บทที่ 44 ยมทูตอีกตน
“ มันคือบริการสปาจริง ๆ เหรอ” หวังเฉิงห่าวมองจากด้านหลังของฉินเย่และพูดด้วยความประหลาดใจ “ ก่อนหน้านี้นายไม่ได้พูดว่า … ”
ฉินเย่เอาบัตรตบลงบนจมูกของหวังเฉิงห่าว “ ฉันพูดอะไรก่อนหน้านี้จำได้ไหม นายจะมาเป็นผู้ช่วยของฉันได้ยังไงถ้านายชอบมโนไปเรื่อย”
หวังเฉิงห่าวลูบจมูกของเขาและทำหน้ามุ่ย
ฉินเย่ตรวจสอบบัตรอย่างละเอียดอีกครั้ง
เมื่อตรวจสอบอย่างใกล้ชิดฉินเย่พบคำด้านล่างซึ่งเขียนว่า “เปิดทุกวันตั้งแต่เที่ยงคืน ใส่พลังหยินลงในบัตรและตำแหน่งของเราจะปรากฏขึ้น ผู้มาใหม่จะได้รับส่วนลด 20%”
เมืองนี้ช่างสรรหาหาวิธีเล่นเสียจริง…
หลังจากอ่านคำอธิบาย นี่เป็นเพียงความคิดเดียวที่เหลืออยู่ในใจของฉินเย่
พวกเขารู้วิธีเล่นสนุก… นี่คือสิ่งที่วิญญาณหยินทั้งหมดควรได้รับกับชีวิตที่เหลืออยู่! ดื่มค็อกเทล กอดโครงกระดูกและดื่มด่ำไปกับการกระโดดบันจี้จัมพ์ในสุสานและฟังเสียงล่องลอย … มันแตกต่างจากที่เคยเห็นในเมืองชิงซี!
“ มันอาจจะเป็นกับดัก … มันคืออะไรกันแน่ ส่งมาที่ฉันได้ยังไง” ฉินเย่ขมวดคิ้ว
ริมฝีปากของหวังเฉิงห่าวกระตุกเล็กน้อย เขาไม่สามารถกักเก็บความคิดได้อีกต่อไป “ พี่ฉิน … ฉันเข้าใจสิ่งที่นายพูดนะ แต่ถ้านี่เป็นกับดัก ทำไมนายยังใช้พลังหยินดูล่ะ?”
“ อ้าว ฉันใช้เหรอ ขอโทษด้วย … มือฉันต้องทำงานผิดปกติแน่ ๆ” ทันทีที่ฉินเย่พูดจบเปลวไฟบนกะโหลกก็ลุกโชนเพิ่มขึ้น
ฉินเย่ยังคงตรวจสอบบัตรอยู่ หวังเฉิงห่าวไอเรียกเบา ๆ “ พี่ฉิน … ฉันไม่เคยเห็นนายกังวลขนาดนี้มาก่อน เป็นไปได้ไหมว่า …เขาจะเป็นหมอผี”
ทันใดนั้นมือของฉินเย่ก็หยุดชะงัก
“ ไม่” เขาตอบด้วยความมั่นใจ
หวังเฉิงห่าวถอนหายใจอย่างโล่งอก
เขาแข็งแรงและดูดีแถมยังสูงถึง 170 เซนติเมตรด้วย เขาจะเป็นหมอผีได้ยังไง?
“ ข้าคือ … ผู้นำทางราชันย์ปีศาจ[1] … ” เสียงที่ฉินเย่กัดฟันพูดกับอากาศ
จู่ ๆ ก็คล้ายจะเข้าใจหวังเฉิงห่าวแล้ว แต่ก็ไม่สามารถคิดคำที่จะพูดได้ พูดออกมาได้เพียงคำเดียว “ อ่า … ผู้ชาย”
ในขณะที่ฉินเย่ยังคงใส่พลังงานหยินลงไปในบัตร เปลวไฟบนกะโหลกศีรษะก็เปลี่ยนเป็นพู่กันและเริ่มวาดสัญลักษณ์ แปลก ๆ ฉินเย่ขมวดคิ้วอีกครั้ง “ สัญลักษณ์นี้ … ทำไมมันดูคล้ายกับที่ปักบนเครื่องแบบยมทูตของฉัน … ”
ตูม!
ก่อนที่เขาจะพูดจบ พลังหยินที่หนาแน่นก็ปะทุออกมาจากบัตร!
ตูม!!
