บทที่ 4 คุณยาย
เกิดอะไรขึ้น?
ฉินเย่ชะงัก ผู้คนรอบข้างต่างพากันหลีกทางเพื่อให้เขาเข้าไปอย่างช้าๆ ชายวัยกลางคนอายุน่าจะประมาณ 40 กว่า กำลังเดินวนไปวนมาหน้าบ้านฉินเย่อย่างกระวนกระวายใจ ทันทีที่เห็นว่าฉินเย่กลับมาแล้ว เขาก็รีบเดินมาคว้ามือของเด็กหนุ่มเอาไว้และถอนหายใจออกมา “ฉินเย่….เธอทำใจดี ๆ นะ”
“เกิดอะไรขึ้นครับ?”
ชายตรงหน้าเพียงเอ่ยออกมาช้า ๆ ว่า “เมื่อครู่นี้…จู่ ๆ ยายของเธอหมดสติและล้มไป ตอนนี้เธอไม่หายใจแล้ว…”
“ฉินเย่ เธอรีบพาคุณยายไปที่โรงพยายามเร็วเข้า! ถ้าหากเงินไม่พอหรือมีอะไรก็ให้รีบบอกพวกเราเลยนะ คุณยายของเธอท่านอายุมากแล้ว เพราะฉะนั้นเราจะช้ากว่านี้อีกไม่ได้เด็ดขาด! พวกเราได้โทรเรียกหน่วยกู้ภัยให้แล้ว”
ทุกคนที่อาศัยอยู่บนถนนเส้นนี้มักจะเปิดบ้านและไม่ล็อกประตู สิ่งนี้แตกต่างกับความเย็นชาแบบพวกเพื่อนบ้านในเมืองใหญ่เป็นอย่างมาก ท่ามกลางความเป็นห่วงใยจากเหล่าเพื่อนบ้าน ดวงตาของฉินเย่ก็วาวขึ้นขณะที่รีบเดินตรงเข้าไปบ้าน
ทันทีที่เขาเปิดประตูด้านหน้าเข้าไป ฉินเย่ก็เห็นร่างของหญิงชรานอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงโดยที่มือทั้งสองข้างวางกุมกันเอาไว้ เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะยื่นมือที่สั่นระริกของตัวเองออกไปเพื่อตรวจวัดลมหายใจและชีพจร
มันไม่มีลมหายใจเลยสักนิด!
เขายืนอยู่อย่างนั้นจนเกือบจะสองนาทีเต็ม แต่ร่างของคนตรงหน้าก็ยังนิ่งสนิท จากนั้นจึงหันหลังและเดินออกไปหน้าบ้านเพื่อพูดกับทุกคน “ขอบคุณทุกคนมากครับ ผมเอายาให้คุณยายแล้ว เดี๋ยวท่านก็จะดีขึ้น มันเป็นโรคที่เรื้อรังมานานแล้ว ให้เวลาท่านได้พักสักหน่อย เดี๋ยวผมดูแลท่านต่อเองครับ แล้วพรุ่งนี้ผมจะไปขอบคุณทุกคนด้วยตัวเองอีกทีนะครับ”
เมื่อพูดจบ ฉินเย่ก็ปิดประตูทันทีเพื่อปิดกั้นการถามคำถามที่อาจตามมาหลังจากนี้
เขายืนพิงหลังอยู่กับประตู หลับตาลงและยกมือขึ้นมาช้า ๆ อย่างอ่อนแรงเหมือนกับต้องการจะปิดตาตัวเอง แต่สุดท้าย…เสียงหัวเราะก็หลุดดังแทรกผ่านความเงียบภายในห้อง จากนั้นมือที่เหมือนจะยกมาปิดตาก็เปลี่ยนเป็นกำหมัดแน่น
“เย้~!!!”
ในที่สุดก็ถึงเวลาของเราสักที!
