บทที่ 222: ดวงตาแห่งคำสาป (2)
สายลมเย็นยะเยือกยามราตรีพัดผ่านสุสาน กับเสียงใบไม้เสียดสีกันเบา ๆ ทั้งหมดนี้ช่วยเพิ่มความน่าขนลุกให้กับเสียงร้องไห้ของไป๋อี้ชานได้อย่างดี
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ฉินเย่ก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมาในท้ายที่สุดว่า “ผมอยากให้คุณลองนึกดูดี ๆ ก่อนที่จะตอบคำถามนี้ ตอนที่คุณทำมันแตกครั้งแรก คุณได้ยินเสียงอะไรแปลก ๆ บ้างหรือเปล่า ?”
ไป๋อี้ชายส่ายหน้า สีหน้าของเขาค่อนข้างไม่แน่ใจนัก และทันใดนั้น ราวกับนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาก้มหน้าและทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เขารู้ดีว่าทุกรายละเอียดในตอนนี้อาจหมายถึงความเป็นความตายของตัวเอง
“มันมีบางอย่างเกิดขึ้น… ผมไม่แน่ใจว่าผมหลอนไปเองหรือเปล่า…” เขาเงยหน้าขึ้นมาหลังจากผ่านไปประมาณสองนาที “ตอนนั้น… เหมือนผมจะได้ยินเสียงเหรียญทองแดงตกลงพื้น มันแปลกมาก มันแทบจะเหมือนกับ… มันตกลงมาจากฟ้า…”
ฉินเย่ยังคงนิ่งเงียบ เขาพอจะเดาบางอย่างเอาไว้แล้ว แต่เขายังไม่สามารถแน่ใจได้จนกว่าจะหารือเรื่องนี้กับอาร์ทิสอีกทีหลังจากนี้
“คุณยังมีชิ้นส่วนที่เหลืออยู่ของกับถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีอยู่กับตัวหรือเปล่า ?” ฉินเย่ถามอีกฝ่าย
“มะ มี… มีครับ !” ไป๋อี้ชานถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขาวิ่งไปที่ต้นไทรและขุดหลุมก่อนจะนำกล่องขนาดเล็กขึ้นมา จากนั้นจึงยื่นมันให้กับฉินเย่
เด็กหนุ่มเปิดมันอย่างระมัดระวัง ด้านในของกล่องคือชิ้นส่วนขนาดหนึ่งฝ่ามือของถ้วยพระเนตรสวรรค์
เมื่อฉินเย่มองมันแวบหนึ่ง จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีใครบางคน… กำลังจ้องมองมาที่เขาผ่านเศษถ้วยชิ้นนี้ !
มันเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น… ความเคียดแค้นที่รุนแรงกว่าที่ชู้รักคนนั้นหรือหลี่เจียนคังมี ! ตอนนี้… เรากำลังพูดถึงความแค้นระดับชาติ ! และมันยังรู้สึกราวกับว่ามันไม่ได้มีเพียงสายตาคู่เดียวที่จ้องมาที่เขาด้วยความแค้นระดับนี้ !
มันยังมีเสียงกรีดร้องโหยหวนของวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน เสียงเผาไหม้ของเปลวไฟ และเสียงของใบมีดที่กรีดทะลุเนื้อ… เสียงแห่งความเศร้าโศกและความสิ้นหวัง… มันแทบจะเหมือนกับเป็นนรกบนดินไม่มีผิด !
ปึก ! เป็นระยะเวลาเพียงสามวินาทีเท่านั้นก่อนที่เขาจะปิดฝากล่องลง และวินาทีนั้นเขาก็พบว่าร่างของตัวเองในตอนนี้ได้เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
โอดะโนบูนางะ… จะต้องอยู่ขั้นยมทูตขาวดำอย่างแน่นอน !