จู่ ๆ ผ้าม่านในห้องก็ปิดเองราวกับว่ามีใครมาปิดมัน โรงแรมใช้ม่านทึบ ทันทีที่ม่านปิด จึงไม่มีแสงเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย! ในช่วงเวลานั้นทั้งห้องถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด แต่พลังหยินยังคงหลั่งไหลออกมาจากบัตรเหมือนกระแสน้ำวน โดยที่ฉินเย่ยังคงยืนอยู่กลางห้อง
ฉ่าาา …ฉินเย่เปลี่ยนเป็นยมทูตในพริบตาทั้งที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่เนิ่นนาน หวังเฉิงห่าวอ้าปากค้างด้วยความตกใจและรีบถอยไปยืนมุมห้อง
ฉินเย่จ้องมองสองมือของเขา“ พี่ฉิน … หรือว่ามีอะไรผิดปกติเหรอ?”
ฉินเย่ยังคงเงียบ
มีเพียงแววตาที่ตกตะลึงอย่างหาที่เปรียบมิได้ ระดับของพลังหยินนี้อยู่เหนือระดับของเขาเอง อันที่เป็นจริง มันคล้ายกับการแสดงพลังหยินของนักเชิดหุ่น แต่ก็มีความแตกต่างกันบ้างในเรื่องของคุณภาพ พลังหยินนี้ทั้งบริสุทธิ์และยิ่งใหญ่เกินไปที่ผีธรรมดาจะครอบครองได้!
“ ไม่ใช่ฉัน … ” เขาลูบเครื่องแบบยมทูตรอบกายด้วยความไม่เชื่อ“ ฉัน … ฉันไม่ได้เป็นคนเปลี่ยนเป็นยมทูตเอง นี่คือ…”
เขามองไปรอบ ๆ สภาพแวดล้อมด้วยความสยดสยอง เขาอุทาน “มี… ยมทูตอีกคน!”
“ ยมทูตที่มีชีวิต!”
“ และ … เขาเข้าใกล้ระดับนักล่าวิญญาณอย่างไม่น่าเชื่อ!”
เป็นยมทูตแบบเดียวกับเขา!
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะสามารถพบยมทูตที่มีชีวิตอยู่ในแดนโลกได้ อันที่จริง ยมทูตอีกตนต่างหากที่พบเขา!
“ ยมทูต ยมทูตที่ยังมีชีวิต?!” ทันใดนั้นเสียงร้องแห่งความตกใจก็ดังก้องออกมา ฉินเย่อุทาน“ อาร์ทิสหรือ ในที่สุดท่านก็ตื่นแล้ว?”
“ยังไม่เต็มที่ การแสดงอำนาจของข้าในเมืองชิงซี ข้าสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว ข้าต้องการพลังหยินจำนวนมาก หากต้องฟื้นตัว ไม่ … นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นก็คือ จะมียมทูตที่ยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร!” ดวงวิญญาณลอยออกมาจากกระเป๋าสั่นสะท้านด้วยความปั่นป่วน
“ เมื่อพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ได้รับการรู้แจ้ง เขากวาดล้างยมทูตที่อยู่ในทั้งนรกและโลกมนุษย์ทั้งหมด ข้ารอดมาได้อย่างสมบูรณ์เพราะข้าซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของเหว…แต่คนคนนี้ … เขาจะอยู่รอดได้อย่างไรด้วยพลังระดับนั้น? มันไม่สมเหตุสมผลเลย!”
“ ท่านแน่ใจหรือ” ฉินเย่มองไปที่พลังหยินรอบข้างที่บริสุทธิ์และคล้ายกับของเขาในแง่ของคุณภาพ เขาพึมพำ
“ ข้ามั่นใจมาก พลังหยินของนรกและพลังหยินที่ผีเข้าสิงนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ข้าไม่พลาดแน่ที่จะรับรู้ถึงพลังหยินของ ‘เพื่อนร่วมงาน’ คนอื่น ๆ ”
ทุกคนนิ่งเงียบ
เมืองเป่าอันซ่อนยมทูตอีกคนที่รอดชีวิตจากการล่มสลายครั้งใหญ่ของนรก และยมทูตคนนี้ได้พบการมีอยู่ของฉินเย่ แถมยังยื่นคำเชิญให้เขา!