เขาเดินไปที่เตียงอีกครั้งและยกร่างของหญิงชราขึ้นได้อย่างง่ายได้ กระดูกของอีกฝ่ายเบาเป็นอย่างมาก เขามองไปรอบ ๆ บ้านของตัวเองอย่างตื่นเต้น เพราะว่าทำธุรกิจเกี่ยวกับศพ ที่บ้านจึงมีโลงศพอยู่เต็มไปหมด ฉินเย่รีบเตะฝาโลงศพออกและใส่ร่างของหญิงชราลงไป จากนั้นก็หยิบอุปกรณ์อย่างตัวเคลือบน้ำมัน ตะปูมาไว้ในปากพร้อมกับถือค้อนอยู่ในมือ แต่ขณะที่เขากำลังจะตอกตะปูลงไปที่ฝาโลง คนที่อยู่ในโลงก็ลืมตาขึ้นมาและจ้องไปที่ฉินเย่อย่างโมโห
ขณะนั้น ทุกอย่างดูเหมือนจะหยุดนิ่งไปอย่างกะทันหัน
“กำลังยุ่งเลยสินะ?”
“เหอะ ๆ ๆ …เปล่าสักหน่อยนี่ครับ” ฉินเย่หัวเราะออกมาอย่างอึกอักขณะที่พยายามซ่อนเครื่องมือของตัวเองไว้ด้านหลัง
“ข้าจำได้ว่าเมื่อครู่ข้านอนอยู่บนเตียงนะ…”
“…เตียงนั่นมันแข็งเกินไป ข้าก็เลยพาท่านมาที่ที่สบายกว่า…”
“แล้วเจ้าไม่คิดว่าที่นี่มันแคบไปหน่อยหรือไง?” หญิงชราแสยะยิ้มขณะที่ลุกขึ้นยืน ผิวหนังทั่วร่างเต็มไปด้วยรอยกระ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ริ้วรอยเต็มไปทั่วใบหน้า นางสวมเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่ ดีดนิ้วไปที่หน้าผากของฉินเย่อย่างไม่จริงจัง แต่เด็กหนุ่มตรงหน้ากลับร้องโอดโอย พร้อมกับกุมหน้าผากของตัวเองอย่างเจ็บปวด
จากนั้นหญิงชราเพียงแค่รินน้ำชาใส่ถ้วย แล้วยกมันขึ้นมาดื่มและพ่นมันลงพื้น “ชาของโลกมนุษย์นี่ยังรสชาติห่วยแตกเหมือนเดิม”
ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปเสียสิ!
ทั้ง ๆ ที่มาอาศัยอยู่บ้านของคนอื่นทั้งยังไม่จ่ายค่าเช่าแท้ ๆ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของท่านไม่ได้ฉุดรั้งหัวใจของท่านสักนิดเลยหรือไง?
“ท่านยาย….” ฉินเย่ครวญครางออกมาอยู่หลายวินาที ก่อนจะยืนขึ้นอีกครั้งด้วยหน้าผากที่แดงก่ำ กัดฟันแน่นและเอ่ยถามคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้มที่พยายามประดิษฐ์ขึ้นมา “ท่าน… ‘ลงไป’ ที่นั่นมาอีกแล้วหรือ?”
“อย่ามาเรียกข้าว่ายายนะ ข้าไม่ได้มีชีวิตอยู่ถึงแก่ขนาดนั้น” หญิงชราหัวเราะแหย ๆ ขณะที่มองไปที่ฉินเย่ราวกับกำลังจ้องคนตาย “เจ้าเคยได้ยินตำนานหรือเปล่า?”
“ตำนานได้กล่าวเอาไว้ว่า….ผู้ที่ทานเห็ดเทียนสุ่ย หรือที่รู้จักกันในนามเห็ดของไท่สุ้ยจะมีจุดจบเพียงสองอย่าง”
“ความเป็นไปได้แรกก็คือคนผู้นั้นจะเปลี่ยนร่างเป็นอสุรกาย ไม่หลงเหลือความเป็นมนุษย์เลยแม้แต่นิดเดียว ส่วนความเป็นไปได้ที่สอง….” นางเอ่ยขณะเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ “คนผู้นั้นจะมีชีวิตเป็นอมตะ”
จากนั้นนางก็บิดร่างกายไปมาก่อนจะหันไปมองฉินเย่อีกครั้ง ริ้วรอยบนใบหน้าทำให้นางดูเศร้าสร้อย ถึงแม้ว่านางจะยิ้มออกมาอย่างจริงใจ “เจ้า…เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อนหรือไม่?”