“คืนพรุ่งนี้มารอผมที่นี่” เขาพลิกกล่องเล่นไปมาและเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “อ้อ มีอีกเรื่องหนึ่ง ผมไม่สนว่าคุณจะใช้วิธีไหน แต่ผมอยากให้คุณติดต่อกับเหล่าผู้นำของอุตสาหกรรมของตกแต่งบ้านให้ผมก่อนที่งานประมูลจะเริ่มขึ้น บอกพวกเขาว่าผมมีไม้ฮวงหัวลี่มูลค่ากว่าพันล้านหยวนอยู่ในมือ และบอกพวกเขาให้ติดต่อผมมาหากพวกเขาสนใจ การจ่ายเงินจะต้องดำเนินการก่อนที่งานประมูลจะเริ่มขึ้น”
“เข้าใจแล้วครับ !” มันไม่มีอะไรที่ไป๋อี้ชานจะไม่ยอมตกลงในเวลาเช่นนี้
ฉินเย่พยักหน้า “มันจะเป็นการดีที่สุดหากคืนนี้คุณจะซ่อนตัวอยู่ใกล้กับสำนักฝึกตนแห่งแรก คุณนั่งอยู่ที่หน้าทางเข้าเลยก็ได้ มันคงไม่เป็นปัญหาอะไรตราบใดที่คุณไม่ได้ข้ามเข้ามาในเขตของเมืองเป่าอัน ไม่เช่นนั้น… คุณอาจจะปลอดภัยอยู่ครู่หนึ่ง แต่มันคงจะใช้เวลาสักพักใหญ่กว่าที่คุณจะสามารถออกไปจากที่นั่นได้”
ไป๋อี้ชานพยักหน้ารั่ว ๆ ทว่าก่อนที่ชายหนุ่มจะพยักหน้าเสร็จ ฉินเย่ก็จับคางของอีกฝ่ายไว้และบังคับให้สบตากับตน
“หรือว่าคุณกำลังคิดว่าหากตัวเองสามารถเข้าไปในเมืองเป่าอันได้แล้วและทุกอย่างจะจบลง ? ผมจะบอกอะไรให้นะ… ฝันไปเถอะ เพราะทันทีที่คุณเข้าไป… ผมจะเป็นคนฆ่าคุณเอง เชื่อเถอะ ผมไม่ได้ต่างอะไรกับโอดะโนบูนางะนักหรอก”
ฉินเย่เอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
ธรรมชาติที่บ้าบอและขี้เล่นของเขาเป็นด้านที่เด็กหนุ่มแสดงให้เห็นเฉพาะบางคนเท่านั้น พวกที่อยู่ด้านนอกขอบเขตความไว้ใจย่อมเห็นด้านที่เย็นชาและห่างเหินแทน
เมื่อเอ่ยจบ เขาจึงหันหลังและเดินออกจากสุสาน ไม่คิดจะสนใจไป๋อี้ชานอีกต่อไป และตอนนี้หลินฮั่นเองก็น่าจะเริ่มเป็นกังวลแล้วด้วย
“คุณ… ท่านครับ !” ร่างของไป๋อี้ชานสั่นระริกขณะที่เขาวิ่งตามฉินเย่มาอย่างหวาดกลัว “แน่ใจใช่ไหมครับว่าผมจะอยู่รอดจนถึงคืนวันพรุ่งนี้ ? ทะ ท่านจะทิ้งผมไว้แบบนี้ไม่ได้นะครับ !”
ฉินเย่เริ่มไม่พอใจ เขาหายตัวไปในความมืดอย่างรวดเร็วพร้อมกับคำพูดทิ้งท้าย “ผมบอกวิธีเอาชีวิตรอดให้คุณแล้ว คุณจะปฏิบัติตามมันหรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องของผม เพราะอย่างไรแล้ว… ผมก็ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการแล้ว นอกจากนี้ ผมมั่นใจว่าสิ่งแรกที่คุณโนบูนางะต้องการหลังจากที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาก็คือหวนนึกถึงอดีตของตน…”
เขาอยากรู้จริง ๆ ว่าอีกฝ่ายจะมีสีหน้าแบบไหนเมื่อได้เจอกับอาร์ทิส
ราชาปีศาจแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6 ปะทะราชินีแม่มด ?