เขามีเจตนาอะไร
หลังจากนั้นไม่นาน อาร์ทิสก็พูดขึ้นอีกครั้ง แต่เนื่องจากเธอยังอยู่ในระหว่างการฟื้นตัว คำพูดของเธอเหมือนจะขาดใจ “นี้ ตอนนี้ข้าจะสอนหลักการที่สองให้เจ้า ซึ่งยมทูตทุกคนควรรู้ … ”
“ยมทูตทุกคนนอกจากเจ้าแล้ว คือพลังหยินที่ถูกควบคุมโดยคำสั่งของนรก และตอนนี้คำสั่งของนรกได้สลายไปโดยสิ้นเชิงแล้ว ยมทูตเหล่านี้…คงจะกลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวกว่าผีทั่วไปหลายสิบหรือหลายร้อยเท่า! ตอนนี้ข้าเกือบจะแน่ใจแล้ว…ฮ่าา…ฮ่าา…”
“ เขา…แค่ก ๆ… เขาคือคนที่…ควบคุมการระบาดของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติในเมืองเป่าอันทั้งหมด!!”
ฉินเย่เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดทันที!
“ ถูกต้อง … ประการแรก ความสม่ำเสมอของสถานที่และทิศทางของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติล้วนชี้ให้เห็นความจริงที่ว่า มันถูกควบคุมโดยผู้บงการคนเดียว และจุดที่ความเข้มข้นของพลังหยินสูงสุดควรเป็นที่ตั้งของผู้ควบคุมการระบาด กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เขาควรถูกพบนานแล้ว! แต่ผู้เฒ่าจางบอกว่ามันยังอยู่ในขั้นตอนการสอบสวนของพวกเขา”
“ มันไม่ถูกต้อง เป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าหน้าที่จะไม่สามารถตรวจจับตำแหน่งที่เต็มไปด้วยพลังหยินได้ … เว้นแต่จะไม่มีทางหาเขาพบ!”
เขากล่าวต่อว่า“ บุคคลนี้เป็นเหมือนกับข้า เจ้าหน้าที่ในนรกอย่างเป็นทางการ คุณภาพของพลังหยินของเรานั้นสูงกว่าผีทั่วไป ด้วยวิธีการที่มีอยู่ในโลกมนุษย์ปัจจุบัน … ไม่มีทางที่พวกเขาจะตรวจจับเขาได้ในตอนนี้! เหมือนกับวิธีที่ข้าไม่เคยถูกจับหรือตรวจพบโดยเครื่องมือที่มนุษย์สร้างขึ้นหรือแม้แต่ผู้ฝึกตน นอกจากนี้มีเพียงยมทูตเท่านั้นที่มีอำนาจในการปราบผี วิญญาณที่ตามมาและเก็บพวกเขาไว้รับคำสั่ง!”
“ แล้ว … ทำไมเขาถึงส่งคำเชิญมาให้ข้า”
ไม่มีการตอบกลับ
เสียงของเธออึมครึมและแหบพร่า “เจ้าต้องพิจารณาคำเชิญนี้อย่างรอบคอบเล่า… ”
“ เป็นเวลาหลายร้อยปีแล้วที่ข้าถูกขังอยู่ใต้สะพานไน่เหอ ทำให้ข้าไม่ได้รับรู้ถึงสถานการณ์ของภูตผีอีกต่อไปแล้ว หากเจ้าตอบรับคำเชิญนี้ เจ้าจะได้รู้ความจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ทั้งหมดในเมืองตอนนี้ เจ้าสองคนอาจจะเป็นยมทูตเพียงสองตน ที่เหลืออยู่ในโลกนี้ก็ได้ แน่นอนว่าเขาจะต้อนรับเจ้าเป็นการส่วนตัว … ”
“ นี่เหมือนเป็นภพเล็ก ๆ ที่สะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่นรกเคยเป็น เมืองอื่น ๆ ก็น่าจะไม่ต่างจากเมืองเป่าอัน เพราะว่าน่าจะไม่มียมทูตดูแล ไม่ว่าที่ไหนก็มักจะมีผีที่มีพลังแกร่งแข็งทั้งสิ้น… การเข้าใจเขาอาจทำให้เจ้ามีความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับพิภพเล็ก ๆ ที่งอกขึ้นทั่วดินแดนโลกหลังจากการล่มสลายครั้งใหญ่ของนรก และความเข้าใจนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับเจ้าในอนาคต ถือว่าสำคัญมาก “