“ไม่” ฉินเย่ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งและห้วน
หลังจากที่จ้องตากันอยู่สักพัก หญิงชราก็ละสายตาจากคนตรงหน้าและยิ้มออกมาอย่างน่าขนลุก “น่าแปลกนะ…เพราะว่าชื่อของเจ้าไม่ได้มีอยู่ในสมุดแห่งความเป็นตาย ยิ่งกว่านั้น ตอนที่ข้าเคาะประตูบ้านเจ้ากลางดึกเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เจ้ากลับมองเห็นข้า…”
ฉินเย่ทำหน้าจริงจังที่สุดเท่าที่เขาเคยเป็นมาก่อนจะร่ายยาว “อย่าไร้สาระน่า นั่นมันเป็นเพราะการหักเหของแสงต่างหาก มันมีทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้อยู่ นักวิทยาศาสตร์ชาวแคนาดา ไมเคิล เพย์ซิงเกอร์ ได้พิสูจน์แล้วว่าการที่สมองกลีบขมับของคนคนหนึ่ง ถูกกระตุ้นด้วยสนามแม่เหล็กพลังงานสูง สามารถเพิ่มแนวโน้มในการประสบกับเรื่องเหนือธรรมชาติของบุคคลนั้นได้ นอกจากนี้ นักพิษวิทยา อัลเบิร์ต ดาวนีย์เองก็ได้ตั้งสมมติฐานว่าการได้รับสารบางชนิดมาเป็นเวลานาน อย่างเช่นคาร์บอนมอนอกไซด์ ฟอร์มาลดีไฮด์ หรือสารกำจัดศัตรูพืช สายมารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเกิดเรื่องเหนือธรรมชาติ….”
แต่ก่อนที่ฉินเย่จะพูดจบ นิ้วของหญิงชราก็ดีดมาที่หน้าผากของเขาอีกครั้ง ทำให้เด็กหนุ่มกระเด็นออกไปกว่าสองเมตรและกระแทกเข้ากับขอบเตียงอย่างแรง
“ข้าน่ะเกลียดคนฉลาดที่สุดเลย” หญิงชราหยิบเอาท่อสูบบุหรี่ออกมาจุดไฟและสูบ บรรยากาศโดยรอบคละคลุ้งไปด้วยควันบุหรี่ทันที “เจ้าหา ‘มัน’ เจอหรือยัง?”
ฉินเย่เพียงแค่ยืนลูบหลังตัวเองและตอบออกไป “ยัง”
“แปลกนะ” อีกฝ่ายเคาะท่อยาสูบพร้อมเอ่ยต่อ “นั่นไม่สมเหตุสมผลเลย…มันน่าจะอยู่ในประเทศนี้สิ…”
ฉินเย่มองท่าทางของคนตรงหน้าและถามออกไป “มันคืออะไรกันแน่? อย่างน้อยท่านก็น่าจะบอกข้าสักหน่อยว่ามันคืออะไรไม่ใช่เหรอ?”
และท่านก็ควรไปจากที่นี่ทันทีที่หามันเจอด้วย! นี่ท่านไม่คิดจะกำหนดระยะเวลาในการอยู่ที่นี่เลยหรือยังไง?
หญิงชราไม่ได้ตอบอะไร ฉินเย่กลืนน้ำลายของตัวเองอย่างยากลำบาก กุมขมับและเอ่ยต่อ “ถึงแม้ว่าท่านจะไม่บอกข้าว่ามันคืออะไร แต่ท่านก็ควรบอกชื่อของท่านให้ข้าได้รู้บ้าง และทำไมท่านถึงมาที่โลกมนุษย์? ดูจากพลังหยินที่อยู่รอบตัวท่าน…”
เด็กหนุ่มหยุดพูดไปพร้อมกะพริบตาอย่างเป็นกังวล
ถ้าหากพลังหยินที่อยู่รอบตัวของเขาเป็นเหมือนกับกองไฟ พลังหยินที่แผ่ออกมาจากร่างของหญิงชราตรงหน้าเทียบได้กับ กองไฟส่งสัญญาณบนกำแพงเมืองจีนเลยด้วยซ้ำ!
พลังหยินที่รุนแรงขนาดที่แทบจะก่อเป็นรูปร่างได้ เมื่อนำมาเทียบกับเขา…มันก็เหมือนกับแสงสว่างของหิ่งห้อยดวงเล็กกับแสงสว่างของดวงจันทร์ที่ลอยอยู่บนฟ้านั่นแหละ นี่มันไม่ใช่แค่วิญญาณธรรมดา ๆ แล้ว พลังหยินของนางยิ่งใหญ่ราวกับจ้าวนรกในโลกใต้พิภพเลยไม่ใช่เหรอ?
