมืดสั่นเทาเล็กน้อย ขณะที่เขากำลังจะขยับตัวฉินเย่ก็เอ่ยด้วยเสียงนิ่งเรียบ “หยุดอยู่ตรงนั้น อย่าขยับแม้แต่นิดเดียว ไม่เช่นนั้น…“
คมมีดของเขาอยู่ห่างจากลำคอของหัวหน้าไป๋เพียงแค่หนึ่งเซนติเมตรเท่านั้น ด้วยร่างที่สั่นเทา อีกฝ่ายค่อย ๆ ยกมือขึ้น และฉินเย่ก็ค่อยขยับปลายมีดเข้าใกล้อีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง “ไม่เช่นนั้น หมอนี่ตาย”
“คุณฉิน…” เสียงของหัวหน้าไป๋สั่นเทา “คุณทำอะไรน่ะครับ ? พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อตรวจสอบสมบัติของคุณและทำธุรกรรมกับคุณเท่านั้น…”
“ตรวจสอบเหรอ…” ฉินเย่แย้มยิ้ม ตอนนี้คมมีดในมืดของเขาแนบอยู่กับลำคอของอีกฝ่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “คุณรู้หรือเปล่าว่าทำไมเมื่อครู่นี้ผมถึงสูดหายใจเข้าลึก ๆ?”
หัวหน้าไป๋กลืนน้ำลายอึกใหญ่และส่ายศีรษะอย่างว่างเปล่า
“เพราะว่าผมได้กลิ่นเหม็นของศพทันทีที่ผมมาถึงที่เชิงเขาน่ะสิ” ฉินเย่จ้องลึกเข้าไปในตาของหัวหน้าไป๋ “เพราะฉะนั้นผมจึงพยายามมองหาแหล่งที่มาของกลิ่นเหม็นที่ว่านั่นมาตลอด และเมื่อครู่นี้ ในที่สุดผมก็แน่ใจแล้วว่ากลิ่นเหม็นที่ว่านั่นแท้จริงแล้วโชยมาจากร่างของคุณ ดังนั้นคุณผู้ชาย คุณช่วยบอกผมทีได้หรือไม่ว่าทำไมคุณถึงมีกลิ่นเหม็นของศพติดอยู่บนร่าง ? หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าคุณมีเงาอยู่ที่เท้า คุณก็คงตายไปนานแล้ว”
“มันเป็นเพราะว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้คุณได้สัมผัสกับสิ่งสกปรกพวกนั้นมา ? หรือเพราะ…” เขายื่นมือไปคว้าเข้าที่คอของอีกฝ่าย “คุณคือสิ่งสกปรกพวกนั้นกันแน่ !!”
ฉินเย่มีอำนาจเหนือกว่าผู้ที่อ่อนแอกว่าเขาอย่างแท้จริง !
แต่เมื่อเป็นผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเขา… แค่ก… แค่ก… พวกเราทั้งหมดในที่นี้ต่างรู้ดีว่ามันเป็นอย่างไร
หัวหน้าไป๋คงตกตะลึง ไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็กัดฟันกรอด “คุณฉิน มันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องทำแบบนี้…”
“นักล่าวิญญาณ” ทันใดนั้น ชายคนที่สามซึ่งเงียบมาตลอดก็เอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรก
“เขาอยู่ขั้นนักล่าวิญญาณ” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า และสายตาของเขาก็จ้องเขม็งไปที่ฉินเย่ “และไม่ใช่แค่ขั้นนักล่าวิญญาณธรรมดา…. เขา… แข็งแกร่งกว่าขั้นนักล่าวิญญาณที่คุณเคยเจอมามาก…”
จากนั้นจึงเดินออกมาจากความมืดเป็นครั้งแรก เผยให้เห็นว่าผู้พูดฃยังคงสวมหน้ากากอยู่ นอกจากนั้น.. การที่คนสองคนก่อนหน้านี้สวมหน้ากากหงอคงและตือโป๊ยก่าย ดังนั้นฉินเย่จึงนึกว่าชายคนนี้จะสวมหน้ากากซัวเจ็ง แต่เขาคิดผิด
มันคือ… หน้ากากถังซัมจั๋ง !