โอ้…. นั่นจะต้องเป็นภาพที่น่าดูชมเชียวล่ะ…
“ท่าน !!” น้ำเสียงที่สั่นเครือของไป๋อี้ชานดังก้องไปทั่วสุสาน เขาไม่กล้าแม้แต่จะเสียเวลาอีกต่อไป จึงรีบเก็บกล่องที่ฉินเย่ได้ทิ้งเอาไว้และมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ฉินเย่ได้หายไปอย่างรวดเร็ว
อย่างน้อยมันก็ยังมีความหวังไม่ใช่หรือ ?
……………………………………………..
หลินฮั่นไม่ได้เอ่ยอะไรถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่ภูเขาเหลาจุนแม้ว่าพวกเขาจะกลับมาเจอกันอีกครั้งก็ตาม ทั้งสองรีบตรงกลับไปที่สำนักฝึกตนแห่งแรกทันที
นี่คือสิ่งที่เพื่อนทำให้กัน หลินฮั่นไม่ได้ถามรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น และตอนนี้เมื่อเห็นว่าฉินเย่ยังคงเงียบ เขาก็รู้ดีว่าไม่ควรถามอะไรออกไป เพราะอย่างไรแล้วเขาก็พอจะเดาได้ว่าเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นที่ตลาดไสยเวทย์ในคืนนี้นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับฉินเย่อย่างแน่นอน
พวกเขากลับมาถึงห้องของตนอย่างปลอดภัย สิ่งแรกที่ฉินเย่ทำก็คือปิดประตูห้องและลงกลอน อาร์ทิสไม่ได้พูดจาถากถางอะไรกับฉินเย่อย่างบ่อยครั่งนัก นางเพียงจ้องฉินเย่เขม็ง “มีบางอย่างติดตัวเจ้า… ความโกรธแค้นมหาศาลนั่น แล้วยังพลังหยินที่น่ากลัวนั่นอีก อย่าบอกนะว่าเจ้านำถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีกลับมาด้วย ?”
“ข้านำเศษชิ้นส่วนของมันกลับมา” ฉินเย่หันไปตรวจสอบว่าประตูถูกล็อกสนิทก่อนจะเดินมาที่เตียงและเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้อาร์ทิสฟัง
อาร์ทิสขมวดคิ้วยุ่งและไม่เอ่ยอะไรออกมาเป็นเวลาสักพักใหญ่หลังจากที่ฉินเย่เล่าจบ จากนั้นนางจึงเปิดกล่องและมองเศษชิ้นส่วนตรงหน้าก่อนจะถอนหายใจออกมา “ข้าเคยได้ยินปรมาจารย์แห่งยมโลกผู้หนึ่งพูดเอาไว้ว่าวัตถุหยินบางชิ้นก็เต็มไปด้วยความชั่วร้ายจนปรมาจารย์บางคนต้องผนึกมันเอาไว้และเสียสละชีวิตของตนไปพร้อมกับวัตถุหยินชิ้นนั้น หลังจากที่เขาตาย เขาจะไม่ได้ไปทั้งสวรรค์หรือยมโลก แต่เขาจะต้องกำจัดวิญญาณอาฆาตและพลังความเคียดแค้นจากวัตถุหยินชิ้นนั้นทั้งหมดไปอีก 500 ปีก่อนจึงจะสามารถไปเกิดใหม่ได้ และด้วยการนั้น เขาก็จะได้สั่งสมคุณธรรมและกุศลอันยิ่งใหญ่ ซึ่งทั้งหมดนี้จะถูกนับรวมกับผลรางวัลที่เขาจะได้รับเมื่อกลับไปเกิดใหม่”
“หากถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีถูกฝังไว้กับศพเมื่อตอนที่พวกเขาขุดมันขึ้นมา ศพนั่นก็คงจะเป็นหนึ่งในคนโง่ที่ยื่นมือเข้ามายุ่งกับกิจการของโลกอย่างแน่นอน การที่วิญญาณร้ายอาละวาดไปทั่วแดนมนุษย์นั้นเป็นกงการอะไรของเขากัน ? เขาควรจะปล่อยให้ยมโลกจัดการกับเรื่องพวกนี้ และสิ่งที่ข้ารำคาญมากที่สุดก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเราไม่ได้รับชื่อเสียงจากการกำจัดวิญญาณอาฆาตพวกนั้น เหอะ สวะ !”