ดังนั้น….เมื่อดูจากระดับพลังที่สูงขนาดนั้นแล้ว ทำไมท่านถึงต้องมาหลอกใช้งานข้าผู้ต่ำต้อย เจ้าของกิจการเล็ก ๆ แห่งนี้ ให้ทำงานให้โดยไม่ได้สิ่งใดตอบแทนด้วย?!
ใครก็ได้ช่วยทำให้โปเกม่อนตัวนี้กลับเข้าไปอยู่ในโปเกบอลเหมือนเดิมทีได้หรือเปล่า?!
“จากพลังหยินของท่าน…ท่านคงจะไม่ใช่แค่ยมทูตธรรมดา ๆ ทั่วไปสินะ?”
มันยังคงไม่มีคำตอบจากคนตรงหน้าเหมือนเดิม
หญิงชราหรี่ตาลงราวกับกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับสัจธรรม ของชีวิต ขณะที่ทั้งห้องถูกปกคลุมไปด้วยควันจากท่อยาสูบ แต่ฉินเย่ก็ยังพูดต่อ “มันไม่ใช่ว่าข้าไม่ต้อนรับท่านหรอกนะ….เพราะอย่างไรแล้ว ท่านก็ถือว่าเป็นเพื่อนที่มาจาก ‘ข้างล่าง’ นั่นก็เหมือนกับข้า…แต่ในโลกมนุษย์นั้นมีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการใช้ชีวิตอยู่ มันคือพวกกระดาษสีแดงที่วางอยู่บนโต๊ะนั่นแหละ แล้วอยู่ ๆ ท่านก็ปรากฏตัวขึ้นและมาอาศัยอยู่ที่บ้านข้าโดยที่ไม่ได้จ่ายเงินอะไรเลยสักนิด….ท่านไม่คิดว่าอย่างน้อยตัวท่านก็ควรให้เวลาข้าได้เตรียมใจบ้างไม่ใช่หรือไง?”
“ข้าก็ให้เวลาเจ้าได้ปรับตัวตั้งหนึ่งอาทิตย์แล้วไง เจ้ายังไม่ชินอีกอย่างนั้นหรือ?” ในที่สุดหญิงสูงวัยก็วางท่อยาสูบลงและหันไปมองหน้าฉินเย่
ฉินเย่ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายใจ
“ถ้าอย่างนั้น….” หญิงชราถอนหายใจเบา ๆ แค่เพียงนางกระดิกนิ้ว ตำราโบราณที่เต็มไปด้วยพลังหยินก็ลอยออกมาจากอกของฉินเย่ จากนั้นนางจึงพลิกเปิดดูหน้าแรก มันคือรูปของ ฉินเย่
แต่มันแทบจะถือว่าเป็นรูปถ่ายไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ…มันเป็นแค่รูปขาวดำจาง ๆ มองแทบจะไม่เห็นหน้าคนด้วยซ้ำ!