ฉินเย่พูดขึ้น“ แต่ที่นี่เป็นพื้นที่ของเขา ซึ่งเขาสามารถฆ่าข้าได้ง่าย ๆ เพียงพลิกฝ่ามือ… ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ก็ใกล้เคียงกับระดับนักล่าวิญญาณก็ไม่ผิดนัก”
ฉินเย่รู้ดีถึงความแข็งแกร่งของหน่วยงานระดับนักล่า หลังจากที่ได้ต่อสู้กับมัจจุราชแห่งยมโลก
“ แค่ก ๆ … ” อาร์ทิส หอบ “ ข้าสามารถปกปิดตัวตนของเจ้าด้วยพลังหยินจากเศษตราจ้าวนรกได้แค่สามวัน เจ้าจะปลอดภัยจากการโจมตีของพวกที่อ่อนแอกว่าชั้นตุลาการนรก … ”
ฉินเย่พูด “แต่ทันทีที่การเจรจายุติลง เขาจะรู้ทันทีว่าข้าได้ใช้ชิ้นส่วนตราจ้าวนรกมา ถ้าเป็นเช่นนั้นชีวิตของข้าก็ตกอยู่ในความเสี่ยงใช่หรือไม่”
อาร์ทิสยังคงเงียบ
“ มันอันตรายเกินไป” ฉินเย่เก็บบัตร “ท่านปกปิดข้าด้วยพลังงานของชิ้นส่วนเลยไม่ได้เหรอ? ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไร… ”
อาร์ทิสไม่ตอบสนอง แต่พลังงานหยินที่หนาแน่นอย่างไม่น่าเชื่อก็ปะทุขึ้นมาจากหน้าอกของฉินเย่ และฝังเข้าไปในรูขุมขนทั้งหมดบนร่างกายฉินเย่
หลังจากนั้นก็ไม่ได้ยินเสียงจากอาร์ทิสอีก เนื่องจากเธอกลับไปสู่ห้วงนิทราแล้ว
“ เตรียมตัวให้พร้อม” รอยยิ้มของฉินเย่หายไป เขาพยักหน้าให้หวังเฉิงห่าว“ พรุ่งนี้เราจะมุ่งหน้าไปที่มหาวิทยาลัยอันฮุ่ย”
จะรีรออยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว
มีดวงตากำลังจับจองมาที่เขาจากมุมมืด
และไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นวิญญาณแบบไหน ฉินเย่ก็ไม่ต้องการที่จะตอบโต้ในตอนนี้แน่!
คืนนั้นพวกเขาหลับไปโดยไม่ฝันอะไรเลย เมื่อทั้งคู่ตื่นขึ้นมาในและออกไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ทันที หลังจากนั้นพวกเขาก็ออกเดินทางไปยังจุดหมายต่อไปนั่นคือ มหาวิทยาลัยอันฮุ่ย
มหาวิทยาลัยอันฮุ่ย ตั้งอยู่ในเขตชานเมือง หลังจากขับรถประมาณหนึ่งชั่วโมง ทั้งคู่ก็พบทางเข้าหลักของมหาวิทยาลัยอันฮุ่ย
คำว่า “มหาวิทยาลัยอันฮุ่ย” ฝังอยู่บนแผ่นโลหะที่ดูโบราณด้านหน้า บริเวณมหาวิทยาลัยกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี ในบางครั้งพวกเขาจะได้ยินเสียงที่สดใสและมีชีวิตชีวา “ หนึ่งสองสามสี่” ดังก้องออกมาจากใจกลางมหาวิทยาลัย
“ ตอนนี้สิ้นเดือนตุลาคม ดูเหมือนเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการฝึกซ้อมของพวกทหาร …แต่ก็ใกล้จะสิ้นสุดแล้วเช่นกัน” ฉินเย่มองมหาวิทยาลัยด้วยสายตาคิดถึง
ฉินเย่เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยครั้งแรกเมื่อนานมาแล้ว เพราะเขามีความปรารถนาอันแรงกล้าที่อยากสัมผัสกับชีวิตของนักศึกษา เมื่อเวลาผ่านไปและความน่าตื่นเต้นก็หมดลง เขาพบว่าตัวเองเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเพียงเพราะความเบื่อหน่าย นี่เป็นครั้งที่เจ็ดของเขาแล้วในการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย…