ฉินเย่ไม่รู้ว่าเขาควรจะตอบสนองกับคำพูดของอีกฝ่ายอย่างไร !
อ่า… นี่คือมุมมองที่แท้จริงของยมทูตที่มีต่อพระสงฆ์และนักพรตผู้น่านับถือในแดนมนุษย์สินะ ?
‘สนใจเรื่องของตัวเองไป’
‘อย่ามาแย่งความดีความชอบของข้า’
‘เหตุใดพวกเจ้าไม่ตายไปซะ’
….พอมาคิดดูแล้ว พวกท่านรู้จักความว่าเห็นอกเห็นใจบ้างหรือไม่ ?!
“หืม ? เหตุใดเจ้าถึงมีสีหน้าสับสนเช่นนั้น ? เจ้าต้องการให้ข้าช่วยไหม ?” อาร์ทิสลุกขึ้นยืน
“หะ ไม่ ไม่ต้อง… ข้าไม่ได้เป็นอะไร ทั้งหมดที่ท่านต้องทำก็คือนั่งเฉย ๆ และทำตัวน่ารัก ๆ ต่อไป ส่วนตอนนี้ เชิญท่านพูดต่อ….” ฉินเย่เลือกใช้คำอย่างชาญฉลาด
อาร์ทิสเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ – เจ้าเด็กนี้เริ่มฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ …นางกระแอมออกมาเบา ๆ และเอ่ยต่อ “คืนนี้เจ้าได้รับข้อมูลมามากทีเดียว ข้าจะทำการอธิบายแยกย่อยให้ฟังทีละขั้นก็แล้วกัน”
สีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ประการแรก เจ้าเดาถูก ผู้ที่ผนึกวิญญาณที่เคียดแค้นของโนบูนางะเอาไว้มีกลอุบายบางอย่าง และเขาก็ได้เปลี่ยนถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีให้กลายเป็นภาชนะ ภาชนะนี้มีไว้เพื่อกักเก็บดวงวิญญาณของผู้ที่ต้องตายไปในเหตุการณ์ที่วันฮนโน โดยเฉพาะผู้ที่เคียดแค้นจากข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาใกล้จะสามารถรวมญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในเวลานั้น เมื่อภาชนะถูกทำลาย ผนึกเองก็เช่นกัน”
“ประการที่สอง สถานการณ์ที่โรงประมูลเจียเต๋อจะไม่เลวร้ายลง เพราะอย่างไรแล้วผนึกก็เพิ่งถูกทำลายไปไม่นาน และผู้ที่สามารถหลบหนีออกมาได้ก็มีเพียงโมริรันมารุเท่านั้น วิญญาณของโนบูนางะจะตื่นขึ้นอีกครั้งก็ต่อเมื่อชิ้นส่วนทั้งสองของถ้วยกลับมารวมกันอีกครั้ง และในเมื่อโมรริรันมารุไม่ได้ไล่ตามถ้วยเมื่อตอนที่อยู่ที่เมืองเยียนจิง เป้าหมายของเขาก็ย่อมต้องเป็นเศษชิ้นส่วนที่อยู่ในมือของเจ้าตอนนี้อย่างแน่นอน หากเราถอยออกมาหนึ่งก้าวเพื่อดูภาพรวม… นั่นหมายถึงว่าต่อให้โรงประมูลเจียเต๋อจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน การประมูลก็จะไม่ถูกยกเลิก พูดอีกนัยหนึ่งก็คือมันจะต้องมีคนมาเข้าร่วมการประมูลตามกำหนดอยู่ดี”
ฉินเย่มองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจเป็นอย่างมาก “ข้าอยากจะพูดสิ่งนี้มานานมากแล้ว แต่เหตุใดท่านถึงไม่ไปที่เมืองเยียนจิงและนำส่วนที่เหลือของถ้วยกลับมาให้ข้ากัน ? เพราะอย่างไรเสียมันก็ไม่มีใครเห็นท่านอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ?”