และมีตัวอักษรเขียนกำกับอยู่ที่หน้านั้นด้วยเช่นกัน
ชื่อ: ฉินเย่ (ชื่อเล่น – โก่วต้าน)
สถานที่เกิด: หมู่บ้านเนินเขาหลิวเอ๋อ แม่น้ำกาจือ เมืองถังอัน นครฉิงกวง
สมาชิกในครอบครัว: ปู่ (เสียชีวิต) บิดา-มารดา (เสียชีวิต)
เกิด: 1 ตุลาคม 1938
มือเหี่ยวย่นของนางชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็เงยหน้าไปมองฉินเย่ด้วยสายตาซับซ้อน “ไม่มีเรื่องใดเจ้าจะสามารถปกปิดข้าได้….ตราบใดที่เจ้าเกิดมาบนโลกมนุษย์ ตราบใดที่เจ้าเคยเป็นมนุษย์ ตราบใดที่เจ้ายังคงใช้ชีวิตอยู่ ข้าสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ากระทำลงไปในอดีตได้อย่างชัดเจน”
“การที่สามารถมีทัศนคติที่ดีและร่าเริงแบบนี้ได้ทั้ง ๆ ที่ใช้ชีวิตมาแล้วหลายสิบปี…ถือว่าไม่ธรรมดาเลย ไม่ธรรมดาเลย จริง ๆ ข้ายอมรับเจ้า”
ฉินเย่แคะหูตัวเอง “นี่ท่านพูดเรื่องอะไรของท่าน? ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูดเลยสักนิด มันซับซ้อนเกินไป”
หญิงชราเลิกสนใจคนตรงหน้าตนและสูบท่อยาสูบต่อไป “มีแค่ผู้ที่มีชะตาชีวิตที่ผันผวนเท่านั้นที่จะไม่สูญเสียความเป็นตัวเองไปท่ามกลางหมู่มวลมนุษย์ ไม่ว่าจะร้ายหรือดี ยายแก่คนนี้มั่นใจแล้วที่จะมอบตรายมทูตให้กับเจ้า”
“เจ้าเองก็คงจะรู้ดีว่าตำแหน่งนี้สำคัญกับเจ้ามากแค่ไหน ข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าไม่ใช่ทั้งคนเป็นหรือคนตายหมายความว่า เจ้าคือสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีตัวตนทั้งโลกมนุษย์และโลกแห่งความตาย”
ด้านล่างของข้อมูลส่วนตัวยังมีตัวอักษรอื่น ๆ ประทับอยู่
อาชีพ: ยมทูตฝึกหัด
ระยะเวลา: 5 วัน 13 ชั่วโมง 27 นาทีกับอีก 6 วินาที
“แต่…”
หญิงชราลูบนิ้วไปบนรูปชองฉินเย่และถอนหายใจออกมา “ทั้ง ๆ ที่ตัวของข้านั้นมอบหัวใจตัวเองให้กับดวงจันทร์ที่สว่างไสว แต่ใยดวงจันทร์กลับส่องสว่างเพื่อลำคลอง[1]….”
มือที่แห้งเหี่ยวของนางวางค้างอยู่บนรูปของฉินเย่ และรูปขาวดำก็สั่นไหวเพียงเล็กน้อย และก่อนที่นางจะกล่าวต่อ นางก็พบว่ามีมืออีกข้างหนึ่งเอื้อมมากุมมือนางเอาไว้ด้วยความมุ่งมั่น
“พระพุทธเจ้าเคยตรัสเอาไว้ว่า ถ้าเราไม่ลงนรกแล้วผู้ใดเล่าที่จะต้องลงนรก?” สีหน้าของฉินเย่เต็มไปด้วยความแน่วแน่ มันแทบจะคล้ายกับสีหน้าของนักปฏิวัติเลยด้วยซ้ำ
“ท่านต้องรู้จักให้โอกาสแก่ผู้ที่มาใหม่บ้าง ยิ่งทุกวันนี้…งานเป็นสิ่งหายาก ท่านเองก็ทราบ บางทีพวกเด็ก ๆ อาจจะบ่นอะไรไปเรื่อย แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าในใจของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะได้เลื่อนตำแหน่ง และก้าวหน้าในหน้าที่การงานบ้าง”
“สิ่งที่พวกเขาต้องการจริง ๆ ก็คือโอกาส! โอกาสที่จะแสดงความสามารถของตัวเอง!”
ริมฝีปากของหญิงสูงวัยกระตุกเล็กน้อย “‘เด็กหนุ่ม’ ที่เกิดปี 1938….ดูเหมือนว่าถึงแม้ว่าโชคชะตาของเจ้าจะผันผวนสักแค่ไหน แต่มันก็ไม่ได้เพิ่มความหนาของผิวเจ้าเลยสินะ แถมข้ายังมองเห็นความปรารถนาในการมีชีวิตอยู่จากตัวเจ้าอีกด้วย”
เมื่อเอ่ยจบนางก็โยนตำราคืนให้กับฉินเย่ เด็กหนุ่มรับมันได้อย่างพอดิบพอดีและหัวเราะเบา ๆ “หากท่านอยากได้อะไร ท่านสามารถบอกข้ามาได้เลย”
“โก่วต้าน…”
ใบหน้าของฉินเย่เข้มขึ้นทันที
และนั่นทำให้หญิงชราเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย “หืม?”