ในทางกลับกันทุกอย่างระหว่างทางดูสดใหม่ต่อหวังเฉิงห่าว มหาวิทยาลัยเพิ่งเปิดได้ไม่นาน ป้ายของชมรมต่าง ๆ ถูกแขวนไว้ทั่วทุกหนทุกแห่ง แม้ว่าความกระตือรือร้นจะลดลงเล็กน้อยตั้งแต่เริ่มเปิดเทอม แต่ก็ยังเพียงพอที่จะทำให้หวังเฉิงห่าวนึกถึงโลกที่แตกต่างไปจากเดิม
“ ชีวิตในมหาวิทยาลัยจะเป็นยังไงนะ?” “ มันดีกว่าโรงเรียนมัธยมในมณฑลของเรามาก! พี่ฉินดูผู้หญิงสุดสวยคนนั้นสิ!” “ ว้าว … มีชมรมอนิเมะชั่นด้วย ฉันขอเข้าร่วมได้มั้ย”
จากนั้นกลุ่มนักเรียนผิวสีเข้มที่สวมเครื่องแบบลายพรางก็เดินผ่านพวกเขาไปพร้อมกับตะโกนว่า“ หนึ่งสองสามสี่” ด้วยความแข็งแกร่งและสะเทือนโลก ในขณะเดียวกันฉินเย่มองไปที่สภาพแวดล้อมของเขาด้วยคิ้วที่ขมวด เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาและโทรออกทันที
ที่สำนักงานของสหภาพนักศึกษา จางหลินฮวาเพิ่งส่งแบบฟอร์มให้เพื่อนนักเรียนคนหนึ่ง แล้วโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น
“สวัสดีครับ?” เขาจำหมายเลขไม่ได้ แต่เขาก็ยังรับสายอยู่ดี
“ นั่นคุณจางเหรอ ฉันฉินเย่เอง”
“ ฉินเย่ ฉินเย่ไหน?” จางหลินฮวาแทบจะวางสายทันที เขากำลังจะกดปุ่มสีแดงบนโทรศัพท์ ทันใดนั้นเขาก็จำได้ว่าฉินเย่คือใครและเขาก็เอาโทรศัพท์แนบหูทันทีและฝืนยิ้ม“ งั้นก็ … คุณฉิน จะให้ผมช่วยอะไรครับ?”
ฉินเย่มองโทรศัพท์แวบหนึ่ง “รบกวนช่วยพาเราไปที่ห้องวิชาการได้ไหม”
“ ห้องวิชาการ?” จางหลินฮวาระเบิดเสียงหัวเราะทันที น้ำเสียงเยาะเย้ยอย่างไม่ปิดบัง “ คุณฉิน ผมขอพูดสองประโยคแล้วกันนะ คุณสองคนเข้ามหาวิทยาลัยได้โดยใช้เส้นสายของพ่อผม การมุ่งตรงไปห้องวิชาการตอนนี้ ไม่เท่ากับเป็นการตบหน้าเขา ชัด ๆ เหรอ”
“ คุณฉิน ตอนนี้คุณอยู่ทางไหน? … อ๋อนั่นคือทางเข้าด้านหลัง อาคารตรงข้ามกับจุดที่คุณอยู่ควรเป็นที่ตั้งของห้องปฏิบัติการ หากตรงไปเรื่อย ๆ คุณจะเห็นห้องสมุด เมื่อคุณผ่านห้องสมุดคุณจะเจอทางแยก เลี้ยวซ้ายที่นั่นคุณจะเห็นอาคารที่ค่อนข้างเก่ากว่า ซึ่งเป็นที่ตั้งของแผนกการเงิน กรอกเอกสารของคุณที่นั่น จากนั้นก็ต้องชำระค่าธรรมเนียม ผมจะจัดการเรื่องหอพักให้ … เอาล่ะทั้งหมดนี้ … “
ฉินเย่ยังคงนิ่งเงียบ
ทั้งฉินเย่และจางหลินฮวาไม่ได้ทิ้งความประทับใจไว้ในปฏิสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ ฉินเย่รู้ดีว่าเขาไม่ควรคาดหวังความสัมพันธ์อันดีระหว่างเขาลูกชายของจางเปากัวได้ ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่จางหลินฮวาจะปฏิบัติต่อเขาอย่างเย็นชา กล่าวอีกนัยหนึ่ง ฉินเย่ไม่เคยคาดหวังว่าจางหลินฮวาจะช่วยเขาได้
“ได้ ขอบคุณมาก”
หลังจากวางสาย จางหลินฮวาก็ตะโกนกับตัวเองในห้องสภานักเรียน เขาโยนโทรศัพท์ทิ้งและพึมพำ “ไปตายซะ!”
1. เป็นการอ้างอิงถึงหนึ่งในตัวละครอนิเมชั่นเรื่อง [加油大魔王]