อาร์ทิสส่ายหน้า “ชาวยมโลกไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงกิจการของแดนมนุษย์ได้ นี่คือกฎสำคัญ เจ้าคือไอ้บ้าที่มีพลังของทั้งสองโลก และเจ้าก็ไม่ได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกฎข้อนี้ แต่ข้าไม่สามารถทำได้ !”
“ท่านช่วยจริงจังสักทีได้หรือไม่ ? ท่านรู้หรือไม่ว่าผู้อ่านจะเสียใจเพียงใดที่ต้องอ่านคำพูดพวกนี้ซ้ำ ๆ?!”
อาร์ทิสกลอกตา “ในเมื่อมันถูกตัดสินแล้วว่าถ้วยจะถูกนำออกประมูล มันย่อมได้รับบางสิ่งบางอย่างที่เรียกว่า ‘เจตจำนงของมนุษย์’ นี่คือสิ่งที่ไม่มีตัวตน ข้าเองก็ไม่เคยเห็นมันมาก่อน แต่ข้ามั่นใจว่ามันมีอยู่จริงดั่งเช่นกฎแห่งสวรรค์ ทันทีที่ข้าเอื้อมมาออกไปคว้าอะไรพวกนั้น ข้าเกรงว่าชะตากรรมเดียวที่รอข้าอยู่หลังจากนั้นจะเป็นชีวิตนิรันดร์ในสรวงสวรรค์น่ะสิ”
ฉินเย่กะพริบตาอย่างมึนงงและถามต่อ “ท่านไม่ต้องการหรอกหรือ ? เหตุใดท่านไม่ลองคิดถึงข้อเสนอของพวกเขาอย่างจริงจังดู ? นี่คือคำเชิญเป็นข้าราชการของสวรรค์ ตามมาด้วยโบนัส 1 แสนปีและยังสิทธิประโยชน์และสิทธิพิเศษอีกมากมาย ! สวรรค์ก็ไม่ได้แย่นัก ท่านก็รู้…”
อาร์ทิสส่งเสียงฮึดฮัด “สวรรค์มีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตหรือไม่ ?”
อะไรนะ ?!
ฉินเย่มึนงง นี่อีกฝ่ายหมายความว่า… เขาคือเหตุผลว่าทำไมยายเฒ่านี่ถึงตัดสินใจอยู่ที่แดนมนุษย์อย่างนั้นหรือ ?!
ให้ตายเถอะ… ฉินเย่อยากจะตบหน้าตัวเองแรง ๆ สักที !
อาร์ทิสยังคงถามต่อ “แล้วบนสวรรค์มีเกม LoL หรือไม่ ?”
ฉินเย่ส่ายหน้า
อาร์ทิสยังคงทำแฮตทริกอย่างต่อเนื่อง “สวรรค์มีแอปอย่างโม่โม่ ไคว่โฉ่ว โด้ยวี๋ อ้ายฉีอี้ เทนเซ็นต์วิดีโอ รวมถึงไพ่นกกระจอก โป๊กเกอร์ เนื้อสด และอื่น ๆ หรือไม่ ? พวกเขาอาจจะส่งข้าไปให้ซุนหงอคงหากข้าต้องการพูดคุยเกี่ยวกับวิธีการล่าสัตว์กับพวกเขาก็เป็นได้ และจากนั้นเขาก็จะเนรเทศข้าไปยังป่าแห่งความยาก 81 ประการก็เป็นได้”
ฉินเย่เงยหน้าขึ้นมองฟ้า มึนงงโดยสมบูรณ์ “ข้าผิดเอง… ข้าไม่น่าเปิดให้ท่านได้รู้จักกับโลกกว้างเลยจริงๆ …พอข้าได้ยินท่านพูดเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตและวัฒนธรรมป๊อปอย่างคล่องแคล่วแบบนี้ จู่ ๆ ข้าก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง….”