“…”
“ข้ารอฟังอยู่…”
หญิงชรายิ้มบาง นางวางท่อยาสูบของตัวเองลงและเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้ามีคำถามมากมาย รวมทั้งเรื่องที่ทำไมจู่ ๆ ข้าถึงมาหาเจ้าเมื่อกลางดึกของอาทิตย์ก่อนและสาเหตุที่ข้ามาที่นี่ แต่….”
นางสูดหายใจเข้าจนเต็มปอด “พรุ่งนี้เวลาเที่ยงคืน ยายแก่คนนี้จะอธิบายทุกอย่างให้เจ้าฟัง”
ฉินเย่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามออกไป “เมืองดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า สิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะตกอยู่ในห้วงนิทราอย่างนั้นหรือ?”
ไร้ซึ่งเสียงตอบใด ๆ
สักพักน้ำเสียงที่ทรงพลังก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ไปซะ!! การสนทนาจบลงแล้ว!”
หลังจากที่ฉินเย่เดินออกไปจากห้อง หญิงชราก็ถอนหายใจออกมาขณะที่มองดูแผ่นหลังของเด็กหนุ่มห่างออกไป เรื่อย ๆ ด้วยแววตาที่ซับซ้อน และเมื่อเสียงอาบน้ำดังขึ้น นางจึงดึงแขนเสื้อของตัวเองขึ้น
มันยังคงเป็นผิวที่มีรอยด่างดำเช่นเดิม แต่ถึงอย่างนั้น…ตั้งแต่ข้อศอกข้างซ้ายขึ้นไป แขนของนางกลับดูโปร่งใสและแทบจะมองไม่เห็น ยิ่งกว่านั้นกระดูกและกล้ามเนื้อของนางทั้งหมดกลับเปล่งประกายสีทองอ่อน ๆ ออกมา!
ประกายแสงสีทองอ่อนพวกนี้คือสัญลักษณ์ของโพธิ์ มันช่วยให้สามารถสร้างดอกบัวสีทองไร้รากขึ้นมาในร่างกายได้จำนวนนับไม่ถ้วน และค่อยๆ ทำลายเจ้าของร่างจากภายใน อักษรสันสกฤตขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นจาง ๆ ไปตามเส้นชีพจรของนาง ในขณะเดียวกันสัญลักษณ์ของโพธิ์ก็ทำให้นางเจ็บปวดและทรมานอย่างไม่สามารถต้านทานได้
มันเพิ่งผ่านไปแค่ไม่กี่วินาที แต่หน้าผากของนางกลับชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ
“อีกไม่นานแล้ว…”
นางดึงแขนเสื้อขึ้นมากกว่าเดิมขณะที่มองออกไปทางหน้าต่าง “โลกมนุษย์จะได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกเบื้องล่างแล้ว…และตัวข้าเองก็เหลือเวลาไม่มากแล้วเช่นกัน…”
“น่าเสียดาย….เด็กคนนี้มีจิตใจดีเกินไป เห็นมาหลายสิ่งหลายอย่างเกินไป เจ้าเล่ห์เกินไป และเขายังกินเห็ดเทียนสุ่ยเข้าไป…ไม่เพียงแต่เขาจะไม่ตาย แต่เขาก็จะไม่โตขึ้นเช่นกัน เขาจะใช้ชีวิตราวกับว่าอายุถูกหยุดไว้เท่านี้ตลอดไป การใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่โหดร้ายแห่งนี้ด้วยตัวตนนั่น…..เฮ้อ หากเป็นไปได้ ข้าก็อยากจะสอนและแนะนำแนวทางให้เขาสักนิด ช่างน่าเศร้านัก….”
หญิงสูงวัยลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีลมแต่ผมสีขาวซีดของนางกลับปลิวไสว “ไม่มีเวลาแล้ว…”
“‘มัน’ อยู่ที่ไหนกันแน่? ถ้าข้าหามันไม่เจอ ทั้งหมดที่พยายามมาก็จะสูญเปล่า…วิญญาณร้ายนับพันล้านดวงกำลังหลั่งไหลเข้ามาในโลกมนุษย์ การเริ่มต้นของปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ เป็นแค่สัญญาณเตือนสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้เท่านั้น นี่มันแค่เพิ่งเริ่มต้น….”
[1]ดวงจันทร์กลับส่องสว่างเพื่อลำคลอง ความหมาย: ไม่ใช่ทุกการกระทำที่จะได้รับการตอบแทนอย่างเหมาะสม