อาร์ทิสมองฉินเย่ด้วยสีหน้าหน้าสงสาร ยืนยันความคิดของอีกฝ่าย จากนั้นน้ำเสียงของนางก็เคร่งขรึมขึ้น “เลิกนอกเรื่องได้แล้ว ! พวกเราเสียเวลาไปกับการพูดไร้สาระมากเกินไป ! กลับเข้าเรื่องสักที !”
ใช่ กลับเข้าประเด็นสักที นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เราถึงตรงไหนกันแล้ว ? อ้อ ใช่ ประการที่สาม”
นางมองฉินเย่อย่างจริงจัง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่ชื่อคาโม่นั่นคือใคร ?”
ฉินเย่พยักหน้า “เขาคือองเมียวจิ และองเมียวจิที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในญี่ปุ่น… ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตระกูลคาโม่” [1]
อาร์ทิสตกตะลึง “แค่ก…. ข้ากำลังจะพูดว่าเขาคืออาเบโนะเซย์เมย์…[2] ไม่ใช่เขาหรอกหรือ ? นั่นหายากมากเลยนะ…”
“ผิดแล้ว !!” ฉินเย่ระเบิดโพล่งออกมา จากนั้นเขาจึงสูดหายใจเข้าช้าๆและมองอาร์ทิสด้วยสายตาอาฆาต “แผ่นดินจีนมักจะคิดว่าองเมียวจิที่แข็งแกร่งที่สุดคืออาเบโนะเซย์เมย์… แต่พวกเราคิดผิด องเมียวจิที่แข็งแกร่งที่สุดแท้จริงแล้วคือตระกูลค่าโม่… พูดถึงเรื่องนี้ ท่านจะสามารถอธิบายให้ข้าฟังได้อย่างไรงในเมื่อท่านไม่รู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ด้วยซ้ำ ?!”
อาร์ทิสหดคอกลับราวกับหนอนเมื่อสบกับสายตาของฉินเย่ จากนั้น เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งนางจึงพยักหน้าอย่างจริงจัง ใช้ทักษะ ‘นั่นไม่ใช่ประเด็น’ ของหวังต้าชุ่ย “ข้าไม่คิดจริง ๆ ว่าเจ้าจะมีความรู้มากมายในเรื่องพวกนี้… แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ! ปัญหาของเรื่องนี้อยู่ที่ประการที่สี่ !….”
นางหยิบเศษชิ้นส่วนขึ้นมาด้วยรอยยิ้มกว้าง “เจ้ารู้หรือไม่ว่า… ผู้ใดอยู่ในนี้ ?”
ฉินเย่ตกตะลึง “ครอบครัวของโอดะ ? โนฮิเมะ โนบูทาดะและคนอื่น ๆ?”
อาร์ทิสยิ้ม “เจ้าโชคดีจริง ๆ”
“ข้าเคยได้ยินมาว่าถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีเคยถูกเรียกว่าดวงตาแห่งคำสาปมาก่อน ในเมื่อมันเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะให้เจ้าจ้องเข้าไปในดวงตาของมันและดูว่ามีวิญญาณอาฆาตอยู่ในนั้นทั้งสิ้นกี่ตน สิ่งนี้สามารถเรียกได้ว่ากระถางเพาะพันธุ์อย่างแท้จริง…”
[1] นักพรตผู้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ และว่ากันว่าพวกเขาสามารถอัญเชิญและควบคุมชิกิงามิและวิญญาณเล็กๆได้
[2] องเมียวจิที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ประสบความสำเร็จทั้งในฐานะของนักโหราศาสตร์และนักพยากรณ์ เป็นลูกศิษย์ของคาโม่โนะทาดายูกิ โดยในเรื่องนี้ เพื่อให้ทันสมัยขึ้นทางผู้เขียนได้ปรับแต่งให้ตัวละครคาโม่โนะทาดายูกิเป็นเพียงผู้สืบสายเลือดของตระกูลคาโม่ที่มีชื่อเหมือนกันกับอาจารย์คาโม่โนะทาดายูกิ อาจารย์ของอาเบะโนะเซย์เมย์เท่านั้น